“ประพันธ์” แจงนายกฯ ที่มาจากการปฏิวัติแต่งตั้ง ทุกคนล้วนแล้วแต่มีคุณูปการต่อชาติบ้านเมือง และถึงแม้จะสร้างความเสียหายต่อรวมกันทุกคนก็ยังไม่เท่านายกฯ ที่มาจากการเลือกตั้งเพียงคนเดียว ลั่นไม่ยอมรับอำนาจการปกครองจากพวกโจรห้าร้อยอีกแล้ว วอนวันไหนระดมพลขอให้พี่น้องประชาชนออกมาให้ทั่วแผ่นดินเพื่อร่วมกันเปลี่ยนแปลงประเทศด้วยตัวของเราเอง
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง “รวมพลังปกป้องแผ่นดิน” ปราศรัยโดย “นายประพันธ์ คูณมี”
เวลาประมาณ 20.50 น.วานนี้ (21 มี.ค.) นายประพันธ์ คูณมี โฆษกคณะกรรมการป้องกันราชอาณาจักร ขึ้นกล่าวปราศรัยบนเวที “ป้องกันราชอาณาจักร” ว่า ตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองปีพุทธศักราช 2475 เราเดินมาถึงวันนี้ 79 ปี ของระบอบประชาธิปไตย 79 ปีนั้น โดยเฉพาะช่วงหลังจากที่มีการเลือกตั้งระบอบตัวแทน ประเทศไทยฉิบหายมากกว่าระบอบที่นายกฯมาจากการแต่งตั้งและการปฏิวัติ
นายกฯ ที่มาจากการปฏิวัติ รัฐประหาร ไม่ต้องเลือกตั้ง ได้แก่ พล.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา จอมพล ป.พิบูลสงคราม ดร.ปรีดี พนมยงค์ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ จอมพลถนอม กิตติขจร นายสัญญา ธรรมศักดิ์ นายอานันท์ ปันยารชุน หรือแม้กระทั่ง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ก็ต้องถือว่าเป็นนายกฯ ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง และ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ทั้งหมดนี้รวมกันทำความเสียหายให้บ้านเมือง โกงทุจริตยังน้อยกว่านายกฯ ที่มาจากการเลือกตั้งคนเดียว นี่คือความระยำบัดซบของการเมืองระบอบเลือกตั้ง
บรรดาเหล่านี้ ปรากฏว่ายุคที่นายกฯ มาจากการแต่งตั้ง บ้านเมืองกลับเจริญมากกว่าการเลือกตั้ง โดยนักการเมืองโสโครกสกปรกพวกนี้ พระยาพหลพลพยุหเสนา ท่านปรีดี พนมยงค์ เป็นยุควางรากฐานการเมือง และระบอบเศรษฐกิจ จอมพล ป.พิบูลสงคราม ก็มีการสร้างกองทัพ พัฒนาบ้านเมือง เปลี่ยนแปลงประเพณีหลายสิ่ง แม้บางสิ่งไม่ดีแต่ก็ฝ่าฟันมา ความเสียหายที่เกิดขึ้น โกงทุจริต เสียชาติเสียแผ่นดิน ไม่มี มาถึงยุคจอมพลสฤษดิ์ ยุคนั้นมีการพัฒนาประเทศอย่างมาก เรียกว่าน้ำไหล ไฟสว่าง มีการตั้งสภาพัฒนาเศรษฐกิจ
นายสัญญา ธรรมศักดิ์ ก็มีการแก้ไขปฎิรูปกฎหมายมากมาย มีกฎหมายแรงงาน ค่าแรงขั้นต่ำเกิดในยุคนี้ มีการคุ้มครองแรงงาน ส่วนชาวไร่ชาวนา ก็มีปฏิรูปที่ดิน ส.ป.ก.4-01 ก็เกิดในยุคนี้ นายอานันท์ มาจากปฏิวัติโดย พล.อ.สุจินดา ก็มีการปรับปรุงภาษี พัฒนาการคมนาคม ประมูลระบบโทรศัพท์ มีการวางพื้นฐานให้ประชาชนสะดวกสบาย
มาถึงยุค พล.อ.เปรม ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ตอนนั้นนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง แต่กลัวอำนาจทหาร จึงตั้ง พล.อ.เปรม เป็นนายกฯ ยุคนี้จากการบริหารประเทศ 8 ปี พล.อ.เปรม ทำให้เศรษฐกิจเจริญรุ่งเรือง เงินคลัง ทุนสำรอง เหลือมากมาย ขุดพบแหล่งพลังงาน เป็นยุคที่โชติช่วงชัชวาล ข้าราชการไปดูงานเงินเหลือต้องคืนคลัง จัดเลี้ยงที่ทำเนียบก็ประหยัดให้ดื่มน้ำ ไม่มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การโกงทุจริตไม่มี มีจับได้ก็ไล่ออก และแม้จะเต็มไปด้วยคอมมิวนิสต์ โจรแบ่งแยกดินแดน ท่านก็ใช้ความรู้ความสามารถแก้ไขปัญหาได้หมด บ้านเมืองมีแต่ความสุข โดยไม่ต้องมาจากเลือกตั้ง
นายประพันธ์กล่าวอีกว่า ทีนี้มาดูตลอดยุครัฐประหารมีการยึดทรัพย์ 2 ครั้ง ครั้งแรกจอมพลสฤษดิ์ ถูกกล่าวหาว่าทุจริต ก็ยึดทรัพย์กว่า 604 ล้านบาท หนที่ 2 จอมพลถนอมและพวกก็ยึดไม่ถึง 100 ล้านบาท น้อยมากถ้าเทียบกับการโกงในยุคปัจจุบัน
หลังจากยุค พล.อ.เปรม นักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งเริงร่าเลย พล.อ.ชาติชาย ยุคนี้เรียกว่าบุฟเฟ่ต์คาบิเนต แดกด่วน มือใครยาวสาวได้สาวเอา โกงมโหฬาร จากนั้น พล.อ.สุจินดาก็ทำการปฏิวัติ ยึดทรัพย์ พล.อ.ชาติชายถึง 1,600 ล้านบาท นี่ยังไม่รวมคณะรัฐมนตรียุคนั้นที่ร่วมกันโกง รวมกันแล้วเป็นหมื่นล้านบาท
มายุค พล.อ.ชวลิต มีการลดค่าเงินบาท เศรษฐกิจล่มสลาย เงินคงคลังเกลี้ยง เหตุการณ์นี้คนที่รวยที่สุดก็คือคนที่ไปอยูมอนเตเนโกร เพราะแบบนี้นักเลือกตั้งมันถึงอยากเลือกตั้ง มาถึงยุคนายชวนรอบแรก การทุจริตไม่มาก แต่พอมาเป็นนายกฯ รอบ 2 มีการเซ็นกฎหมาย 11 ฉบับ กู้ไอเอ็มเอฟ เซ็นเอ็มโอยู 2543 การออกกฎหมาย 11 ฉบับ ทำให้บริษัทต่างชาติเข้ามาประมูลหนี้สินคนไทยถูกๆ ทำกำไรอย่างมหาศาล เป็นยุคแรกของการขายชาติ ประชาธิปัตย์ถูกตราหน้าว่าขายชาติ
ต่อมานายบรรหาร การทุจริตก็ฉาวโฉ่ อยู่แค่ปีเดียวก็ถูกยึดอำนาจ ต่อมาเลวร้ายสุดคือยุคนายทักษิณ ศาลฟ้องว่าร่ำรวยผิดปกติ 7.6 หมื่นล้าน ผลงานวิจัยของอาจารน์สมเกียรติ ตั้งกิจวาณิชย์ ก็ชี้ว่าสามารถทำธุรกิจตัวเองร่ำรวยขึ้น 6 หมื่นล้าน ถึงเกือบแสนล้านบาท คตส.ก็พบการทุจริตเฉพาะ 13 โครงการเกือบ 3 แสนล้าน นี่ไงระบอบเลือกตั้ง ประชาธิปไตยจอมปลอม ที่สำคัญยุคทักษิณ ได้สร้างวัฒนธรรมการโกงแบบใหม่ คือโกงคำโต เป็นมรดกตกทอดมายังไอ้ห้อยไอ้โหน ไอเตี้ย ไอ้หน้าดำ แดกทีเป็นหมื่นๆ ล้าน
มาดูนายอภิสิทธิ์ไม่น้อยหน้า ไม่ว่าเมล์เอ็นจีวี ฟิลลิป มอร์ริส ไทยเข้มแข็ง ถนนปลอดฝุ่น รถไฟความเร็วสูง ฯลฯ นี่อยู่ไม่ถึง 5 ปี รวมแล้วไม่ต่ำกว่า 3 แสนล้านแล้ว เจาะไปกระทรวงไหนก็โกงทั้งนั้น เห็นหรือยังมาจากการเลือกตั้งกับการรัฐประหารแต่งตั้ง อันไหนชั่ว อันไหนเลวกว่า มาดูเรื่องสปิริต และความรับผิดชอบทางการเมือง พวกแต่งตั้งก็หน้าบางกว่าพวกเลือกตั้งมาก อีกทั้งปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาสังคม การคุกคามเสรีภาพประชาชน ก็ปรากฎให้เห็นแล้วว่านักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งสร้างปัญหามากกว่า
