“เทือก” ลั่นไม่ปรับลดราคาน้ำมันปาล์มเหลือ 42 บาท ตามที่พาณิชย์ประกาศ แม้ผลผลิตปาล์มในประเทศจะออกมามีเป็นจำนวนมากแล้ว อ้างราคา 47 บาท สมเหตุสมผลเพราะต้องนำเข้าเสียค่าใช้จ่ายในการขนส่ง เร่งพาณิชย์ช่วยชดเชยโรงกลั่น หวั่นหากเกิดปัญหาในอนาคตจะไม่มีใครมาช่วย
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง ให้สัมภาษณ์กรณีที่นายฉัตรชัย ชูแก้ว ที่ปรึกษา รมว.พาณิชย์ ในฐานะโฆษกกระทรวงพาณิชย์ ออกมาระบุว่าจะมีการปรับราคาน้ำมันปาล์มลดลง 5 บาทต่อขวดว่า สิ่งที่เราต้องดูแลต่อไปคือต้องไม่ให้น้ำมันปาล์มขาดตลาดอีก ซึ่งในการประชุมนโยบายปาล์มน้ำมันเมื่อวานตนได้สอบถามรองอธิบดีกรมการค้าภายใน ซึ่งเป็นผู้แทนกระทรวงพาณิชย์ว่าตกลงกระทรวงพาณิชย์คิดอะไร และจะเอาอย่างไร ซึ่งเขาก็ยังยืนยันว่าจะเอาราคา 47 บาทต่อไป จนกว่าจะมั่นใจว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย
นายสุเทพกล่าวว่า คณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันนั้นมีความเป็นห่วงทั้งผู้บริโภคและเกษตรกรผู้ปลูกปาล์ม ถ้าราคาน้ำมันปาล์มในตลาดโลกลดลงเพราะฤดูนี้เป็นฤดูที่ประเทศต่างๆ รวมทั้งประเทศไทยจะมีปาล์มจะออกเยอะ หากราคาลดลงเกษตรกรก็จะเดือดร้อน เพราะฉะนั้น ทางเลือกของคณะกรรมการนโยบายปาล์ม คือ ให้กระทรวงพลังงานคอยดูดซับปริมาณของน้ำมันปาล์มดิบในส่วนที่เกินจากการบริโภค นำไปใช้ทำ B 3 หรือ B 5 ให้ได้สมดุลกัน และดูแลให้เกษตรกรสามารถขายผลปาล์มได้ในราคาที่เขามีกำไร เพราะว่าเป็นนโยบายของรัฐบาลที่จะต้องดูแลเกษตรกร
ผู้สื่อข่าวถามว่าจำเป็นต้องรอราคาตลาดโลกหรือไม่ เพราะขณะนี้ผลปาล์มจากในประเทศออกมาเยอะแล้ว อาจทำให้ความต้องการซื้อของประชาชนสามารถซื้อได้ถูกลงหรือไม่ นายสุเทพกล่าวว่า เราต้องดูต้นทุนราคาจริงว่าเท่าไหร่ ซึ่งจะมีการประชุมในวันพุธที่ 30 มีนาคมนี้ และตนได้ให้แต่ละฝ่ายไปทำรายละเอียด ทำการบ้านมาแล้วไม่ใช่พูดเอามันกันอย่างเดียว อย่างนี้ไม่ได้
“ในที่ประชุมนโยบายปาล์มน้ำมันเมื่อวานนี้ ได้มีการต่อว่าต่อขานกรมการค้าภายในกันพอสมควร และขอให้กรมการค้าภายในทำทุกอย่างได้ชัดเจน ซึ่งเขาเองก็กังวลใจในภาพพจน์ตัวเอง ซึ่งเขาได้ขอให้คณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันตั้งอนุกรรมการขึ้นมาหนึ่งชุด เพื่อตรวจสอบเรื่องที่เขาได้ดำเนินการทั้งหมด เพราะเขาก็ต้องการให้ฝ่ายอื่นๆ ร่วมตรวจสอบ ร่วมรับรู้ด้วย ทางคณะกรรมการจึงได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาหนึ่งชุดและจะให้ดำเนินการให้เสร็จภายใน 7 วัน โดยมีผู้แทนจากกระทรวงเกษตร กระทรวงพาณิชย์ และภาคเอกชนต่างๆ ซึ่งผมก็ว่าเป็นเรื่องที่ดี”
