"ผศ.จำรูญ" มอง "พันธมิตรฯ -นักการเมือง -ตำรวจ" เป็นคนพัฒนาหรือไม่ ผ่านกลไกใครคาดการณ์แม่นย่ำที่สุด บ่งชัด พันธมิตรฯ สุดแม่นบอกแนวทาง รบ. เสียงเสียดินแดน หากปล่อยให้มีการเลือกตั้งจะเกิดหายนะยิ่งใหญ่ที่สุด ส่วนนักการเมือง หากไม่ชั่วโดยสายเลือด เข้ามาต้องคาดการณ์ทำให้ ปชช.อยู่ดีมีสุข ปกป้องแผ่นดินไทย ก็ล้มเหลวทุกด้าน ด้าน ตร. คาดการณ์คิดผิดหมด เอาตร.มากมายมาเฝ้าคนดีโดยคิดว่าจะก่อการร้าย
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง "รวมพลัง ปกป้องแผ่นดิน" ปราศรัยโดย "ผศ.จำรูญ ณ ระนอง"
วันที่ 30 มี.ค. 2554 บนเวทีปราศรัยการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ ผศ.จำรูญ ณ ระนอง กรรมการพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวว่า หากจะแบ่งคน แบ่งได้ 2 ประเภท ระหว่างคนที่พัฒนาแล้ว กับ คนด้อยพัฒนา คนที่พัฒนาคือคนที่สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำ ทีนี้เรามาดูบรรดาแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ว่าพัฒนาหรือไม่ เราได้ประกาศตั้งแต่ พ.ศ. 2553 ว่า หากรัฐบาลปล่อยบ้านเมืองตามยถากรรม ทหารเข้าเกียร์ว่าง มีความสุขกับการค้าขาย นักธุรกิจมีความสุขกับการตัดไม้ทำลายป่า พ่อค้ามีความสุขกับสินค้าหนีภาษี
พันธมิตรฯ มองออกชัดว่าภายใต้การขึ้นทะเบียนปราสาทเขาวิหารเป็นมรดกโลก พื้นที่รอบเขาวิหารต้องเป็นของกัมพูชาแน่นอน จึงทำทุกวิถีทางไม่ให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนฝ่ายเดียวได้สำเร็จ วันที่25 ม.ค. เกิดการชุมนุมต่อต้าน เราคาดการณ์ล่วงหน้า ว่าต้องถูกกลั่นแกล้งต่างๆนาๆ จึงได้คิดวิธีป้องกันไม่ให้เกิดอันตราย ไม่ให้เกิดการสูญเสียจนถึงขั้น เลือดตกยางออก ประกาศชุมนุมสันติ อหิงสา แน่นอนการเคลื่อนไหวต้องไปขัดขวางกิเลสของนักการเมืองที่มีอำนาจ หวังประโยชน์จากการให้กัมพูชาขึ้นเป็นมรดกโลกฝ่ายเดียว ทันทีที่เรามาชุมนุม ตำรวจตรวจพบอาวุธสงครามจำนวนมาก แล้วประกาศไปทั่วทางโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ เพื่อต้องการให้พันธมิตรฯกลัวจะเกิดอันตราย แต่เนื่องจากว่าเราเป็นผู้ที่พัฒนา คาดการได้อย่างแม่นยำ ผู้ที่เสียผลประโยชน์ต้องเล่นงานเรา เราจึงไม่หวั่นไหวกับสิ่งที่เกิดขึ้น ดังนั้น พูดได้เต็มปากว่าพ่อแม่พี่น้องคือผู้ที่พัฒนา
ผศ.จำรูญ กล่าวว่าคนที่เข้ามาเป็นรัฐบาล ถ้าเป็นคนดีต้องมุ่งเข้ามาพัฒนาประเทศ ทำให้อยู่ดีมีสุข ต้องปกป้องแผ่นดินไทย เว้นแต่จะเป็นชั่วโดยสายเลือดหวังกอบโกยตั้งแต่แรก แต่นักการเมืองของไทยทำให้คนไทยไม่มีความสุข ยากจนลง เพราะมีนักการเมืองมุ่งแต่กอบโกยเอาเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง และก่อนที่นายอภิสิทธิ์ เป็นนายกฯ บอกพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร เป็นของไทย แต่ด้วยความอ่อนด้อยในการบริหารทำให้กำลังกลายเป็นของกัมพูชา