นายประพันธ์ยังกล่าวอีกว่า พวกแม่ยกชอบถามว่าถ้าไม่เอานายอภิสิทธิ์แล้วจะเอาใคร คำตอบคือเอาใครก็ได้ที่ไม่ใช่พวกนักการเมืองที่มีอยู่ทุกวันนี้ แล้วถ้าถามว่าไม่เอาเลือกตั้งจะเอาระบอบอะไร ก็เอาระบอบอะไรก็ได้ที่ไม่ต้องมีพวกโจรห้าร้อยมามาปกครองบ้านเมือง ให้คนดีๆ มาปกครองบ้านเมืองมาวิธีไหนก็เอาทั้งนั้น
“เราไม่ได้แสวงหาระบอบการปกครองที่จะเป็นอันตรายต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ แต่เป็นสิทธิโดยชอบธรรมที่เราต้องการระบอบการปกครองที่ดีกว่าทุกวันนี้” นายประพันธ์กล่าว
นายประพันธ์กล่าวว่า ขอบอกเลยวันนี้นายอภิสิทธิ์ และโจรห้าร้อยไปลงนรกได้แล้ว เราไม่รับอำนาจการปกครองของพวกนี้อีกต่อไป เราต้องลุกขึ้นมาสามัคคีกันให้มากที่สุด ขอเพียงถึงวันที่เราระดมกำลังเราต้องมากันให้เต็มแผ่นดิน ฝากถึง ทหาร ตำรวจ ข้าราชการ ควรมีจุดยืนที่เห็นแก่บ้านเมือง ถึงวันนั้นต้องบอกทุกคนให้ออกมาช่วยเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองด้วยตัวของเราเอง ขอแค่ร่วมมือกันออกมาช่วยตัวเองก่อน เทวดา พระเจ้า จะช่วยพวกเรา
คำต่อคำ “ประพันธ์ คูณมี”ปราศรัย
สวัสดีครับพ่อแม่พี่น้องที่เคารพรัก และกราบสวัสดีพ่อแม่พี่น้องทางบ้านและที่อยู่ต่างประเทศทุกท่านครับ ก่อนขึ้นเวทีมาก็นึกว่าจะไม่ได้ขึ้น กลัวน้องเก๋ไปรบกับตำรวจเสียก่อน จะชวนพี่น้องไปรบกับตำรวจเสียก่อน แต่ก็เอาเถอะครับ ความจริงแล้วมันก็น่าเจ็บใจ ท่านเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เคารพรัก ความจริงผมก็ถนอมปากถนอมคำไม่อยากจะพูดถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจสักเท่าไร เพราะว่าเข้าใจดี เจ้าหน้าที่ตำรวจมันเปลี่ยนยากเพราะว่าตำรวจไทยนั้นมีรากงอก มีรากทางวัฒนธรรมขององค์กรตำรวจมายาวนาน และไม่ว่ายุคใดสมัยใด ตำรวจก็มักจะทำตัวเป็นเครื่องมือของนักการเมืองผู้มีอำนาจทุกยุคทุกสมัย ไม่เปลี่ยน
ตั้งแต่ยุคอัศวิน เผ่า มาแล้ว นับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ตำรววจก็ได้กลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองของนักการเมือง ความจริงก็ถูกต้องนะครับ หมายความว่าการเมืองเป็นผู้บริหาร เป็นฝ่ายนโยบาย มีหน้าที่กำกับดูแล บังคับบัญชาข้าราชการประจำ แต่ถ้าหากว่าการเมืองมันไม่ดี การเมืองมันสกปรก การเมืองมันสามานย์ มันไม่มีคุณธรรม และมันปราบปรามเข่นฆ่าประชาชน ละเมิดสิทธิประชาชน ทำในสิ่งที่ผิดกฎหมาย ผมก็คิดว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจและข้ารชการก็ควรจะพึงสังวรว่าการเมืองมันไม่แน่นอน คุณจะมั่นใจได้อย่างไรว่าพรุ่งนี้นายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ จะยังอยู่ในอำนาจ คุณจะมั่นใจได้อย่างไรว่าคนเหล่านี้จะอยู่กับคุณชั่วฟ้าดินสลาย
มันไม่แน่ นอนหลับ ตื่นขึ้นพรุ่งนี้ อภิสิทธิ์ สุเทพ ประวิตร อาจจะไม่มีแผ่นดินอยู่แล้วก็ได้ อาจจะหนีหัวซุกหัวซุนเข้าเขมรไปแล้ว ไปพึ่งฮุน เซน ก็ได้ และผมก็เชื่อแน่ว่าสัจจธรรมของการเมืองเป็นเช่นนี้เสมอ ใครก็ตามที่ยืนอยู่ตรงกันข้ามกับประชาชน ทรยศต่อประชาชน ไม่ยึดมั่นในความถูกต้อง ไม่มีศีลธรรม ไม่มีคุณธรรม และละทิ้งความรับผิดชอบต่อชาติบ้านเมือง เห็นแก่ประโยชน์ตนและประโยชน์พวกพ้อง กอบโกย โกงกิน ทุจริต แล้วก็กะเกณฑ์เอาตำรวจ เจ้าหน้าที่ ข้าราชการ มาเป็นสมุนรับใช้ เป็นเครื่องมือเล่นงานประชาชนที่มาเปิดโปง คัดค้านการปกครองที่ไม่ชอบธรรมของตนเองนั้น ไม่เคยมีใครอยู่ได้เลย และไม่เคยมีใครอยู่ค้ำฟ้า
เพราะฉะนั้นจึงอยากจะฝากเตือนไปถึงท่าน พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล และผู้หลักผู้ใหญ่ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบทุกคน ว่าท่านจะทำอะไรนั้นควรให้คำนึงถึงว่า อำนาจการเมืองนั้นมันไม่แน่นอน และสถานการณ์อำนาจของนายอภิสิทธิ์ ง่อนแง่น ใกล้ตายเต็มทนแล้ว มันไปไม่รอดหรอกครับ แม้เลือกตั้งกลับมาก็ปกครองประเทศนี้ไม่ได้
น้ำหน้าอย่างนักการเมืองพวกนี้ ผมไม่เชื่อว่าจะปกครองประเทศได้ เพราะวันนี้ประชาชนทั้งประเทศเขาไม่ยอมรับการปกครองของนักการเมืองโสโครก สามานย์เหล่านี้แล้ว ไม่ใช่เฉพาะพวกเรานะครับพี่น้อง และไม่ใช่เฉพาะเวทีนี้ วันนี้ผมอยากจะมาพูดกับพี่น้องเพื่อเป็นข้อมูลความรู้ให้กับพ่อแม่พี่น้องประชาชนที่นี่และทางบ้าน
ความจริงแล้วก็อยากจะพูดเรื่องอื่นอยู่ แต่ประเด็นเรื่องสถานการณ์บ้านเมืองและสภาพการเมือง การปกครองของประเทศไทยในขณะนี้ จะมีทางเลือก ทางออก ทางลงอย่างไร ผมคิดว่าเป็นปัญหาใหญ่ที่สุด เพราะความเลวความชั่วของนักการเมืองและรัฐบาลนั้น ผมเชื่อแน่ว่าพี่น้องทั้งประเทศเห็นแล้วว่าการเมืองระบอบนี้มันไปไม่รอด ฝากอนาคตไม่ได้ ใช่มั้ยครับ แทบไม่ต้องสาธยายอะไรต่อไปอีกเลย ความเลวระยำของระบอบบ้านเมืองในขณะนี้จากน้ำมันมือของนักการเมืองไทยนั้น มันสุดที่ประชาชนจะทนและจะยอมรับได้อีกต่อไปแล้ว
พี่น้องครับ ไม่ได้มีแต่เพียงพวกเราที่มีความเห็นว่าระบอบบ้านการเมือง การปกครองขณะนี้ ไม่สามารถที่จะนำพาชาติบ้านเมืองไปได้แล้ว ผมคิดว่าบทความของลมเปลี่ยนทิศ ที่ลงในไทยรัฐ ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ น้อยครั้งที่จะพูดถึงปัญหาของบ้านเมืองอย่างตรงไปตรงมาอย่างนี้ คอลัมน์ลมเปลี่ยนทิศ หมายเหตุประเทศไทย เขียนติดกัน 2 วัน คือวันที่ 21-22 มีนาคม ผมคิดว่ามันเป็นสัญญาณและเป็นการชี้ทิศทางอนาคตของประเทศไทยได้เหมือนกันครับ
และทุกครั้งที่บ้านเมืองมีการเปลี่ยนแปลง ไทยรัฐจะเป็นคนที่มีสัญชาติญาณสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของชาติบ้านเมืองเร็วที่สุดกว่าสื่อหนังสือพิมพ์ฉบับอื่นๆ
