“ปานเทพ” เผย ส.ส.โดดประชุมสภารับรองเจบีซี สะท้อนเคลื่อนไหวได้ผล ชี้ ถ้าสภาเห็นชอบเท่ากับรับรองข้อตกลงชั่วคราวทันที ทำเขมรใช้อ้างนานาชาติได้ ระบุ กก.ป้องกันราชอาณาจักร รอดูท่าทีสภาก่อนเคลื่อนไหวต่อ ย้ำ หากขับกัมพูชาพ้นแดนปัญหาจบ “ประพันธ์” เชื่อ สมาชิกรัฐสภากังวลเจบีซีเป็นหนังสือสัญญาหรือไม่
วันนี้ (25 มี.ค.) ที่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวถึงกรณีที่ที่ประชุมร่วมรัฐสภาจะมีการการพิจารณาร่างบันทึกการประชุม คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (เจบีซี) 3 ฉบับ ในวันนี้ ว่า ในขณะนี้ที่ประชุมยังไม่สามารถเปิดการประชุมได้ เนื่องจากสมาชิกรัฐสภายังไม่ครบองค์ประชุม แสดงให้เห็นว่า หลายคนเจตนาจะไม่มาเข้าร่วมการประชุมที่ต้องรับรองหรือเห็นชอบบันทึกเจบีซี ซึ่งตลอด 2 วันที่ผ่านมา ประชาชนได้ร่วมกันส่งข้อความทางโทรศัพท์ ทางอินเทอร์เน็ต รวมทั้งเข้าพบโดยตรงกับบรรดาผู้แทน เพื่อขอร้องให้ทบทวนการพิจารณาร่างบันทึกเจบีซีนี้เป็นจำนวนมาก จนกระทั่งเช้านี้เราได้รับแจ้งจากสมาชิกรัฐสภา ทั้งวุฒิสภา ส.ส.ในฝ่ายค้านและรัฐบาล ตัดสินใจจะลาประชุม สะท้อนว่า การเคลื่อนไหวของภาคประชาชนได้ผล
นายปานเทพ กล่าวอีกว่า นักการเมืองฝ่ายรัฐบาล พยายามพูดในทำนองที่ว่าร่างข้อตกลงชั่วคราวที่แนบเข้ามาในการประชุม ไม่มีสถานภาพเป็นสนธิสัญญา เพียงแต่แนบท้ายบันทึกการประชุมมา เพื่อให้รับทราบเท่านั้น แต่แท้จริงแล้ว หากรัฐสภาให้ความเห็นชอบกับบันทึกผลการประชุมก็จะมีผลรับรองข้อตกลงชั่วคราวไปโดยปริยาย เพราะในรายงานการประชุมเจบีซีครั้งที่ 3 มีการตกลงที่จะใช้ร่างข้อตกลงดังกล่าวไปแล้ว ดังนั้น จะอ้างว่ายอมรับเพียงบันทึกการประชุม ไม่รับรองข้อตกลงชั่วคราวจึงทำไม่ได้
โฆษกพันธมิตรฯ กล่าวอีกว่า ขณะนี้มีนักการเมืองบางส่วนเริ่มลังเล และมีความพยายามลดระดับจากการให้ความเห็นชอบ เหลือเพียงการรับทราบบันทึกทั้ง 3 ฉบับ โดยใช้วิธีตั้งข้อสังเกตแทน ซึ่งในความเป็นจริงหากมีความเห็นชอบไปแล้ว ข้อสังเกตใดๆ ไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงผลการประชุมที่เกิดขึ้นไปแล้ว กัมพูชาสามารถอ้างข้อความที่รัฐสภาไทยให้ความเห็นชอบในเวทีนานาชาติได้ทันที ว่า ฝ่ายไทยโดยรัฐสภาให้ความเห็นชอบบันทึกการประชุมที่ฝายไทยเสียเปรียบ ส่วนการตั้งข้อสังเกตไม่ถือเป็นข้อผูกพันใดๆ ในขณะที่ ส.ว.บางส่วนก็เห็นว่าเรื่องนี้มีความละเอียดอ่อน จำเป็นต้องพิจารณาให้รอบคอบ ถึงขั้นส่งข้อความให้เพื่อน ส.ว.พิจารณาเรื่องนี้อย่างรอบคอบ ทำให้ ส.ว.