ทั้งนี้ที่น่าชอกช้ำอีกอย่าง กรณีคนไทย 7 คน ถูกจับไปขึ้นศาลเขมร นายอภิสิทธิ์ เป็นถึงนายกฯ ไม่สามารถช่วยด้วยเทคนิคของประเทศที่อยู่ใกล้เคียงกัน ยึดเอ็มโอยู ก็เจรจากับฮุนเซนไม่ได้ นอกจากนี้ยังมีพฤติกรรมกระทืบซ้ำอีก ดังนั้น มีแต่พวกเราเท่านั้นซึ่งต้องช่วยกัน มาต่อสู้เองหวังพึ่งใครไม่ได้ ตอนแรกที่มีการปะทะ ทหารบอกแล้วแต่รัฐบาลจะออกคำสั่งให้ทำอะไร บอกว่าอยู่เฉยๆกูก็อยู่เฉยๆ รัฐบาลบอกถอยก็ถอย บอกให้ขุดหลุมหลบภัยก็ขุด ทหาร รัฐบาลเล่นอะไรกันอยู่ รู้หรือป่าวคนศรีสะเกษเขาเดือดร้อน เขาก็เป็นคนไทยเสียภาษีเหมือนกัน สมเล้วที่ นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ บอกเป็นสภา เถื่อน ถีบ ถ่อย และตนขอแถมให้อีกหนึ่งสภา ถุย
ผศ.จำรูญ กล่าวว่า ตำรวจชั้นผู้ใหญ่ เป็นคนที่พัฒนาหรือไม่ ถ้ามองกันในแง่ที่ว่าใครคาดการณ์ล่วงหน้าได้ถูกต้อง สามารถตอบได้ทันทีหากดูจากตำรวจชั้นผู้น้อยที่อยู่รอบที่นี่ ขนตำรวจมาครั้งละกี่กองร้อย ใช้งบประมาณในการมาเฝ้าพ่อแม่พี่น้องเป็นเงินเท่าไร ยึดถนนสองเลนเอาลวดหนามมาล้อม ใช้กำลังตำรวจเท่าไรและนานเท่าไรแล้ว ตำรวจใหญ่ รู้บ้างหรือป่าวว่า ตำรวจผู้น้อยเขาเดือดร้อนต้องเดินทางมาจากต่างจังหวัด กลางวันอากาศร้านจะตาย ต้องใส่เสื้อเกราะ สนับแข้งสนับเข่า ทำเหมือนคนที่นี่จะเอาปืนไปยิงอย่างนั้นแหละ สมองตำรวจผู้ใหญ่ คิดได้เพียงเท่านี้ คาดการผิดทั้งหมดว่าเราจะไปทำร้าย ดูถูกคนดีแห่งประเทศไทยได้อย่างไร คนที่นี่คือคนดีศรีประเทศ คุณอย่าเอาไปเปรียบเทียบกับ ส.ส. เฮงซวย และที่คิดว่าเราจะเข้าไปในรัฐสภา เอาสมองส่วนไหนคิดแสดงว่าเป็นคนไม่พัฒนา ขอบอกเราไม่มีความคิดเช่นนั้นเลย ตำรวจยศใหญ่ๆละอายบ้างไหม หากเป็นคนที่พัฒนาต้องเอากำลังเหล่านี้ไปปกป้องไม่ให้เขมรเข้ามาในดินแดนเรา
“เอาตำรวจชั้นผู้น้อยมาทรมาน กลางวันอากาศก็ร้อน แล้วน้ำคุณให้เขาวันละกี่ขวด ไอ้ขวดเล็กๆนั่นตนดื่มครั้งเดียวก็หมดแล้ว และข้าวที่ให้เขากินเขาอิ่มหรือป่าว เคยดูแลคุณภาพอาหารหรือไม่ ชั่วหรือไม่เอาข้าวบูดมาให้เขากิน ตำรวจทั้งหลายเขาเป็นมนุษย์ไม่ใช่สัตว์จะได้เอาอะไรไปให้กินก็ได้”
ผศ.จำรูญ กล่าวอีกว่า หัวใจในการปกครองต้องทำให้ประชาชนอยู่ดีมีสุข ต้องเคารพสิทธิศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ทุกคนที่เขามาทำหน้าที่บริหารเขาเรียกว่ามาทำการเมือง แต่บ้านเมืองของเราเล่นการเมือง ปี 48 บ้านเมืองของเรา เกินครึ่งในสภาเราหมดหวัง เขาไม่มีจิตวิญญาณในการทำให้ประชาชนอยู่ดีมีสุข จนกระทั่งพรรคประชาธิปัตย์ บอกว่าสิ้นหวัง หากเลือกตั้งคนพวกนี้ก็เข้ามาใหม่ ด้วยเหตุนี้จึงไม่ ส่ง ส.ส. ลงเลือกตั้ง จนเกิดสูญญากาศในประเทศ กระทั่งมีพระเอกขี่ม้าขาวมาให้ประชาชนมองเป็นทางรอดของประเทศ ในที่สุดพรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาล ได้ทำให้ประชาชนเห็นว่าสิ้นหวังแล้วจริงๆ เมื่อบ้านเมืองถึงทางตันพันธมิตรฯ ก็คาดการล่วงหน้า หากปล่อยให้มีการเลือกตั้ง ประเทศเราจะเกิดหายนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ถึงได้ออกมาประกาศถ้ามีการเลือกตั้งจะโหวตโน