ผมได้พยายามสอบถามเพื่อนฝูงและติดตามตรวจสอบว่าทัศนะ ความคิดเห็นของบรรณาธิการ หรือกอง บก.ของหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่อย่างไทยรัฐ ณ ขณะนี้ มีความเห็นต่อบ้านเมืองอย่างไร พี่น้องรู้ไหมครับ เขาฟันธงว่าไม่มีเลือกตั้งแน่นอน ตำรวจคุณฟังเอาไว้ และมันก็สอดคล้องกับที่ผมพยากรณ์เอาไว้ หรือวิเคราะห์สถานการณ์และพูดคุยกับพี่น้อง แต่วันนี้ผมมีข้อมูล มีรายละเอียด ที่จะมายืนยันให้เห็นว่าระบอบเลือกตั้งเป็นระบอบที่ทำลายชาติ และทำให้ประเทศฉิบหายมากที่สุด เดี๋ยวผมจะเอารายละเอียดมาพูดให้พี่น้องฟัง
แต่ก่อนอื่น ขอชื่นชมกับบทความของลมเปลี่ยนทิศทั้ง 2 วัน 21 มีนาคม และ 22 มีนาคม คุณลมเปลี่ยนทิศเขียนไว้วันที่ 21 ว่า "ยุบสภา ไม่มีเลือกตั้ง" ท่านมองไม่ต่างจากพวกเราเลย ไม่ต่างจากเวทีพวกเราที่วิเคราะห์การเมืองเลยว่า สภานี้มันเป็นสภาแห่งความหายนะ สภาที่จะนำชาติบ้านเมืองไปสู่ความล่มจม เพราะเป็นไปได้อย่างไร รัฐมนตรีที่ถูกกล่าวหาว่าทุจริตคอร์รัปชั่นมากที่สุด ได้คะแนนไว้วางใจมากที่สุด อัปยศมั้ยครับพี่น้อง
มันเป็นการตบหน้าระบอบประชาธิปไตยไทย แสดงถึงความล้มเหลว ว่าสภาไม่ได้เอาเหตุเอาผล และไม่เคยฟังเสียงของประชาชนเลย ท่านจะเปรียบเทียบว่า ถ้าประชาธิปไตยมันเป็นอย่างนี้ สู้ให้ประชาธิปไตยอยู่ในอุ้งมือของทหารที่หวังดีต่อชาติบ้านเมือง ให้มันรู้แล้วรู้รอดไป ยังจะดีกว่าอยู่ในอุ้งมือของนักการเมืองเลวที่ไม่หวังดีต่อชาติบ้านเมือง ที่สำคัญก็คือ ท่านแปลกใจมากว่าทำไมนายอภิสิทธิ์ไม่ได้รู้สึกตะขิดตะขวงใจเลยกับการที่อยู่กับนักการเมืองเลว นักการเมืองชั่ว นักการเมืองฉ้อโกง ทุจริต คอร์รัปชั่น อยู่ได้อย่างกลมกลืน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ก็แสดงว่าเป็นสัตว์ประเภทเดียวกัน มันถึงอยู่ด้วยกันได้
นายกรัฐมนตรีพอลงมติแล้ว ดันมาตอบคำถาม โอ้โห ไม่ได้รู้สึกรู้สาเลยว่ารัฐบาลของตัวเองนั้นมีการทุจริตคอร์รัปชั่นหรือไม่ คะแนนทำไมถึงต่างกัน มันบอกให้ผู้สื่อข่าว หรือให้ประชาชน ไปถามคนลงคะแนนว่าทำไมคะแนนมันถึงต่างกัน โธ่! ไอ้ด้านชาชีวะ ปากเสียจริงๆ
มันหน้าด้านจริงๆ ครับ ไม่ได้รู้สึกเลยที่ประชาชนเขาพูดกันทั้งบ้านทั้งเมืองว่ามันโกง มันทุจริต คอร์รัปชั่นกันขนาดไหน ตัวนายกฯ ไม่ได้รู้สึกรู้สาเลย คนที่มีความรู้สึกด้านชาแบบนี้เขาเรียกว่าเป็นผู้นำที่เลวครับ
เป็นหนึ่งในคุณสมบัติของผู้นำประเทศที่เลว เพราะผู้นำในประเทศที่เลวร้ายนั้น เขาบอกว่า 1. เป็นผู้นำที่ไม่มีประสิทธิภาพ คำว่าผู้นำที่เลวร้าย คือ Bad Leadership หรือ Devil Leader ในการบริหารขาดจริยธรรมและศีลธรรม ผู้นำที่ไร้ประสิทธิภาพก็คือล้มเหลวในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนไปสู่สิ่งที่คาดหวังที่จะเป็น คือผู้นำที่ขาดศีลธรรม คือล้มเหลวในการแยกดี-ชั่วออกจากกัน เห็นกงจักรเป็นดอกบัว เห็นความชั่วเป็นความดี และเห็นความดีเป็นสิ่งไร้สาระ ทำสิ่งโง่ และทำให้ประเทศชาติ ประชาชน เสียเปรียบ นี่คือผู้นำที่เลวครับ มันก็ช่างตรงกับคุณสมบัติของนายอภิสิทธิ์เปี๊ยบเลย
เมื่อเป็นดังนี้ คุณลมเปลี่ยนทิศถึงบอกว่าประเทศไทย ประชาธิปไตย มันจมอยู่กับน้ำเน่า และจะปล่อยให้มันจมอยู่อย่างนี้ต่อไปแบบไร้อนาคต เห็นทีจะไม่ได้ ท่านเรียกร้องให้มีการ Re-built ก็คือสร้างมันขึ้นมาใหม่ สร้างประชาธิปไตยขึ้นมาใหม่ นั่นคือต้องล้มล้างระบอบการเมืองเก่านี้ จะโดยปฏิวัติหรือไม่ปฏิวัติ จะโดยเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบอบประชาธิปไทยที่มีคุณธรรมและศีลธรรม ท่านก็เสนอรายละเอียดทางออกไว้ด้วย และเรียกร้องให้มีการปฏิรูปเปลี่ยนแปลงประเทศไทย ประชาธิปไตยของประเทศไทย อย่างขนานใหญ่ เพื่อก้าวไปสู่ประชาธิปไตยที่มีคุณธรรและจริยธรรม
นี่คือท่านลมเปลี่ยนทิศ แล้วในวันที่ 22 ท่านก็ชี้ให้เห็นว่า เลือกตั้งไปแล้วมันจะเกิดอะไรขึ้น ภาคเหนือ ภาคอีสาน มันจะเป็นของใคร ภาคใต้มันจะเป็นของใคร พรรคไหนจะได้มากี่เสียง แล้วมันก็จะมาเสพสังวาส แบ่งอำนาจ จัดสรรเก้าอี้ ร่วมกันเป็นรัฐบาล มันก็จะอยู่วนเวียนกันอยู่แค่ไม่กี่พรรคที่เรารู้ที่เราเห็นอยู่ในขณะนี้ คำถามก็คือ เมืองไทยจะก้าวพ้นวงจรอุบาทว์ทางการเมืองได้อย่างไร คนไทยต้องช่วยกันคิด เราต้องช่วยกันแก้ที่ต้นเหตุ ไม่ใช่ปลายเหตุ
ผมคิดว่าถ้ามีสื่อมวลชนที่มีจุดยืน มีความเข้าใจปัญหาบ้านเมือง และกล้าที่จะแสดงออก ให้แนวคิด ให้ทัศนคติ ให้มุมมองที่เป็นประโยชน์กับประเทศชาติและประชาชนเยี่ยงนี้ ผมคิดว่าบ้านเมืองเราคงไม่จมอยู่กับสภาพนี้ ถ้ามีสื่อมวลชนที่มีความกล้าหาญและมีจุดยืนบนความถูกต้อง เอาประโยชน์ชาติบ้านเมืองเป็นที่ตั้งเยี่ยงนี้แล้ว ผมเชื่อแน่ ไม่ต้องมาก สัก 10 คนก็พอ ประเทศเปลี่ยนไปแล้วครับ
อย่างไรก็ตาม เมื่อท่านกล้าแสดงจุดยืนออกมาอย่างนี้ ผมคิดว่าต้องคารวะจิตใจกล้าหาญของท่าน และวิญญาณแห่งความรักชาติรักบ้านเมืองของท่าน ผมคิดว่าเวทีนี้ต้องคารวะและปรบมือให้ท่านผู้นี้ครับ
ในยามที่บ้านเมืองตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ท่านเป็นผู้ที่สามารถที่จะออกมาจุดเทียนร่วมกับพวกเรานั้น ผมคิดว่าย่อมเป็นกำลังใจอันสำคัญ
พี่น้องครับ เพื่อความสมบูรณ์และเพื่อความชัดเจนของปัญหานี้ ว่าท้ายที่สุดแล้วบ้านเมืองเราจะไปทางไหนกันดี เราจะมีทางเลือกทางออกอย่างไร ถ้าเราไม่เอาระบอบอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่เอาระบอบการเมืองการเลือกตั้งที่สกปรก สามานย์นี้ เราจะไปทางไหนกันดีครับ
