“สมเกียรติ” แหยงพรรค ปชป.บริหารปีเดียวต้องประกาศขอไม่ลงเลือกตั้ง จนถึงขอลาออก ถามทำตาม รธน. ไม่ทำตามมติพรรคมันผิดตรงไหน แนะ กมม.ทบทวนจะเอาพรรคหรือมวลชนพันธมิตรฯ เผย “ยะใส” เลือกแล้วยันไม่ลงสมัครเลือกตั้งแน่
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง "รวมพลัง ปกป้องแผ่นดิน" การเสวนา "ราชอาณาจักรไทยกำลังจะเสียดินแดน"
วันที่ 1 เม.ย. 2554 บนเวทีปราศรัยการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ส.ส.ระบบสัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า วันก่อนมีคนสร้างข่าวว่าพวกเราแตกกัน ขอยืนยันว่าพวกเราไม่เคยแตกแยกกัน การเคลื่อนไหวหรือทำอะไรชุมนุมปรึกษาหารือกันตลอด ตนต่อสู้มา 193 วัน ขณะนี้ก็ยังตระเวนให้ความรู้ตามที่ต่างๆ จนได้รับรางวัล 2 อย่าง อย่างแรกได้รับโทษเส้นโลหิตตีบ อย่างที่สอง แพ้คดีแรกซึ่งเขาฟ้องเป็นคดีแพ่งครั้งเราชุมนุม 193 วัน เรียกค่าเสียค่าเสียหาย 522 ล้านบาท อย่างไรก็ดี ถือว่าเราเกิดมาโชคดี แพ้ก็ถือว่าคุ้มได้ทำเพื่อชาติ ค่าเสียหายเท่าไรเรามีจะโอนให้หมดเลย สู้กันขนาดนั้น เพราะไม่รู้จะเอาไว้ทำไม ประเทศส่อเสียดินแดนอยู่แล้ว
นายสมเกียรติกล่าวต่อว่า ตนมาอยู่พรรคประชาธิปัตย์ เดิมทีไม่อยากมาสมัครเป็น ส.ส.เลย มีคนในพรรคโทร.ไปหาตนหลายครั้ง บอกถึงเวลาต้องมาลงแล้วเพราะคุณมีคะแนนเสียงมากคนหนึ่ง ตนก็ยังไม่ไปจนกระทั่ง นายไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ คนที่ตนนัับถือชวนถึงได้ไป อย่าลืมพรรคพรรคประชาธิปัตย์ ชนะได้คราวนั้นเป็นเพราะพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย อย่างไรก็ดี พอตนมาอยู่ในพรรคได้รู้ว่าเหตุการณ์ไม่ได้เป็นอย่างที่หวัง พรรคทำให้ตนหมดอาลัยตายอยาก จนทำให้ช่วงที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ บริหารประเทศได้แค่ปีเดียว ตนก็ประกาศ ที่ จ.นครศรีธรรมราช เลยว่าสมัยหน้าจะไม่ขอลงเลือกตั้งอีก นอกจากนี้ที่หาดใหญ่ ก็ประกาศจะลาออกและจะไม่ลงเลือกตั้ง
“เหตุผลที่เขาอยากไล่ตนออก เพราะตนมาพูดกล่าวหาพรรค ไม่ทำตามมติพรรค อย่างอภิปรายไม่ไว้วางใจตนก็งดออกเสียง ที่ทำเช่นนี้เพราะตนทำตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 122, 123 และมาตรา 126 ที่ว่า จะไม่ตกอยู่ภายใต้อาณัติพรรคการเมืองใดๆ เขาจะเอาชื่อตนเข้าที่ประชุมพรรคเพื่อขับออก ทั้งนี้ตนก็อยากให้เขาขับออกเสียที รอมานานแล้ว”
นายสมเกียรติกล่าวต่อว่า นายอภิสิทธิ์เป็น ส.ส.แบบสัดส่วนเหมือนกันกับตน ซึ่งตนเคยเสนอให้ลาออกพร้อมกันเพราะเราทำเสียหายเหมือนกัน แต่เขาก็ไม่ลาออก ตนจึงสรุปความสัมพันธ์ระหว่างตนกับพรรคประชาธิปัตย์ได้ว่า 1.เขาขอร้องให้ตนมาลง ส.ส. เพราะเห็นว่าเป็นพันธมิตรฯ และแกนเป็นนำพันธมิตรฯด้วย จำทำให้คะแนนสูงขึ้น 2.ตนปฏิบัติตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ ไม่ทำตามมติพรรค ดังนั้นหากเขามาไล่ตนออกย่อมไม่เป็นธรรม ระเบียบของพรรคจะใหญ่กว่ารัฐธรรมนูญไม่ได้