เริ่มมองเห็นว่า แม้จะเป็นการรับทราบเท่านั้นก็อาจเกิดปัญหาที่ไปรับรองเงื่อนไขที่ฝ่ายไทยเสียเปรียบได้ โดยกัมพูชาจะนำไปใช้กับเวทีนานาชาติ แม้ว่าเส้นเขตแดนจะยังไม่ได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาก็ตาม แต่หากมีการผ่านบันทึกการประชุม ไม่ว่าจะรับรองหรือรับทราบ กัมพูชาจะใช้ประโยชน์เพื่อความชอบธรรมในการรุกคืบจากที่ได้ยึดครองแผ่นดินไทยในทางปฏิบัติอยู่แล้ว อีกทั้ง ส.ว.บางส่วนยังเห็นว่าบันทึกนี้ยังไม่ใช่ระดับสนธิสัญญาที่จะต้องเข้ามาเสนอในรัฐสภา ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 ซึ่งหากมีการเปิดประชุม ส.ว.ก็จะเสนอให้ส่งบันทึกเจบีซีทั้ง 3 ฉบับคืนให้แก่กระทรวงการต่างประเทศ โดยที่สมาชิกรัฐสภาไม่ต้องรับทราบหรือเห็นชอบทั้งสิ้น
“ในเมื่อสถานการณ์มีความไม่ชัดเจนสูง และสมาชิกรัฐสภายังมาไม่ครบองค์ประชุม คณะกรรมการป้องกันราชอาณาจักรไทยจึงยังไม่ต้องกำหนดท่าทีว่าจะเคลื่อนหรือไม่แต่ประการใด โดยต้องรอดูแนวโน้มของที่ประชุมรัฐสภาเสียก่อน เพราะจุดที่เราชุมนุมห่างจากรัฐสภาไม่มาก หากมีการตัดสินใจเคลื่อนไปจริงก็ไม่ใช่เรื่องที่ช้าหรือเตรียมการณ์ไม่ทันแต่อย่างใด” นายปานเทพ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า ขณะนี้ถือว่าภาคประชาชนประสบความสำเร็จในการเคลื่อนไหวหรือไม่ นายปานเทพ กล่าวว่า ความสำเร็จอยู่เราทำหน้าที่แล้วหรือยัง หากเราทำหน้าที่ในการยืนหยัดชุมนุมเพื่อประกาศต่อคนไทยและนานาชาติให้เข้าใจถึงปัญหาที่แท้จริง รวมทั้งพยายามยื่นหนังสือทำความเข้าใจกับสมาชิกรัฐสภาแล้ว จึงถือว่าความสำเร็จอยู่ที่เราได้กระทำแล้ว ส่วนผลลัพธ์เป็นเรื่องที่ ส.ส.-ส.ว.จะเป็นผู้ตัดสินใจ
เมื่อถามต่อว่า หากที่ประชุมรัฐสภารับรองบันทึก 3 ฉบับไปแล้ว อาจจะเคลื่อนไหวเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงได้ยาก โฆษกพันธมิตรฯ กล่าวว่า หากรัฐบาลทำตาม 3 ข้อเรียกร้องของภาคประชาชนยกเลิกเอ็มโอยู 2543 ถอนตัวออกจากภาคีมรดกโลก และใช้กำลังทหารผลักดันกัมพูชาออกจากแผ่นดินไทย ซึ่งในความเป็นจริงหากรัฐบาลดำเนินการผลักดันกัมพูชาออกไปได้ก็จะสามารถแก้ไขปัญหาได้ทั้งหมด และบันทึกการประชุมเจบีซี 3 ฉบับก็ไม่มีผลใดๆ ในทางปฏิบัติ