ผมคิดว่าก่อนที่จะถึงจุดนั้น ผมอยากให้พี่น้องได้เรียนรู้ อยากให้มหาวิทยาลัยราชดำเนินแห่งนี้ สะพานมัฆวานฯ แห่งนี้ มาเรียนรู้เรื่องการเมืองของประเทศไทยร่วมกันสักเล็กน้อย เพื่อท่านจะได้มีข้อมูล มีเหตุผล และมีความเชื่อมั่นว่าเราทำไมต้องปฏิเสธระบอบการเมืองการปกครองที่เป็นอยู่ในขณะนี้
พี่น้องครับ ตั้งแต่เราเปลี่ยนแปลงการปกครองมาถึงปัจจุบันนี้ 2475 มาถึงปีนี้ 2554 เราเดินมา 79 ปีแล้ว ของระบอบประชาธิปไตย ที่ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 7 ทรงยินยอมสละซึ่งอำนาจที่มีมาแต่เดิม โดยมิได้ต้องการสละอำนาจให้กับหมู่ใด คณะใด แต่ต้องการสละอำนาจของพระองค์ท่านให้กับประชาชนโดยทั่วไป มิใช่ต้องการสละอำนาจการปกครองที่มีมาแต่เดิมให้กับกลุ่มบุคคลใด คณะใด เพื่อเอาอำนาจนั้นไปใช้ปกครองและบริหารประเทศโดยมิได้ฟังเสียงประชาอาณาราษฎรทั้งหลาย แต่ทั้งหมด 79 ปีที่ผ่านมานั้น โดยเฉพาะช่วงหลัง ตั้งแต่มีการเมือง การเลือกตั้งระบอบผู้แทน ระบอบประชาธิปไตยแบบตัวแทนมา ประเทศฉิบหายมากกว่าการเมืองที่มีการแต่งตั้ง และมีการปฏิวัติรัฐประหาร นี่ผมจะเล่าให้ฟัง
เรามีรัฐธรรมนูญประกาศใช้มาทั้งสิ้น มาถึงวันนี้ พี่น้องจำให้ดี รัฐธรรมนูญฉบับแรก ตั้งแต่ 2475 มาถึงฉบับนี้ 2550 เรามีรัฐธรรมนูญประกาศใช้มาแล้วทั้งสิ้น 18 ฉบับ ฉบับนี้เป็นฉบับที่ 18 ครับ ประเทศไทย 79 ปี มีการปฏิวัติรัฐประหาร สลับกับการเลือกตั้ง หมุนเวียนผลัดเปลี่ยนการปกครองบ้านเมือง แต่การเลือกตั้งด้วยระบบผู้แทนที่เราเลือกกันอยู่นี้ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีการเลือกตั้งทั้งสิ้น 25 ครั้ง มีการปฏิวัติรัฐประหารประมาณ 14-15 ครั้ง
เรามีนายกฯ มาจนถึงปัจจุบันนี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นคนที่ 27 นายกฯ 27 คน พี่น้องดูนะครับ ว่ายุคสมัยไหนที่จะทำให้ประเทศฉิบหายมากที่สุด นายกฯ คนแรก พระยามโนปกรณ์ นิติธาดา อยู่ 28 มิถุนาฯ 75-21 มิถุนาฯ 76 อยู่ 1 ปี บ้านเมืองก็ยังไม่มีอะไรเสียหายมาก ท่านที่ 2 พลเอกพระยาพหล พลพยุหเสนา อยู่ 21 มิถุนาฯ 76 แล้วก็พ้นจากอำนาจครั้งสุดท้าย 16 ธันวาฯ 81 รวมแล้ว 5 ปีเศษ เป็นช่วงของการวางรากฐานระบอบการเมืองการปกครอง ระบอบประชาธิปไตย เพราะเราเพิ่งเปลี่ยนแปลงการปกครองมาใหม่ๆ มีการเลือกตั้ง มีการวางระบบสภา มีการวางเค้าโครงเศรษฐกิจ
ต่อมานายกฯ คนที่ 3 ก็คือจอมพล ป.พิบูลสงคราม อยู่มา 16 ธันวาฯ 81- 1 สิงหาฯ 2487 ทั้งหมด 5 ปี 9 เดือน นี่รอบแรก สมัยยุคจอมพล ป.ก็มีการเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองหลายด้าน มีการเปลี่ยนชื่อประเทศ จากสยามประเทศ มาเป็นประเทศไทย เปลี่ยนธงไตรรงค์ มีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง เปลี่ยนจากเคี้ยวหมาก มีการถือไม้เท้า มีการใส่หมวก มีการแต่งตัว ใส่สูท มีเปลี่ยนเข้าสู่ยุคสมัย เลิกนุ่งโจงกระเบน อะไรก็แล้วแต่ แต่ก็เป็นการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้สอดคล้องกับการพัฒนาของโลก อาจจะมีเหตุการณ์เกิดขึ้นหลายเรื่อง หลายอย่าง ในยุคนั้น แต่ความเสียหายเรื่องโกงเรื่องทุจริตก็ยังไม่ร้ายแรงเหมือนยุคปัจจุบัน
มาถึงยุคนายควง อภัยวงศ์ ก็เป็นนายกฯ ขึ้นมาขัดตาทัพจากการรัฐประหารช่วงนั้น ขึ้นมา 1 ปี แล้วไปเป็นรอบ 2 อีกประมาณไม่กี่เดือน คนที่ 5 นายทวี บุณยเกตุ คนที่ 6 ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ยุคนั้นจะเป็นยุคของการที่กำลังอยู่ในการเปลี่ยนแปลงบ้านเมือง การทุจริตคดโกงยังไม่ร้ายแรง ต่อมาก็เป็นยุคของท่านปรีดี พนมยงค์ ท่านปรีดีอยู่ 5 เดือน พล.ร.ต.ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ อยู่ 9 เดือน
นายควง มาเป็นรอบ 3 รอบ 4 อีก 6 เดือน จอมพล ป.มารอบ 3 ถึงรอบ 8 จอมพล ป.นี่เป็นนายกฯ อยู่นานที่สุด มารอบนี้อยู่ 9 ปี 5 เดือน
ก็เริ่มจะเข้าสู่ยุคจะมีการเลือกตั้งอย่างเป็นเรื่องเป็นราว และมีรัฐธรรมนูญแล้ว นั่นก็คือมาถึงยุค จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ มีนายพจน์ สารสิน เป็นนายกฯ อยู่ 4 เดือน แล้วมีจอมพลถนอม มาเป็นนายกฯ อยู่ 10 เดือน จอมพลสฤษดิ์ หัวหน้าคณะปฏิวัติตัวจริงมาเป็นนายกฯ อยู่ 4 ปี 10 เดือน
พี่น้องครับ แล้วท่านจอมพลถนอม ก็มาเป็นนายกฯ ต่อจากจอมพลสฤษดิ์ 10 ปี จนกระทั่งมาถึง 14 ตุลาฯ 2516 เราก็มีนายกฯ พระราชทาน จากท่าน อ.สัญญา ธรรมศักดิ์ เป็นนายกฯ ที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของการเมือง โดยการลุกขึ้นสู้ของนักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชน เรียกร้องรัฐธรรมนูญและขับไล่จอมพลถนอมออกไป
เอาล่ะครับ มาถึงยุคต่อมา ทีนี้เรามีเลือกตั้งแล้ว ก็มีนายกฯ คึกฤทธิ์ ปราโมช อยู่ได้ 11 เดือน เสนีย์ ปราโมช ก็มาอยู่ได้ 1 เดือน แถลงนโยบายแล้วก็ตกไป ไม่ได้รับความไว้วางใจ คึกฤทธิ์ขึ้นมาเป็นนายกฯ ที่มี 10 กว่าเสียง อยู่ได้ 11 เดือน ก็ต้องยุบสภา มีการเลือกตั้งใหม่ เสนีย์มาเป็นนายกฯ ครั้งที่ 2 อยู่ได้ 6 เดือน ก็เกิดเหตุการณ์ 6 ตุลาคม
มาถึงธานินทร์ กรัยวิเชียร มีการปฏิวัติรัฐประหารอีก คณะปฏิรูปการปกครอง นำโดย พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ ก็ปฏิวัติรัฐประหารรัฐบาลจากการเลือกตั้ง เกิดเหตุ 6 ตุลาฯ แล้วก็มีธานินทร์ กรัยวิเชียร ขึ้นมาเป็นนายกฯ 1 ปี หลังจากนั้น พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ ก็มาเป็นนายกฯ 2 ปี 4 เดือน พล.อ.เปรม ต่อจาก พล.อ.เกรียงศักดิ์ เป็น 8 ปี 4 เดือน ชาติชายเป็น 2 ปี 6 เดือน อานันท์ ปันยารชุน เป็น 1 ปี 1 เดือน อันนี้มาจากการปฏิวัติอีก รอบ 2 พล.อ.สุจินดา คราประยูร เป็นได้ 45 วัน อานันท์กลับมารอบ 2 เป็นได้ 3 เดือน 13 วัน นายชวน หลีกภัย มาจากการเลือกตั้ง 35/1 เป็นได้ 2 ปี 10 เดือน ยุบสภาเพราะเรื่อง ส.ป.ก.4-01 นายบรรหารมาเป็นนายกฯ ได้ 1 ปี 4 เดือน
