xs
xsm
sm
md
lg

“เจ๊สด” ฝากชะตาทิ้งเก้าอี้ ตามสภาผ่าน-ไม่ผ่าน กม.ลูกเลือกตั้ง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นางสดศรี สัตยธรรม (แฟ้มภาพ)
“สดศรี” ยังกั๊กออก-ไม่ออก ลั่นหาก กม.ลูกผ่านพร้อมเดินหน้าจัดเลือกตั้ง หากไม่ผ่านไม่ร่วมสังฆกรรม 4 กกต.ออกประกาศเลือกตั้ง เหตุไม่อยากร่วมซ้ำรอยประวัติศาสตร์ 3 หนาติดคุก โต้สมัคร กก.ปฏิรูป กม. ไม่คิดล้มเลือกตั้ง หรือกดดันให้ กม.ลูกผ่าน ระบุขนาด ส.ส.ยังย้ายพรรคได้ ทำไมจะไปบ้างไม่ได้ ขณะเดียวกันพร้อมปลุกพนักงาน กกต.ทันเขี้ยวนักการเมือง รักษาองค์กร

วานนี้ (29 มี.ค.) นางสดศรี สัตยธรรม กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ด้านกิจการพรรคการเมือง กล่าวถึงการพิจารณากฎหมายลูก 3 ฉบับจะทันการยุบสภาหรือไม่ ว่า เรื่องอุบัติเหตุทางการเมืองไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจะราบรื่นหรือไม่ แต่หากมองในแง่ดีก็น่าจะแล้วเสร็จก่อนเวลาที่นายกฯประกาศว่าจะยุบสภา ซึ่งคิดว่าน่าจะเสร็จทัน อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ทราบว่า ส.ส.ได้มีการขอแปรญัตติหลายมาตรา เช่น บัตรเลือกตั้งที่จะให้ทุกจังหวัดจัดพิมพ์ตามจำนวนผู้สมัครในแต่ละเขตของจังหวัดนั้น ซึ่งตรงนี้ถามกลับไปว่าจะทำได้หรือไม่ เพราะผู้สมัครแต่ละเขตมีไม่เท่ากัน ซึ่งทางสำนักงานกองสลากกินแบ่งรัฐบาล และโรงพิมพ์ของกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทยคงพิมพ์ให้ไม่ได้ ดังนั้นถ้าทุกพรรคอยากเลือกตั้งเหมือนกันหมดการจะแปรญัญติขอให้แปรอย่างมีเหตุและผล

เมื่อถามว่ามีสัญญาณอะไรบ่งบอกที่จะทำให้ไม่มีการเลือกตั้งหรือไม่ นางสดศรีกล่าวว่า มีหลายเรื่อง เช่น ข้อตกลงเรื่องเจบีซี ที่ขณะนี้ทางรัฐสภาก็ไม่รู้ว่าจะเอาอย่างไร จะจนมุมหรือไม่ จนไปนำสู่การยุบสภา ซึ่งเป็นเรื่องที่เราไม่คาดคิด เป็นปัญหาของนักการเมือง ในส่วนของ กกต.ก็ภาวนาขอให้กฎหมายลูกเสร็จทันภายในกำหนดระยะเวลา เพราะกฎหมายนี้ต้องผ่านไปให้วุฒิสภาพิจารณาอีก จากนั้นก็ต้องนำร่างกฎหมายทั้ง 3 ฉบับส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญหรือไม่ โดยกกต.ต้องการให้ทุกอย่างเดินไปได้ด้วยดี และไม่ต้องการให้ย้อนกลับไปยังรัฐสภาอีกครั้ง เพราะอาจจะมีปัญหาในเรื่องขององค์ประชุมที่ไม่ครบ หรือมีเรื่องที่เป็นประเด็นทางการเมืองที่ไม่อยากทำให้เสร็จ แต่ กกต.ก็มองในแง่ดีว่าจะเสร็จเรียบร้อย เพราะ กกต.ไม่ต้องการที่จะออกประกาศหลักเกณฑ์ตามมาตรา 7 ของ พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ

เมื่อถามต่อว่า หากได้เป็นคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายในช่วงที่มีการเลือกตั้งจะมีปัญหาหรือไม่ นางสดศรีกล่าวว่า ไม่คิดว่าตนเองจะสำคัญขนาดนั้นและกฎหมายก็ไมได้ห้ามไม่ให้ กกต.ไปไหน ขนาด ส.ส.ยังย้ายพรรคการเมืองได้ เหลือแค่รัฐมนตรีถ้าได้เป็นเมื่อไหร่ลาออกแน่นอน ทั้งนี้ยืนยันว่าไม่มีใครมากดดัน แต่สิ่งที่วิตกคือเรื่องของกฎหมาย อยากให้เสร็จภายในระยะเวลาที่นายกฯ ระบุไว้ว่าจะมีการยุบสภา การให้ กกต.ออกประกาศเป็นการสุ่มเสี่ยงอย่างยิ่ง ถ้าเราออกกฎหมายแล้วมีการตีความได้ก็จะมีการร้องว่าการเลือกตั้งไม่ชอบ ขอให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ ดังนั้นหากจะให้ กกต.จัดการเลือกตั้งก็ขอให้ให้อาวุธแก่ กกต.ด้วย