“เข็ดแล้วกับพรรคการเมือง ตอนนี้มีแต่พรรคประชาชนคือพี่น้องที่นี่ และที่อยู่หน้าจอ จะลาออกมาอยู่กับพี่น้อง ดำเนินการเมืองแม้สุขภาพไม่ดีแต่จิตใจมาอยู่กับพี่น้องแล้วครับ เดี๋ยวนี้คนในพรรคแทบไม่พูดถึงตนเลย เดินส่วนกันก็ก้มหน้าไม่มองหน้ากัน ก็ดีครับเพราะตนไม่อยากทักกลุ่มคนที่เรียกว่า ก๊วนการเมือง”
นายสมเกียรติกล่าวถึงพรรคการเมืองใหม่ว่า ถือ พรรคการเมืองใหม่เป็นส่วนหนึ่งของพันธมิตรฯ จึงขอส่งความคิดนี้ไปยังพรรคการเมืองใหม่ว่า ท่านจะยึดถือพันธมิตรฯหรือยึดถือ กกต. แล้วลงเลือกตั้งให้เลือกเอา อย่างไรก็ดีตนทราบว่า ขณะนี้ นายสุริยะใส กตะศิลา มาอยู่กับเราโดยให้คำมั่นว่าจะไม่ลงเลือกตั้ง ยังเหลืออีกไม่กี่ท่านจะลงเลือกตั้งหรือไม่เราไม่ว่า ขณะนี้เราได้ประกาศแล้วจะโหวตโน ขอให้ไปทบทวนอีกครั้งว่าพันธมิตรฯไม่ได้เกิดมาเพื่อตำแหน่งทางการเมือง เราเกิดมาทำเพื่อชาติ ทั้งนี้เราจะรอแถลงผลการประชุมพรรค วันที่ 24 เม.ย.นี้ แล้วจะได้รู้กัน หากดื้อดึงจะลงสมัครเลือกตั้ง พรรคต้องแยกทางกันไป
การ “โหวตโน” มีคนบอกถ้าโหวตโนเป็นการทำผิดกฎหมมาย ที่จริงโหวตโนเป็นหนทางหนึ่งของกระบวนการประชาธิปไตย เราไปใช้สิทธิแต่ไม่เลือกใคร แล้วมันผิดตรงไหน เมื่อช่วงปี 2549 พรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทย พรรคมหาชน ก็ไม่ส่งคนลงสมัครเลือกตั้ง เพราะเห็นว่าพรรคเพื่อไทยบริหารไม่ชอบ ถึงขั้นนายอภิสิทธิ์ออกมาบอกว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ไม่สามารถเป็นคำตอบได้ ตนก็อยากถามว่าแล้วการเลือกตั้งครั้งหน้าเป็นคำตอบของสังคมหรือ เลือกตั้งเข้าไปก็ได้แต่คนซื้อเสียง
“นางมุกดา สุวรรณชาติ เขียนคอลัมน์ในหนังสือพิมพ์มติชนว่า พรรคประชาธิปัตย์กับชาติไทย มีคะแนนเสียงแล้ว 7 ล้านเสียง แล้วคุณจะเอาคะแนนโหวตโนจากไหน ขาบอกว่าเราจะได้คะแนนโหวตโนแค่ 1 แสนเสียง ปัดโธ่..แค่ไม่ใช้สิทธิอะไรเลย เลือกตั้งคราวที่แล้วคะแนนโนโหวตทุกพรรคยังได้ 9 แสนเสียง คราวนี้จะไม่เป็น 10 ล้านหรือ วิเคราะห์ภายใต้อะไร พี่น้องโห่หน่อยครับ”
นายสมเกียรติกล่าวว่า โหวตโนครั้งนี้จะก่อให้เกิดการปฏิรูปครั้งใหญ่ทางการเมือง ตนฝันว่ามี ส.ส.ร.หรือจะเรียกอะไรก็แล้วแต่ ทั้งประเทศมารวมตัวกันทำการปฎิรูปทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม หรือประชาชนจำนวนมากออกมาเดินขบวนทำการเปลี่ยนแปลงประเทศ ภายใต้ทหารมาคุ้มครองเราให้ทำการเปลี่ยนแปลงประเทศ