หลังจากนั้นก็โดนจี้ลงจากอำนาจโดยเฉลิม กับชวลิต จี้บรรหาร บรรหารลาออก มีการเลือกตั้งใหม่ ยุบสภามีการเลือกตั้งใหม่ ชวลิต ยงใจยุทธ กลับมาเป็นนายกฯ อยู่ได้ 1 ปี ประเทศก็ฉิบหาย เศรษฐกิจล่ม มาถึงยุคทักษิณ เป็นนายกฯ ได้ 5 ปี 6 เดือน แล้วก็มามีปฏิวัติ 19 กันยาฯ พล.อ.สุรยุทธ์ ได้เป็นนายกฯ 1 ปี 3 เดือน นายสมัคร เป็น 8 เดือน สมชายเป็นนายกฯ 3 เดือน นายอภิสิทธิ์เป็นมาถึงวันนี้ 2 ปี 3 เดือน 4 วัน พี่น้องครับ ช่วงแช่งมันหน่อยครับ
ที่ผมไล่มาทั้งหมด 27 คนนี่เพราะอะไร ผมอยากให้พี่น้องมาดูตรงนี้ พี่น้องรู้ไหมครับ ผมมาดูหมดแล้ว นายกฯ ที่มาจากการปฏิวัติรัฐประหาร ไม่ต้องเลือกตั้ง มีหลายคน ได้แก่ พระยาพหล พลพยุหเสนา จอมพล ป. นายปรีดี พนมยงค์ จอมพลสฤษดิ์ จอมพลถนม นายสัญญา ธรรมศักดิ์ นายอานันท์ ปันยารชุน แม้กระทั่ง พล.อ.เปรม ก็ต้องถือว่าท่านเป็นนายกฯ ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง และ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ที่ผมไล่มาทั้งหมดนี้ ทั้งหมดนี้รวมกันทำความเสียหายให้กับชาติบ้านเมือง โกง ทุจริต ยังน้อยกว่านายกฯ ที่มาจากการเลือกตั้งคนเดียวครับ นี่คือความระยำบัดซบของการเมืองระบอบเลือกตั้ง
บรรดาเหล่านี้ พี่น้องครับ ผมจะบอกให้ ปรากฏว่ายุคที่มีการปฏิวัติรัฐประหาร นายกฯ ที่มาจากการแต่งตั้ง บ้านเมืองกลับเจริญกว่าการเมืองในยุคที่มีการเลือกตั้งโดยนักการเมืองโสโครกสกปรกพวกนี้
ยุคพระยาพหล พลพยุหเสนา นายปรีดี พนมยงค์ เป็นยุคที่มีการวางรากฐานของการเมืองระบอบเศรษฐกิจ นายปรีดีก็คิดจะปฏิรูปสังคม ปฏิรูปเศรษฐกิจของประเทศ เสนอเค้าโครงเศรษฐกิจ และมีการพัฒนาบ้านเมืองมาโดยลำดับ
จอมพล ป.ก็มีการสร้างกองทัพ มีการพัฒนาบ้านเมือง มีการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรม ประเพณี หลายสิ่งหลายอย่าง แม้จะมีบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ดี แต่เราก็ฝ่าฟันก้าวข้ามมา ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับการโกงการทุจริต และความเสียหายต่อชาติบ้านเมือง เสียชาติเสียแผ่นดินนั้น ไม่ต้องพูดถึง ไม่มีแม้แต่ตารางนิ้วเดียวครับ
มาถึงยุคจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ จอมพล ป. จอมพลสฤษดิ์ ต่อเนื่องมา ยุคจอมพลสฤษดิ์นี้มีการพัฒนาประเทศอย่างมาก พี่น้องจะเห็นว่ายุคนั้นเป็นยุคน้ำไหลไฟสว่าง หนทางดี ใช่มั้ยครับ และก็มีการวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจ มีการตั้งสภาพัฒนาเศรษฐกิจครั้งแรกในประเทศไทย มีการริเริ่มวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจสังคมฉบับที่ 1 ฉบับที่ 2 มาโดยลำดับ มีการเกณฑ์ มีการระดมนักกฎหมาย นักวิชาการ นักวิทยาศาสตร์ วิศวกร จากต่างประเทศทั่วโลกที่เรียนจบมา กลับมาช่วยประเทศไทยพัฒนาบ้านเมือง
แม้ว่าจะมีการรุกรานของลัทธิคอมมิวนิสต์ที่เข้ามาอยู่บริเวณโดยรอบประเทศ แต่ว่าประเทศไทยก็สามารถเอาตัวรอดมาจากภัยคุกคาม ไม่ตกเป็นการปกครองโดยระบอบคอมมิวนิสต์ ผู้นำประเทศในยุคสมัยนั้นก็ยังสามารถฝ่าฟันพาชาติบ้านเมืองรอดมาได้ แต่สิ่งที่เจ็บปวดและตกเป็นมรดก ซึ่งจอมพลสฤษดิ์ ก่อนตายก็บอกแล้วว่าสิ่งที่ท่านฝากมาถึงพวกเราก็มีเรื่องหนึ่ง ก็คือเรื่องปราสาทพระวิหาร ว่าเมื่อไรที่ประเทศไทยมีโอกาส ท่านจะต้องทวงแผ่นดินตรงนี้คืนให้จงได้ และก็ถือข้อสงวนนี้มาโดยลำดับ
แต่มาถึงยุคนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มันก็ทรยศต่อบรรพบุรุษเรียบร้อยแล้วครับ
แม้ว่ายุค อ.สัญญา ธรรมศักดิ์ ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง นายอานันท์ ปันยารชุน ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง แต่ยุค อ.สัญญา ธรรมศักดิ์ ก็มีการแก้ไขปฏิรูปกฎหมายเยอะแยะ กฎหมายแรงงาน เรื่องค่าแรงขั้นต่ำนี่เกิดในยุคสมัยนี้ เพราะสมัยนั้นผมเป็นนักศึกษาและก็ออกไปร่วมต่อสู้กับชาวไร่ชาวนา ได้ทำ 2 เรื่องที่ช่วยให้กับชาติบ้านเมืองและชาวไร่ ชาวนา และผู้ใช้แรงงาน คือยุค อ.สัญญา ได้มีการแก้ไขกฎหมายแรงงาน ประกาศใช้ พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ ทำให้ผู้ใช้แรงงานได้มีหลักประกันค่าแรงขั้นต่ำ และมีสวัสดิการในการทำงาน พ้นจากการเป็นแรงงานทาส มีสวัสดิการ มีการลาเจ็บ ลาป่วย ลาคลอด นี่เป็นการช่วยเหลือและแก้ไขบ้านเมือง
ส่วนชาวไร่ ชาวนา ก็มีการปฏิรูปที่ดิน กฎหมาย ส.ป.ก.4-01 เกิดขึ้นในยุค อ.สัญญา ธรรมศักดิ์ และมีการยกเลิกอัตราค่าเช่านาที่ไม่เป็นธรรมสำหรับเกษตรกร ชาวไร่ ชาวนา เขาก็ยังมีความเจริญและสร้างสิ่งใหม่ๆ ให้กับบ้านเมือง แม้ไม่ต้องมาจากการเลือกตั้ง
มาถึงยุคท่านอานันท์ ปันยารชุน อานันท์มาจากการปฏิวัติ พล.อ.สุจินดา ปฏิวัติ เอานายอานันท์มาเป็นนายกฯ นายอานันท์ก็มีการปฏิรูประบบการค้า อุตสาหกรรม ปรับปรุงระบบภาษี มีการเก็บภาษีจากภาษีการค้า มาเป็นการเก็บระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม เพื่อให้ความเป็นธรรม มีการพัฒนา ปฏิรูประบบคมนาคม มีการประมูลระบบโทรศัพท์ โทรศัพท์บ้าน โทรศัพท์มือถือ เริ่มมีการวางพื้นฐานเพื่อให้ประชาชนได้รับความสะดวกสบาย ยุคนั้นการค้า การขาย การอุตสาหกรรมก็เจริญ แม้ว่าจะผ่านเหตุการณ์ปฏิวัติมา เศรษฐกิจบ้านเมืองก็ดีขึ้นโดยลำดับ ผลงานของนายอานันท์ ประชาชนก็ยังพูดถึงมาจนเท่าทุกวันนี้