ด้าน นายประพันธ์ คูณมี โฆษกคณะกรรมการป้องกันราชอาณาจักรไทย กล่าวเสริมว่า ปัญหาที่ที่ประชุมร่วมรัฐสภาไม่สามารถเปิดประชุมได้นั้น เพราะมีควงามกังวลในเรื่องนี้หลายประเด็น ตั้งแต่การตีความว่าบันทึกการประชุมเจบีซีเป็นหนังสือสัญญาหรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้กระทรวงการต่างประเทศ ก็ไม่ได้ระบุให้ชัดเจน เพราะหากเป็นหนังสือสัญญาก็เกิดปัญหา เนื่องจาก ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์เอง เป็นผู้ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ตีความว่าบันทึกการประชุมเป็นหนังสือสัญญา และต้องผ่านกระบวนการทางรัฐสภาหรือไม่ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญยังไม่ได้มีคำวินิจฉัยในเรื่องนี้ ทั้งยังมีปัญหาอีกว่าข้อตกลงชั่วคราวระหว่างไทยกับกัมพูชาเข้าข่ายเป็นหนังสือสัญญาหรือไม่ เพราะหากย้อนไปดูในอดีต เพียงแค่แถลงการณ์ร่วม หรือ จ๊อยส์ คอมมูนิเก้ ที่ นายนพดล ปัทมะ อดีต รมว.ต่างประเทศ ไปลงนามกับทางกัมพูชา ศาลปกครองและศาลรัฐธรรมนูญก็ยังถือว่าเป็นหนังสือสัญญา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรายการประชุมทั้ง 3 ฉบับ ยังระบุถึงการยอมรับให้มีการสำรวจและปักปันดินแดนใหม่ เท่ากับรัฐสภาต้องให้ความเห็นชอบในสัญญาที่ทำให้ประเทศไทยต้องเสียเปรียบและเสียดินแดน
“สมาชิกรัฐสภาจึงเห็นว่า หากร่วมรับรองจะเข้าข่ายการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ทำให้ประเทศเสียดินแดน รวมทั้งข้อมูลที่ภาคประชาชนให้ไปอย่างครบถ้วนและทำหนังสือส่งให้แก่สมาชิกทั้ง 2 สภา จึงทำให้สมาชิกมีความกังวลในการร่วมให้ความเห็นชอบ” นายประพันธ์ กล่าว
นายประพันธ์ กล่าวอีกว่า สาเหตุที่เรายังไม่ตัดสินใจขับเคลื่อนมวลชน เพราะยังไม่แน่ใจว่าจะสามารถประชุมได้ และแม้ประชุมได้ก็อยากให้รัฐสภาลงมติ เพื่อให้รู้ว่าใครบ้างที่เป็นเป้าหมายให้ประชาชนประณามคัดค้าน และที่สำคัญเราได้รับทราบจาก ส.ส.และ ส.ว.ว่าจะไม่ลงมติรับรองบันทึกทั้ง 3 ฉบับ เพราะต้องการให้เรื่องนี้เป็นความรับผิดชอบของพรรคประชาธิปัตย์และพรรคร่วมรัฐบาลเพียงฝ่ายเดียว โดยไม่มีความจำเป็นต้องร่วมลงมติให้ความเห็นชอบด้วยแต่อย่างใด เพราะไม่เป็นผลดีในทางการเมือง
“พวกเราจึงเตรียมพร้อมอยู่ในที่ตั้ง เพื่อดูว่าการลงมติจะออกมาในทางใด ก่อนกำหนดมาตรการที่ชัดเจนออกมา โดยไม่ได้ไปก่อความวุ่นวายขัดขวางการประชุม ให้รัฐบาลสามารถนำมาเป็นข้ออ้างได้” นายประพันธ์ กล่าว
ทั้งนี้ คณะกรรมการป้องกันราชอาณาจักรไทย จะมีการประชุมหารือถึงมาตรการหลังจากทราบความชัดเจนของที่ประชุมรัฐสภาเสียก่อน โดยอาจมีการประกาศแนวทางบนเวทีปราศรัย รวมทั้งออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการ ในช่วงเวลา 20.00 น.ส่วนกิจกรรมการเผยแพร่เอกสารปัญหาบันทึกเจบีซี 3 ฉบับ เพื่อให้ความรู้แก่ประชาชนตามย่านธุรกิจยังคงดำเนินการในวันนี้อย่างต่อเนื่อง