“ตัวเองมองว่าสถานการณ์บ้านเมืองขณะนี้รุนแรงมาก และการพิจารณากฎหมายเกี่ยวกับกรเลือกตั้งก็ยังเป็นอย่างนี้ ถ้าเปิดอกคุยกันได้ คิดว่า กกต.ทุกคนคิดหนักต่อการที่จะใช้มาตรา 7 วรรคสองของรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขในการออกประกาศเกี่ยวกับการเลือกตั้ง เราไม่อยากให้วาระสุดท้ายของ กกต.ชุดนี้ซ้ำรอย กกต.ชุดก่อน จึงอยากให้กฎหมายผ่านการพิจารณาของสภาฯให้เรียบร้อย ตอนที่นายกฯและเลขากฤษฎีกามาหรือกับ กกต. ท่านก็ยังบอกว่าเสียดายที่ไม่ได้ให้ กกต.เข้าไปมีส่วนร่วมกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 93-98 แต่ทั้งนี้ถ้าที่สุดแล้วมีการยุบสภาโดยที่กฎหมายไม่แล้วเสร็จและ กกต.ต้องออกประกาศฯ ดิฉันก็จะขอใช้สิทธิ์ไม่ลงนามในประกาศฯ เพราะในเมื่อ กกต.ทั้ง 4 คนบอกว่าสามารถทำได้ และการออกประกาศฯ เป็นเรื่องของเสียงข้างมาก ก็ให้ท่านลงนามและรับผิดชอบกับการถูกฟ้องกันไป” นางสดศรีกล่าว

นางสดศรียังกล่าวอีกว่า การไปสมัครเป็นคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายในวันที่ไปสมัครยังได้พูดและชักชวนนายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต.ก็บอกว่าไม่เอา ซึ่งที่ไปสมัครเพราะเห็นว่าเป็นงานที่ตนเองอยากทำ และหากได้ทำก็จะอยู่ตรงนั้นเงียบๆ เป็นเวลา 8 ปี ไม่ได้คิดและคาดการณ์ว่าจะถูกนำมาเป็นประเด็นทางการเมือง ถูกมองว่าไปสมัครเพื่อกดดันให้กฎหมายลูกผ่าน หรือต้องการล้มการเลือกตั้ง เพราะถ้าไม่มี กกต.เพียงคนเดียวไม่ใช่ว่าจะจัดการเลือกตั้งไม่ได้ ขนาด กกต.บางคนยังแสดงความยินดีด้วยซ้ำว่าเหลือเพียงแค่ 4 คนก็สามารถทำงานต่อได้และมองว่าช่วงเวลา 60 วันของการสรรหา กกต. แทนตำแหน่งที่ว่างนั้นที่เหลือก็ทำงานต่อไปได้ แต่อยากบอกว่าการไปสมัครคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายมันไม่ใช่ทางสะดวก เพราะมีผู้ที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อมจำนวนมาก รวมทั้งไม่ได้คิดไกลว่าจะได้ เพราะกรรมการปฏิรูปกฎหมายชุดเดิมก็มาลงสมัครทั้งคณะ คณะกรรมการสรรหาก็คงต้องคัดเลือกกรรมการชุดเดิมเข้ามาทำหน้าที่ก่อน แต่ตนเองมองว่าเมื่อมีโอกาสก็อยากจะทำ ขนาดนายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการ กกต.ยังไม่สมัครคณะกรรมการกิจการกระจายสียงและวิทยุโทรทัศน์แห่งชาติ (กสทช.) ได้ แล้วทำไมตนจะไปสมัครบ้างไม่ได้

เมื่อถามว่า ถ้าคิดว่าไม่ได้แล้วจะถอนตัวหรือไม่ นางสดศรีกล่าวว่า ตนเป็นคนที่เดินหน้าแล้วไม่ถอยหลัง ก็ให้คณะกรรมการสรรหาพิจารณาเลย ถ้าไม่ได้ก็จะได้รู้ว่าไม่ได้ และจะได้ถามสาเหตุว่าเพราอะไร เมื่อถามต่อว่าหากได้รับการสรรหาก็จะลาออกใช่หรือไม่ นางสดศรีกล่าวว่า ยังไม่แน่ต้องดูกฎหมายลูกก่อนถ้าเรียบร้อยก็ไม่ไป