มาถึงยุคนี้สิครับ ยุคของ ฯพณฯ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ พล.อ.เปรม ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง แต่เป็นนายกฯ เพราะสภา นักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งตอนนั้น กลัวอำนาจบารมีของทหาร ก็สนับสนุน พล.อ.เปรม เป็นนายกฯ เพราะรัฐธรรมนูญไม่ได้ห้ามว่าคนที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งสามารถเป็นนายกฯ ได้ พล.อ.เปรม ได้รับการยอมรับให้เสนอชื่อให้มาเป็นนายกฯ พี่น้องครับ ยุคนี้ได้ชื่อว่าประเทศไทยจากยุคเศรษฐกิจตกต่ำ ต้องปันส่วนน้ำมัน ต้องปิดไฟแต่หัวค่ำ ต้องปันส่วนน้ำตาล ต้องปันส่วนข้าว สินค้านำไทย สินค้าไทย ที่มีการออกมาขายเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่เดือดร้อน
พล.อ.เปรม บริหารบ้านเมืองมาจากยุคที่เศรษฐกิจตกต่ำที่สุด เป็น 8 ปีที่ท่านอยู่บริหารบ้านเมือง เศรษฐกิจเจริญรุ่งเรือง มีเงินคงคลังเหลือ มีทุนสำรองเหลือมากมาย จนเรียกว่าในด้านพลังงานก็มีการขุดค้นพบบ่อแก๊ส บริษัทขุดค้นแหล่งพลังงาน และมีการจัดตั้งบริษัทพลังงานของคนไทยขึ้นมา เรียกได้ว่าเป็นยุคที่โชติช่วงชัชวาล ไม่ต้องมาจากเลือกตั้งก็สามารถทำให้ประเทศชาติบ้านเมืองเจริญได้
พี่น้องครับ ข้าราชการเบิกเบี้ยเลี้ยงไปดูงาน ไปต่างประเทศ เงินเหลือต้องเอากลับคืนคลัง แล้วถ้าไปต่างประเทศ หรือไปต่างจังหวัด ถ้ามีผู้อื่นเขามาเลี้ยงรับรอง ไม่ได้ใช้จ่าย ก็ต้องเอาคืน จัดเลี้ยงที่ทำเนียบฯ ท่านประหยัดขนาดว่าต้องดื่มน้ำ และห้ามดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เวลาจะเอาอาหารมาเลี้ยงแขกบ้านแขกเมือง ให้ใช้อาหารไทย ประหยัดกันมาขนาดนั้น และก็ใช้สินค้าไทย และเพลงเมดอินไทยแลนด์ของคาราบาวมันก็ดังในยุคป๋าเปรมนี่ล่ะครับ เศรษฐกิจจึงเจริญรุ่งเรือง การโกง การทุจริตไม่มี มีก็โดนป๋าจับได้ ปลดออกจากตำแหน่ง ข้าราชการที่โกง ที่ทุจริต ถูกไล่ออกจากราชการหมดเลยครับ
เพราะฉะนั้นในยุคนี้เศรษฐกิจเจริญ แม้ว่าบ้านเมืองจะเต็มไปด้วยภัยคอมมิวนิสต์ มีพรรคคอมมิวนิสต์ มีโจรจีนมลายู มีโจรแบ่งแยกดินแดน มีขบวนการต่อสู้ภายในประเทศ หรือขบวนการการเมือง ป๋าสามารถใช้ความรู้ความสามารถแก้ไขปัญหาวิกฤตของชาติบ้านเมือง พรรคคอมมิวนิสต์ก็ล่มสลายไปหมด ยอมกลับมามอบตัวและมาร่วมมือในการพัฒนาประเทศ โจรแบ่งแยกดินแดนก็หายเงียบ เพราะด้วยนโยบายใต้ร่มเย็น ด้วยนโยบายข้าราชการที่ข่มเหงรังแกราษฎร ท่านปลด ท่านสั่งย้าย ตั้ง ศอ.บต.ขึ้นมาเป็นหน่วยงานให้ประชาชนในพื้นที่ คนไทยพุทธ ไทยมุสลิม มีส่วนมาร่วมกันดูแลแก้ไขปัญหาพื้นที่ของตัวเอง เหตุการณ์สงบเรียบร้อย บ้านเมืองมีแต่ความสุข ไม่ต้องมาจากเลือกตั้ง
เห็นหรือยังครับ ท่านจะได้เอาไปพูดกับคนที่มันชอบมาเถียง ถ้าไม่เอาเลือกตั้งจะเอาอะไร เดี๋ยวผมจะตอบให้
ยุค พล.อ.เปรม เป็นยุคที่บ้านเมืองเจริญรุ่งเรืองที่สุดยุคหนึ่ง และมีการเงินการคลังของประเทศที่แข็งแรง เข้มแข็งมากที่สุด มีเงินสำรองคงคลังมากที่สุด
พี่น้องครับ พี่น้องหันมาดู ตลอดยุคที่มีการปฏิวัติรัฐประหาร มีการตรวจสอบทรัพย์สินของนักการเมือง และมีการยึดทรัพย์ 2 ครั้ง ที่สำคัญ คือยึดทรัพย์จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ โดยอาศัยมาตรา 17 ของรัฐธรรมนูญ ด้วยถูกกล่าวหาว่าทุจริตนั้น แม้จะมีเรื่องโกงเรื่องทุจริตสมัยนั้น ก็ยึดทรัพย์จอมพลสฤษดิ์ เพียง 604 ล้านบาท 551,276.62 บาทเท่านั้น
เงินเหล่านี้ก็ได้ถูกตกกลับมาเป็นของแผ่นดิน ส่วนคดียึดทรัพย์คดีที่ 2 ก็คือคดียึดทรัพย์จอมพลถนอม กับพวก ก็มีไม่ถึง 100 ล้านบาท จิ๊บจ๊อยมาก เมื่อเทียบกับการโกงการทุจริตของนักการเมืองไทยยุคปัจจุบัน
ทีนี้มาดูยุค พอพ้นจาก พล.อ.เปรม ไป นักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง เริงร่ากันเป็นแถวเลยพอพ้นจาก พล.อ.เปรม ได้ใครมาเป็นนายกฯ ได้ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ มาเป็นนายกฯ มาจากการเลือกตั้ง โอ้โห ยุคนี้เขาเรียกว่ายุคอะไร ยุค Buffet Cabinet ครับ แดกด่วน มือใครยาวสาวได้สาวเอา โกงทุจริตมโหฬาร แล้วก็ปรากฏพอถูกคณะปฏิวัติ พล.อ.สุจินดา ปฏิวัติ พล.อ.ชาติชาย ถูกยึดทรัพย์ 1,600 ล้านบาท นี่ยังไม่นับรวมบรรหาร ประมวล สภาวสุ มนตรี พงษ์พานิช ประมาณ อดิเรกสาร เสนาะ เทียนทอง เฉลิม อยู่บำรุง ใครต่อใครที่เป็น ครม.ยุคชาติชาย พิทักษ์ อินทรวิทยนันท์ ใครต่อใครที่เป็นรัฐมนตรี และเป็นเลขาฯ รัฐมนตรีในยุคนั้น รวมแล้วเฉพาะยุคชาติชาย ก็เป็นหมื่นล้าน นี่นักการเมืองเลือกตั้ง พ่อเจ้าประคุณทูนหัวถึงอยากจะเลือกตั้ง
สอง มาถึงยุค พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ปรากฏว่าเป็นยังไงครับ ยุค พล.อ.ชวลิต เป็นยุคที่มีการลดค่าเงินบาท เศรษฐกิจล่มสลาย สถาบันการเงินต้องปิดหมด เงินคงคลังของประเทศเกลี้ยงท้องพระคลัง จนหลวงตามหาบัวต้องออกมารณรงค์บริจาคเงินบริจาคทอง ช่วยท้องพระคลัง และการลดค่าเงินบาทและการปิดสถาบันการเงินครั้งนั้น คนที่รวยที่สุดก็คือคนที่มันหนีไปอยู่มอนเตเนโกรครับ เห็นหรือยังครับ พวกนักเลือกตั้งมันถึงอยากเลือกตั้ง
ยุค พล.อ.ชวลิต ล่มสลายแล้ว นายกฯ ชวน มาเป็นนายกฯ ต่อ ความจริงนายกฯ ชวนน่ะเป็นนายกฯ ก่อน แล้วยุคนายกฯ ชวนก็มีการแก้ไขกฎหมาย ยุคนายกฯ ชวนนั้นก็มีการทุจริต นายรักเกียรติ สุขธนะ ถูกยึดทรัพย์ และยุคแรกๆ นั้นการทุจริตยังไม่รุนแรง แต่มายุค 2 ยุคนายกฯ ชวน รุนแรงที่สุดครับ มีการแก้ไขกฎหมาย 11 ฉบับ มีการกู้เงินจาก IMF มีการไปยอมอเมริกามหาอำนาจ ยอมเซ็น MOU 2543 ให้มหาอำนาจธุรกิจพลังงานเข้ามายึดครองแหล่งพลังงานในประเทศหมดเลย ทั้งอ่าวไทย ทั้งภาคใต้ และทั้งชายแดนเขมร ยอมเซ็น MOU 2543 และเป็นมรดกบาปมาให้นายอภิสิทธิ์ต้องสืบทอดเจตนารมณ์เรื่องนี้จนเท่าทุกวันนี้
