เพื่อไทย อ้างคำแถลงกองทัพไทย เป็นสัญญาประชาคมเพื่อฟ้องชาวโลก ว่า จะไม่มีการยึดอำนาจทำการรัฐประหาร ติงการออกหนังสือ ประเทศไทยอย่าให้ใครเผาอีก ของรองนายกฯ “สุเทพ” ไม่เหมาะสม หวังนัยยะทางการเมือง โวย รบ.หวังเอาหน้าช่วยเหลือภัยภาคใต้ แต่เงินที่ได้รับจากการบริจาคหายไปกว่า 83 ล้าน ไล่ไปฟ้องร้องนักบุญหน้าจอ เพราะสัญญาเกิดขึ้น
วันนี้ (6 เม.ย.) ที่พรรคเพื่อไทย นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่ พลเอก ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ว่า ทหารจะไม่แทรกแซงการเมือง โดยการยึดอำนาจปฏิวัติ หรือรัฐประหารว่า พรรคเพื่อไทยจะยึดคำแถลงนี้ เป็นสัญญาประชาคมจากนายทหารระดับสูง ซึ่งถือว่า เป็นการทำให้บรรยากาศทางการเมืองดีขึ้น เปลี่ยนแปลงจากที่อึมครึมต่อเนื่อง ตามที่มีกระแสข่าวยึดอำนาจ เป็นการคลี่คลายสถานการณ์ได้อย่างดี ทั้งนี้พรรคเพื่อไทย เชื่อว่า ผบ.ทุกเหล่าทัพ ก็คงไม่ต้องการซ้ำเติมปัญหาบ้านเมืองให้บานปลายกลายเป็นวิกฤติความขัดแย้งที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ตามที่ปรากฏ เมื่อ 19 กันยายน 2549 ที่ประชาชนก็ไม่ได้ผู้นำ หรือ นายกรัฐมนตรีที่ต้องการ ที่ถูกต้องตามระบอบประชาธิปไตยจากการเลือกตั้ง
นายพร้อมพงศ์ ยังกล่าวต่อว่า ในความเป็นจริง ทหารของประชาชนมีหน้าที่โดยตรงในการปกป้องประเทศชาติและราชบัลลังก์ และไม่ยุ่งเกี่ยวทางการเมือง ซึ่งจุดยืนของ ผบ.ทุกเหล่าทัพที่ออกมาประกาศครั้งนี้ หากมีการผิดคำพูด พรรคเพื่อไทยเชื่อว่า ประชาชนจะออกมาต่อต้านแน่นอน อย่างไรก็ตาม พรรคจะติดตามตรวจสอบต่อไป เนื่องจากได้รับรายงานว่า ยังคงมีนายทหารบางกลุ่มเตรียมเคลื่อนไหวช่วยเหลือนักการเมืองบางพรรค ซึ่งหากได้รวบรวมข้อมูลที่ชัดเจน ก็จะยื่นให้ผบ.ในเหล่าทัพของนายทหารที่คิดยุ่งเกี่ยวการเมืองนี้ดำเนินการต่อไป
นายพร้อมพงศ์ กล่าวถึงการออกหนังสือ ประเทศไทยของเรา อย่าให้ใครเผาอีก จำนวน 2,000 เล่ม ในวันนี้ ตามเจตนารมณ์ของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ด้านความมั่นคง ที่ต้องการนำเงินจากการจำหน่ายไปช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้นั้น พรรคเพื่อไทย เชื่อว่า มีนัยยะหวังผลทางการเมืองแอบแฝง โดยเอาประชาชนบังหน้า ซึ่งจากการตรวจสอบ พรรคฯพบว่า มีความจริงเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น ขณะเดียวกัน ผลการสอบคดีการเสียชีวิตของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช.จากกรมสอบสวนคดีพิเศษ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็ยังไม่ชี้ชัด การออกหนังสือจึงเท่ากับเป็นการซ้ำเติมปัญหา สร้างความแตกแยกให้ประชาชนมากขึ้น ถือเป็นการเมืองที่ไม่สร้างสรรค์ และปัญหาก็จะไม่จบสิ้น เนื่องจาก นปช.ก็ต้องออกหนังสือแน่นอน