อย่างไรก็ตาม ในวันเดียวกัน นางสดศรียังได้กล่าวมอบนโยบายให้แก่ผู้ที่รับตำแหน่งหัวหน้างานของ กกต.ใหม่ประจำปี 2554 ตอนหนึ่งระบุว่า การเป็นผู้บริหารที่ดีนั้นต้องรู้จักบริหารงาน บริหารคนต้องบริหารตนเองให้เป็น โดยเฉพาะคนที่เป็นพนักงานของ กกต.ต้องรู้ว่านักการเมืองทุกระดับที่เข้ามาหาตนเองนั้นต่างก็ประสงค์เพื่อหาประโยชน์ของตนเองทั้งนั้น หลายครั้งที่ กกต.ได้รับบัตรสนเท่ห์ว่าเจ้าหน้าที่ กกต.รับสินบน ฉะนั้นจึงควรระมัดระวังตัวอย่าให้เขาเอาไปอ้างได้ นอกจากนี้ต้องรู้จักรักษาความลับขององค์กรและของทางราชการ เพราะการนำความลับไปเปิดเผยจะถูกดำเนินคดีทางวินัยและทางอาญา

“พนักงาน กกต.ต้องทันต่อความเขี้ยวของนักการเมือง ที่ผ่านมาเราถูกวิพากษ์วิจารณ์ตลอดว่าตามเรื่องการซื้อสิทธิขายเสียงของนักการเมืองไม่ทัน ซึ่งต้องยอมรับว่าประเทศไทยเก่งเรื่องการโกง หากประกวดคงได้รับรางวัลระดับโลก เพราะขนาดโทรศัพท์สาธารณะก็ยังคิดใช้ไม้จิ้มฟังไปกั้นไว้ไม่ให้ตัวเองต้องเสียเงินค่าโทรศัพท์ วิธีการเหล่านี้คนไทยชำนาญ แต่เป็นวิธีการทำคดโกง ซึ่งส่วนตัวคิดว่าอยากให้พนักงานกกตงทำเป็นวิทยานิพนธ์หรือรายงานประกวดว่ามีความคิดในการป้องกันการซื้อสิทธิขายเสียงอย่างไร เพราะเชื่อว่าคนรุ่นใหม่สมัยนี้มีความเฉลียวฉลาดมากกว่าผู้สูงอายุที่มีประสบการณ์บางคน” นางสดศรีกล่าว

นางสดศรียังกล่าวอีกว่า อยากให้พนักงานกกต.มีความรักและหวงแหนองค์กร ใครที่ปรามาสว่า กกต.จัดการเลือกตั้งไม่ดีก็ต้องรู้จักตอบโต้ และทำงานให้เห็นเพื่อเป็นการลบคำสบประมาท อย่างตนสมัยที่เป็นผู้พิพากษาใครว่าองค์กรก็จะต้องออกมาปกป้อง เมื่อมาเป็น กกต.ก็เช่นกัน ตนไม่ชอบคนที่กินบนเรือนแล้วขี้รดบนหลังคา เราอยู่องค์กรไหนต้องให้ใจกับองค์กรนั้น ถ้าบ้านเราเราไม่รักแล้วใครจะมารัก ตนเหลือเวลาอีกแค่ 2 ปีก็จะหมดวาระ ที่เป็นห่วงคือสำนักงานกกตงไม่มี พ.ร.บ.เกี่ยวกับองค์กร หากมีรัฐประหารองค์กรก็จะไปเลย แล้วอยากหวังว่าจะมีการตั้งองค์กรนี้ขึ้นมาอีก เวลานี้มีคนอยากทำหน้าที่นี้อย่างยิ่ง เพราะกกต.เป็นองค์กรที่ชี้เป็นชี้ตาย พนักงานไม่ต้องศรัทธา กกต.ทั้ง 5 คน แต่ต้องศรัทธาและรักษาองค์กรเอาไว้ ต้องคิดว่าปากท้องอยู่ที่นี้ อย่าทุบหม้อข้าวตนเอง และต้องคิดว่าพนักงาน 2 พันคนเหมือนอวัยวะขององค์กร อย่าให้เขามาตัดแขนตัดขา เพราไม่เช่นนั้นองค์กรก็จะทำงานไม่ได้

“แม้ว่าดิฉันและคณะจะมีเหตุจำเป็นต้องไป หรือต้องไปทั้งหมด พนักงานก็ต้องอยู่เพื่อองค์กรของเรา 12 ปีที่ผ่านมาอย่าให้เป็นแค่ประวัติศาสตร์ ว่าครั้งหนึ่งเคยมี กกต. แต่ต้องทำให้อีก 50ปีก็ยังมี กกต. ถ้าทุกคนปฏิบัติหน้าที่โดยยึดหลักว่าองค์กรเราล้มไม่ได้และเราจะอยู่ยั้งยืนยงไม่ว่าจะเปลี่ยนรัฐธรรมนูญอีกกี่ฉบับก็ตาม” นางสดศรีกล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น