การโกง การทุจริต นายรักเกียรติ สุขธนะ ก็ถูกจับได้ว่าโกงทุจริตเรื่องยา ถูกยึดทรัพย์ไป 233.8 ล้าน และคราวนั้นการออกกฎหมาย 11 ฉบับ การตั้ง ปรส.การยอมให้เลห์แมน บราเธอร์ส บริษัทต่างประเทศ 3 บริษัทยักษ์ใหญ่ เข้ามาประมูล ไม่ว่าจีอี แคปปิตอล เลห์แมน บราเธอร์ส และบริษัทอื่นๆ อีก ประมูลเอาหนี้สินทรัพย์สินของคนไทยไปแบบถูกๆ แล้วก็มาขายทำกำไรมหาศาล คนไทยนั่งดูตาปริบๆ นี่ล่ะเขาเรียกว่ายุคนายชวน เป็นยุคแรกของการขายชาติ และทำให้พรรคประชาธิปัตย์ถูกตราหน้าว่าเป็นพรรคที่ขายชาติ
ต่อมาเป็นยุคของใครครับ ยุคของนายบรรหาร ศิลปอาชา อันนี้ไม่ต้องไปพูดถึงหลงจู๊ ทุจริตก็ฉาวโฉ่ แต่บรรหารก็อยู่ได้ไม่นาน อยู่ได้ปีเดียว ก็โดนยึดอำนาจจากพวกเดียวกัน แล้วมาถึงยุคชวลิต ชวลิตล่มสลายก็ชวนกลับมาภาค 2 ก็อย่างที่ผมพูด
พี่น้องครับ มาถึงยุคต่อมาที่เลวร้ายที่สุดคือยุคไหน คือยุคทักษิณ ชินวัตร นี่ก็มาจากเลือกตั้ง พี่น้องจำได้มั้ย ยึดทรัพย์ ศาลตัดสินฟ้องว่ารวยผิดปกติเท่าไร 76,000 ล้านครับ แล้วผลงานวิจัยของ อ.สมเกียรติ ตั้งกิจวาณิชย์ ในช่วงเวลาที่ทักษิณอยู่ในอำนาจ สามารถทำให้ธุรกิจของตัวเองร่ำรวยขึ้นมาประมาณ 60,000 ถึงเกือบแสนล้าน นี่นักเลือกตั้ง
นอกจากนั้น เมื่อเกิดการปฏิวัติ คณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน คตส. ที่มีนายนาม ยิ้มแย้ม เป็นประธาน ตรวจสอบพบว่ารัฐบาลในยุคทักษิณ โกงทุจริตไป เฉพาะ 13 โครงการที่ตรวจสอบพบนะ ไอ้ที่ตรวจสอบไม่พบยังมีอีกเยอะ เฉพาะที่ตรวจสอบพบก็ประมาณเกือบ 3 แสนล้านแล้วครับพี่น้อง
เห็นหรือยังครับ นี่ไงระบอบเลือกตั้ง รัฐธรรมนูญ ประชาธิไตยจอมปลอม ประชาธิปไตยที่มันแดกได้ คือแดกได้เฉพาะพวกมึง ประชาชนอดแดกไงครับ
ที่สำคัญ ยุคทักษิณนี้เป็นยุคที่สร้างวัฒนธรรมการโกงแบบใหม่ขึ้นมา นั่นก็คือโกงแบบคำโต โกงอภิมหาโปรเจกต์ แดกทีเป็นหมื่นๆ ล้าน ไอ้ร้อยล้าน 5 ล้าน มันแดกไม่เป็นครับ
วัฒนธรรมการโกงนี้ได้กลายเป็นมรดกตกทอดมาถึงไอ้ห้อย ไอ้โหน ไอ้เตี้ย ไอ้หน้าดำ มันถึงแดกเป็นตัวอย่างทีละหมื่นๆ ล้านอยู่ทุกวันนี้ เห็นหรือยังครับพี่น้อง นี่คือวัฒนธรรมการโกงที่มันสืบทอดกันมาโดยนักการเมือง เพราะฉะนั้นพี่น้องจะเห็นได้ว่านักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งเป็นยังไง
เอาล่ะ ทีนี้หันมาดูยุคอภิสิทธิ์ ยุคอภิสิทธิ์นี่มันน้อยหน้ากว่าทักษิณเสียเมื่อไรครับ จริงมั้ย ไม่ว่ารถเมล์ NGV รถไฟใต้ดิน ประมูลข้าว น้ำมันปาล์ม บุหรี่ ฟิลลิป มอร์ริส โครงการไทยเข้มแข็ง ประกันรายได้ ถนนปลอดฝุ่น โครงการแหล่งน้ำชลประทาน รถไฟความเร็วสูง แต่งตั้งโยกย้าย จัดซื้อยุทโธปกรณ์ แดกยัดห่าหมดครับ
นี่อยู่ยังไม่ถึง 5 ปี โกงทุจริต รวมทั้งทุจริตในสนามบินสุวรรณภูมิของบริษัทคิงเพาเวอร์และกลุ่มพวกในสนามบินสุวรรณภูมิ รวมแล้วไม่ต่ำกว่า 3 แสนล้านแล้วขณะนี้ เจาะไปกระทรวงไหนก็โกงกันทั้งนั้น
นี่คือปัญหาของการเมืองบ้านเรา พี่น้องเห็นหรือยังว่าการเมืองการเลือกตั้งกับการเมืองที่มาจากการแต่งตั้ง ปฏิวัติรัฐประหาร อันไหนมันชั่วมันเลวกว่ากัน ไอ้พวกนักเลือกตั้งมันชั่วหรือมันเลวกว่า ถ้าใครเห็นว่าเลือกตั้งมันชั่วมันเลวกว่า ปรบมือหน่อย ถ้าใครเห็นว่าปฏิวัติรัฐประหาร มาจากแต่งตั้งเลวกว่า ปรบมือหน่อย (มีนิดหน่อย)
พี่น้องครับ มาดูเรื่องสปิริตและความรับผิดชอบทางการเมือง ไอ้พวกที่มาจากแต่งตั้งกลับกลายเป็นพวกที่หน้าบางกว่า ไอ้พวกที่มาจากเลือกตั้งเป็นพวกที่หน้าหนาและกอดเก้าอี้มากที่สุดครับ คือโกง หน้าด้าน ลอยนวล อยู่เหนือกฎหมาย และทักษิณก็เป็นผู้สร้างวัฒนธรรม คือโกงแล้วต้องหาทางไปปิดปาก ป.ป.ช. ปิดปากศาล ปิดปากองค์กรอิสระทั้งหลาย ไม่ให้สามารถตรวจสอบได้ วันนี้ระบอบอภิสิทธิ์ก็เอาอย่างทักษิณเปี๊ยบทุกประการเลยครับ
พี่น้องครับ จะเห็นได้ว่าจากอดีตมาถึงการเมืองปัจจุบัน 79 ปี นักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง ที่มันชอบอ้างว่าระบอบประชาธิปไตย โกงทุจริตและทำให้บ้านเมืองเสียหายนับล้านๆๆ บาทครับพี่น้อง ไม่ใช่ล้านบาทนะ ล้านๆๆ บาทอีกครับ เสียหายมหาศาล และทำให้นักการเมืองจากการเลือกตั้ง จากยาจก นักเลงอันธพาลหัวไม้ จากกำนันหน้าดำๆ เป็นจรกา กลายเป็นมหาเศรษฐีทันที จากไอ้เตี้ยเสิร์ฟกาแฟ กลายเป็นไอ้เตี้ยมหาเศรษฐี จากไอ้ห้อยไอ้โหน หากินกับดินกับทราย อยู่บุรีรัมย์ ตอนนี้มันเป็นมหาเศรษฐีตาเดียวแล้วครับ
บ้านเมืองมันถึงได้สร้างพวกอัปรีย์จัญไรพวกนี้ขึ้นมาเป็นคางคกมาเป็นขุนนาง มันไม่ฉิบหายได้ยังไงครับ เพราะฉะนั้นคำถามคือ ไอ้บรรดาพวกแม่ยก พวกสอพลอตอแหลทั้งหลายชอบถามว่า ไม่เอาอภิสิทธิ์แล้วจะเอาใคร คำตอบก็คือ เอาใครก็ได้ที่ไม่ใช่พวกมึงไงครับ เอาใครก็ได้ที่ไม่ใช่มึง
น้ำหน้าอย่างนี้ยังเสือกจะมาถามอีก ไม่เอาอภิสิทธิ์แล้วจะเอาใคร ปัดโธ่เอ๊ย มีหน้ามาถามได้ แล้วชอบถามว่า ถ้าไม่เอาเลือกตั้งแล้วจะเอาอะไร ระบอบไหน เอาระบอบอะไรก็ได้ ที่ไม่ต้องเลือกตั้งและไม่ต้องมีพวกโจร 500 อย่างพวกมึงมาให้พวกกูเห็นหน้าไง ตอบง่ายมั้ยครับ ตรงที่สุด ไม่ต้องมีโจร 500 มาปกครองบ้านเมือง ระบอบอะไรก็ได้ที่คนดีๆ ได้มีโอกาสปกครองบ้านเมือง ไม่โกงไม่กิน มีคุณธรรม มีศีลธรรม มาวิธีไหนพวกกูก็เอาทั้งนั้นแหล่ะ
พี่น้องครับ ที่เจ็บปวดที่สุดถ้าพี่น้องดูให้ดีนะครับ ระบอบปฏิวัติรัฐประหาร เผด็จการว่าเป็นเผด็จการทหารแล้ว ประชาชนถูกฆ่า ถูกจับ คุกคามเสรีภาพ ยังมีน้อยกว่าระบอบปัจจุบัน พี่น้องจำได้มั้ย ไอ้พวกที่มันมาจากการเลือกตั้งมันหน้าเนื้อใจเสือ มันโหดร้ายอำมหิต ใจดำอำมหิต ชั่วช้าเลวทรามที่สุด ยุคทักษิณฆ่าตัดตอนไป 3 พันศพ ไม่นับรวมกรือเซะ ตากใบ ตายไปอีกเท่าไร นี่เลือกตั้ง แล้วก็เหตุการณ์ไม่สงบภาคใต้มาถึงวันนี้ ตายเป็นพัน บาดเจ็บหลายพัน พิการหลายพันหลายหมื่นคน สูญงบประมาณไปนับแสนๆ ล้าน ไม่ต่ำกว่า 7 แสนล้านแล้วตอนนี้ เพื่อแก้ปัญหาความไม่สงบเพียง 3 จังหวัดภาคใต้