นายพร้อมพงศ์ กล่าวต่อว่า พรรคเพื่อไทยได้หลักฐานใหม่ในคดีการเผาเซ็นทรัลเวิร์ล ซึ่งในวันที่ 7 เมษายน เวลา 10 นาฬิกา ตนและ นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญากุล ส.ส.แพร่ ของพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นผู้อภิปรายกรณีการเผาเซ็นทรัลเวิร์ล พร้อมด้วยทีมกฎหมาย จะยื่นเอาผิดกับนายกรัฐมนตรีและนายสุเทพ ข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายอาญาตามมาตรา 157 ต่อ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ปปช. ซึ่งเป็นการยื่นครั้งที่ 2 ในคดีนี้ เพื่อต้องการให้มีการสอบสวนนายกรัฐมนตรีและนายสุเทพ ถึงกรณีบุคคลเผาเซ็นทรัลเวิร์ล
ทั้งนี้ นายพร้อมพงศ์ ได้เรียกร้องให้ ป.ป.ช.เร่งสอบสวนคลี่คลายคดีที่พรรคเพื่อไทยได้ยื่นให้มีการตรวจสอบหลายคดี เกี่ยวกับการเสียชีวิตของกลุ่ม นปช. เนื่องจาก เห็นว่า ปปช.มีความล่าช้าในการดำเนินการ เพราะ 10 เมษายนนี้ ก็เท่ากับครบรอบ 1 ปี การเสียชีวิตของผู้ชุมนุมแล้ว แต่ยังไม่มีความชัดเจนในคดีเกิดขึ้น
โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการออกมาแถลงข่าวของ นายวิทเยนทร์ มุตตามระ รองผู้อำนวยการศูนย์ประสานการช่วยเหลือเยียวยา ผู้ประสบอุทกภัย ที่ได้ระบุว่า การรับบริจาคเงินเข้ากองทุนช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยผ่านทางสถานีโทรทัศน์ ที่รวมเป็นเงิน 110 ล้านบาทนั้น ขณะนี้ ได้เพียง 27 ล้านบาท ขาดไป 83 ล้านบาทนั้น เป็นการสะท้อนให้เห็นว่า รัฐบาลเอาหน้า กับความเสียหายที่เกิดขึ้นกับประชาชน ซึ่งถือว่าเข้าข่ายคดีทางแพ่ง เนื่องจากหน่วยงานที่รับบริจาคได้ประกาศรายชื่อผู้บริจาคผ่านโทรทัศน์หรือหนังสือพิมพ์แล้วนั้น ถือว่าเกิดสัญญา แล้ว และผู้บริจาคไม่ยอมดำเนินการตามนั้น ผู้เสียหายสามารถเอาผิดแก่ผู้ที่ทำให้เกิดความเสียหายได้ ขณะเดียวกัน ประชาชนภาคใต้ได้ร้องเรียนมาที่พรรคเพื่อไทย ให้เรียกร้องรัฐบาลเร่งดำเนินการ 3 มาตรการคือ มาตรการระยะสั้น เร่งนำเงิน 5 พันเยียวยาประชาชน เนื่องจากประชาชนเกรงว่าจะเกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยปี 53 ที่รัฐบาลไม่นำเงิน 5 พันชดเชยประชาชนทั่วถึง มาตรการระยะกลาง ให้รัฐบาลเร่งฟื้นฟูสถานที่ ถนนหนทาง และสาธารณูปโภค
มาตรการระยะยาว เรียกร้องให้รัฐบาลตรวจสอบผู้กระทำผิด ที่เป็นหัวคะแนนนักการเมือง ที่ประชาชนตั้งข้อสังเกตว่าอาจเชื่อมโยงกับกรณีที่ทำให้เกิดอุทกภัย โดยเฉพาะจังหวัดกระบี่ ที่พรรคฯได้รับรายงานว่า มีการตัดไม้ทำลายป่า ทำเหมืองแร่ ระเบิดหิน ทำให้กระทบกับป่า ซึ่งเป็นต้นน้ำลำธารถูกทำลาย