ผู้สื่อข่าวถามว่า ทางฝ่ายกระทรวงพลังงานฯระบุว่าหากต้องซื้อน้ำมันปาล์มในราคาแพง เพื่อมาผลิตไบโอดีเซลก็ไม่คุ้มกับต้นทุน นายสุเทพกล่าวว่า เรื่องหลักการที่จะนำน้ำมันปาล์มไปทำไบโอดีเซลนั้นเป็นหลักการที่เราได้ตกลงตั้งแต่แรกแล้ว ว่าเป็นผลประโยชน์ของประเทศชาติโดยส่วนรวม การที่เพิ่มเปอร์เซ็นต์ของน้ำมันปาล์มไปในน้ำมันไบโอดีเซลนั้น เป็นเรื่องที่เป็นผลดี เพราะว่าหากไม่นำน้ำมันปาล์มไปใช้ก็ต้องใช้สารเพิ่มพิเศษ เพื่อทำให้น้ำมันมีคุณภาพในการหล่อลื่น เพราะฉะนั้นแทนที่จะไปซื้อสารวิทยาศาสตร์เหล่านั้นมาใช้ ไปซื้อน้ำมันปาล์มที่มีประสิทธิภาพหล่อลื่นดีกว่า และในสัดส่วนที่เอาน้ำมันปาล์มมาผสม สามารถลดเม็ดเงินที่เป็นค่าน้ำมันเชื้อเพลิงส่วนนี้ ไม่ให้ออกไปต่างประเทศ และยังได้ประโยชน์กับประชาชนที่เป็นเกษตรกร ฉะนั้นเมื่อชั่งน้ำหนักแล้ว น่าจะเป็นคุณเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติมากกว่า
ผู้สื่อข่าวถามแย้งว่า แต่เขาต้องการราคาที่สมเหตุสมผล ไม่ใช่ว่าจะต้องไปซื้อในราคาที่แพง นายสุเทพกล่าวว่า ราคาก็สมเหตุสมผล เป็นธรรมชาติว่าราคาน้ำมันในตลาดโลก เมื่อขนมาถึงประเทศไทย ค่าใช้จ่ายค่าขนส่งต่างๆ บวกเข้าไปแล้วก็ต้องบวกอีกกิโลกรัมละ 2 บาทกว่า เมื่อถามถึงเงินค่าชดเชยน้ำมันปาล์ม ซึ่งภาคเอกชนระบุว่ายังไม่ได้จากรัฐบาล นายสุเทพกล่าวว่า น้ำมันปาล์มที่ผู้บริโภคในประเทศไทยใช้อยู่ต้นทุนจริงๆ คือเกือบ 60 บาทในเวลานั้น เราจึงไปตกลงกันว่าพ่อค้าก็ต้องลดกำไรในส่วนที่จะลดได้และรัฐบาลก็จะช่วยในบางส่วน พอตกลงกันแล้วกระทรวงพาณิชย์ยังไม่ได้จ่ายเงินให้เขา มันเป็นเรื่องของกระบวนการทางหนังสือราชการ การปฏิบัติราชการ
อย่างไรก็ตาม ตนได้เร่งรัดให้มีการดำเนินการ เพราะในวันข้างหน้าหากเกิดปัญหาวิกฤตจะไม่มีใครมาร่วมมือกับเรา ซึ่งกรรมการทั้งหลายก็เห็นด้วย ทางกระทรวงพาณิชย์ก็จะรีบปรับ และเวลาที่เสนอเรื่องไปคณะรัฐมนตรีบางทีไม่มีความชัดเจนก็จะต้องทบทวน ส่วนตนก็ให้คณะกรรมการนโยบายปาล์มมัน ดูมติทั้งหลายและมีมติยืนยันมติของคณะกรรมการทั้งหลายในแต่ละครั้ง และรายงานคณะรัฐมนตรี โดยในวันอังคารหน้าตนจะรายงานในคณะรัฐมนตรี
นายสุเทพกล่าวถึงการเดินทางไปร่วมในพิธีลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือแก้ไขปัญหา ยาเสพติดในพื้นที่ จ.นครปฐม และ จ.กาญจนบุรี ในวันที่ 24 มีนาคมนี้ว่า เรื่องยาเสพติดเป็นเรื่องที่เราจะต้องทำให้ต่อเนื่อง ตั้งแต่นายกรัฐมนตรีออกคำสั่ง 306/2553 ก็ได้มีการเร่งรัดปฏิบัติการในการปราบปรามยาเสพติด เพราะฉะนั้นหากจังหวัดไหนมีความพร้อมตนก็จะไปเป็นกำลังใจให้เจ้าหน้าที่ และประชาชน เชื่อว่าวิ่งที่เจ้าหน้าที่ทุกองค์ กรร่วมมือกันที่ผ่านมา ทำให้ขบวนการค้ายาเสพติดในประเทศไทย มีปัญหา ชะงักลงและ ลดจำนวนลงได้มาก จับกุมผู้ต้องหาได้มาก และขยายผลได้มาก และหากประชาชนให้ความร่วมมือมากๆให้เบาะแสมากๆ ก็จะช่วยเจ้าเหน้าที่ได้