นอกจากฆ่าตัดตอนแล้ว ยุคนายอภิสิทธิ์ เฉพาะชุมนุมของพวกเสื้อแดง ตายไป 91 ศพ บาดเจ็บนับพันครับ ยุคสมชาย สมัคร พันธมิตรฯ ชุมนุมก็ตายไป 11 ศพ ใช่มั้ยพวกเรา บาดเจ็บนับร้อย พิการอีกนับร้อย มีการคุกคามสิทธิเสรีภาพประชาชนหนักยิ่งกว่าสมัยที่มีการปฏิวัติรัฐประหารอีก
มีการใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน คุกคามเสรีภาพประชาชน เราชุมนุมอยู่ดีๆ มันยังจะเอาตำรวจมารื้อส้วม มาไล่พวกเรา
และพี่น้อง เศรษฐกิจเทียบกันแล้ว ยุคที่มีการเลือกตั้งเศรษฐกิจล่มจมมากที่สุด โกงมากที่สุด และเศรษฐกิจล่มสลายมากที่สุดครับ
ยุค พล.อ.ชวลิตก็แทบสิ้นชาติ ล้มทั้งประเทศ มาถึงยุคทักษิณ โกง โคตรโกง ประเทศฉิบหายไปเท่าไรแล้ว มายุคอภิสิทธิ์ก็โกงอีก มายุคนี้ถึงขนาดต้องเข้าคิวซื้อน้ำมันปาล์ม เศรษฐกิจแย่ ตกต่ำ ทำมาหากินยากลำบาก ฝืดเคือง ไม่มีความมั่นคง ไม่มีความสงบเรียบร้อย เทียบกันได้เลยครับว่านักการเมืองกำมะลอพวกนี้บริหารชาติบ้านเมืองไม่เป็น มีแต๋ฉิบหายๆๆๆ ฉิบหายอย่างเดียวครับ
ส่วนทางด้านสังคมไม่ต้องพูดถึง ลัก วิ่ง ชิงปล้น ฆ่าข่มขืน ทำแท้ง เกลื่อนบ้านเต็มเมือง สภาพสังคมไม่มีอะไรดีขึ้น ไม่มีอะไรน่าอยู่ ในสายตาของต่างประเทศประเทศไทยตกต่ำที่สุดในยุคนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่เพียงเท่านั้น ยังเป็นการขายชาติขายแผ่นดิน หนักเข้าไปอีก
เพราะฉะนั้นที่ อ.เทพมนตรี บอกว่าพรรคประชาธิปัตย์มันต้องเปลี่ยนตราโลโก้พรรคได้แล้ว อย่าเอาพระแม่ธรณีไปเป็นตราสัญลักษณ์พรรคประชาธิปัตย์ อย่าบังอาจ เพราะพวกคุณขายชาติขายแผ่นดิน ทรยศต่อพระแม่ธรณีบีบมวยผม
พี่น้องครับ ที่ผมพูดมาทั้งหมดนี้ก็เพื่อจะบอกพี่น้องว่า วันนี้มันต้องจบสิ้นแล้วสำหรับบ้านเมืองของเรา มันควรจะจบสิ้นแล้วสำหรับการเมืองการเลือกตั้ง นายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ และพรรคร่วมรัฐบาล อย่าเสือกมาถามประชาชนว่าจะเอาระบอบอะไร ที่แน่ๆ ก็คือไม่เอาพวกคุณมึงทั้งหลาย ให้ลงนรกไปได้เลย
ระบอบเลือกตั้งนั้นเป็นระบอบที่ทำลายบ้านเมือง ได้เป็นระบอบที่ทำให้คนชั่วได้เข้ามามีอำนาจ ไม่ใช่ระบอบที่จะทำให้คนดีได้ปกครองบ้านเมือง
พี่น้องครับ อยากจะกราบเรียนพ่อแม่พี่น้องประชาชนทุกท่านที่อยู่ที่นี่ และอยู่ทางบ้าน หรือที่ติดตามชมติดตามฟัง ไม่ได้มาชุมนุมหรือไม่ร่วมชุมนุมกับพวกเราก็ตามแต่ อยากจะเรียนให้ทราบว่า พวกเราไม่ได้ปรารถนาหรือแสวงหาระบอบการปกครองอื่นใดที่จะเป็นผลร้ายต่อชาติบ้านเมืองหรือต่อประชาชน ต่อสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์แต่อย่างใด แต่เป็นสิทธิ์โดยชอบธรรมของประชาชนอย่างพวกเราใช่มั้ยที่จะแสวงหาการปกครองและแสวงหาสังคมที่ดีกว่าทุกวันนี้ เป็นสิทธิ์โดยชอบธรรมของพวกเราใช่มั้ยครับ
คุณอภิสิทธิ์ คุณไม่มีสิทธิ์ และไม่สามารถที่จะเอาระบอบการเมืองการเลือกตั้งที่สามานย์ที่เป็นอยู่ในขณะนี้ และคุณไม่สามารถที่จะอ้างเอานักการเมืองที่ขายชาติ ที่ไร้คุณธรรมทั้งหมดเหล่านี้ มาเป็นแรงสนับสนุนให้คุณก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกฯ แล้วมาข่มขืนใจให้พี่น้องประชาชนคนไทยยอมรับการปกครองอันอัปยศและไร้ความชอบธรรมของพวกคุณ
ประชาชนมีสิทธิ์ที่จะต่อสู้และไม่ยอมจำนนต่ออำนาจของผู้ปกครองที่ไร้ความชอบธรรม ใช่มั้ยครับพี่น้อง
คุณเป็นพวกผู้ปกครองที่ไร้คุณธรรม ไร้ศีลธรรม ไร้มโนธรรม ไม่มีความรู้ไม่มีความสามารถ และยังขาดสำนึกในการรักชาติรักประชาชนอีกด้วย
เพราะฉะนั้นคุณอย่ามาถามว่าประชาชนจะเอาระบอบอะไร อย่าอ้าปากถาม นายอภิสิทธิ์ เพราะคุณไม่มีสิทธิ์จะถาม ตราบใดที่คุณยังเลว และเป็นผู้นำที่เลวอย่างนี้ ไม่มีสิทธิ์ถามประชาชน ประชาชนมีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธผู้ปกครองที่ไม่ชอบธรรม แม้กระทั่งโค่นล้มมันลงมา นี่คือสิทธิ์โดยชอบตามรัฐธรรมนูญ
ผู้ปกครองที่ได้อำนาจมาโดยฉ้อฉล ทุจริตคดโกง โกงเลือกตั้งแล้วมาปล้นบ้านกินเมือง เป็นสิทธิ์ของประชาชนที่จะโค่นล้มผู้ปกครองที่ไม่ชอบธรรมครับ
เพราะฉะนั้นวันนี้อยากจะบอกนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และบรรดานักการเมืองโจร 500 ทั้งหลายว่า คุณไม่มีทางเลือกอื่นใด มีทางเดียวคือคุณต้องไสหัวออกไปจากอำนาจทางการเมืองเสีย และไปลงนรกได้แล้วครับ เราไม่มีวันที่จะยอมรับอำนาจการปกครองของพวกคุณอีกต่อไป
พี่น้องประชาชนทั้งหลาย เราจะต้องลุกขึ้นมาสามัคคีกันให้มากที่สุด ผมเชื่อแน่ว่าวันเวลาที่รัฐบาลนี้กำลังจะล่มสลายใกล้มาถึงแล้ว ขอเพียงว่าเมื่อถึงวันที่เราจะระดมกำลังกันให้มากที่สุด เราต้องมากันให้เต็มแผ่นดินครับ
และผมฝากไปถึงข้าราชการ ทหาร ตำรวจ ที่รักชาติ รักบ้านรักเมือง ว่าคุณจะอยู่ยอมเป็นทาสนักการเมืองที่สกปรก โสมม สามานย์ ทุจริต คดโกงที่ไร้ศีลธรรมไร้คุณธรรมพวกนี้ต่อไปอีกหรือ คุณควรจะมีจุดยืนที่เห็นแก่ชาติบ้านเมือง เพราะคุณเป็นข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเป็นผู้รับใช้ประชาชน ไม่ใช่ผู้รับใช้นักการเมือง เราจะได้จัดการกับนักการเมืองพวกนี้ ผมเชื่อว่าอีกไม่นาน และนายอภิสิทธิ์ คุณไม่ต้องไปถามหาใครว่ากลุ่มไหนที่ไม่ต้องการการเลือกตั้ง ก็กูนี่ล่ะไม่ต้องการให้มึงเลือกตั้ง และก็ยังมีพี่น้องประชาชนอีกจำนวนมากทั่วประเทศ ที่เขาสะอิดสะเอียนและทุเรศ สมเพชกับนักการเมืองอย่างพวกคุณ ไสหัวออกไปซะเร็วๆ ก่อนที่จะไม่มีแผ่นดินอยู่
พี่น้องครับ ถ้าผมบอกว่าอภิสิทธิ์ (ออกไป) อภิสิทธิ์ (ออกไป) อภิสิทธิ์ (ออกไป) พี่น้อง ถ้าถึงวันนั้นเราต้องบอกพี่น้องเราทุกคนออกมาช่วยกันเปลี่ยนแปลงบ้านเมือง และทำอนาคตของชาติบ้านเมืองด้วยตัวของพวกเราเอง ขอเพียงแต่พวกเราสามัคคีกันร่วมมือกัน ออกมาช่วยตัวเองก่อน แล้วเทวดาแล้วพระเจ้าจะช่วยพวกเราเอง ขอบคุณครับ