ที่ประชุมกรรมการสิทธิมนุษยชน ค้านร่าง พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะ ที่จะเข้าสู่การพิจารณาของสภาฯ ขัดต่อ รธน.-กติการะหว่างประเทศ (ICCPR) ที่ให้การรับรองเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ แนะให้รัฐสภาแก้ไขสาระสำคัญ ตอกหน้าเป็นคดีทางปกครอง ไม่ใช่ให้อำนาจตำรวจใช้เหตุอ้างนำขึ้นสู่ศาลอาญา หรือแพ่ง
วันนี้ (21 มี.ค.) นายไพบูลย์ วราหะไพฑูรย์ กรรมการสิทธิฯกล่าวว่า คณะกรรมการสิทธิฯได้มีการประชุมกรณีที่ ครม.มีมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ พ.ศ...…. ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของกรรมาธิการ โดยที่ประชุมมีข้อเสนอต่อรัฐบาลถึงร่างกฎหมายดังกล่าวโดยเห็นว่า 1.รัฐธรรมนูญ มาตรา 4, 28, 29, 45 และ 63 ได้บัญญัติรับรองเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ ซึ่งสอดคล้องกับปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ (UDHR) และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) ดังนั้น กฎหมายที่อนุวัติการจึงต้องส่งเสริมและคุ้มครองเสรีภาพดังกล่าว เพื่อเป็นหลักประกันแก่ในการแสดงเสรีภาพ และหลีกเลี่ยงการบัญญัติเงื่อนไขหรือข้อจำกัดที่เกินความจำเป็น อีกทั้งเพื่อให้เจ้าหน้าที่ของรัฐดำเนินการเกี่ยวกับการชุมนุมตามกฎหมายว่าด้วย การชุมนุมสาธารณะก่อน จะใช้กฎหมายการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน กฎหมายว่าด้วยกฎอัยการศึกมาใช้บังคับแก่การชุมนุม ต้องเป็นกรณีที่จำเป็นแก่สถานการณ์ 2.การตรากฎหมายนี้ ควรคำนึงถึงเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ มาตรา 63 ที่มุ่งส่งเสริมคุ้มครองเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธของประชาชนด้านหลัก ส่วนการจำกัดเสรีภาพของประชาชนเป็นเพียงข้อยกเว้น
ทั้งนี้ ในเนื้อหาสาระของร่างกฎหมายดังกล่าว กสม.เห็นว่า การชุมนุมสาธารณะ ควรหมายถึงการรวมกันเพื่อแสดงออกให้รัฐทราบถึงความประสงค์ โดยไม่จำเป็นต้องเป็นสมาชิก การกำหนดให้ศาลเข้ามามีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการชุมนุมฯควรเป็นศาลปกครองเพราะเป็นการพิพาทกันทางปกครองระหว่างประชาชนผู้ชุมนุมกับรัฐ ไม่ใช่ศาลแพ่งหรือศาลจังหวัดที่จะเป็นผู้ออกคำสั่งให้เลิกชุมนุม เช่นเดียวกันโทษของการขัดคำสั่งควรเป็นโทษปรับทางปกครอง ไม่ใช่โทษอาญาจำคุกอย่างที่ระบุไว้และการห้ามชุมนุมกีดขวางทางเข้าออกสถานที่สำคัญก็ควรครอบคลุมถึงองค์กรระหว่างประเทศ เช่น ที่ทำการขององค์การสหประชาชาติ อีกทั้งที่กำหนดให้ผู้ประสงค์จัดการชุมนุมสาธารณะ ต้องแจ้งเป็นหนังสือล่วงหน้าและต้องได้รับอนุญาตจากผู้บัญชาการตำรวจนครบาล หรือผู้ว่าราชการจังหวัด ก็ควรกำหนดให้แจ้งโดยวิธีอื่นได้ เช่น โทรสาร หรือ E-mail รวมทั้งกำหนดให้ชุมนุมที่ไม่ได้แจ้งล่วงหน้าต้องขออนุญาต ถือว่าไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ
นอกจากนี้ยังเห็นว่า การกำหนดให้เจ้าพนักงานอาจใช้เครื่องมือควบคุมฝูงชนได้ตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด ไม่เหมาะสม ไม่ควรให้อำนาจแก่ รมต.ในการกำหนดกรอบและรายละเอียด ขณะที่ในส่วนเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องกับการดูแลการชุมนุม ต้องได้รับการฝึกอบรมโดยเฉพาะ เพื่อให้เป็นตามหลักสากล และห้ามใช้อาวุธปืนกับกลุ่มผู้ชุมนุมโดยเด็ดขาด ส่วนการให้เจ้าหน้าที่มีอำนาจค้น จับ ยึดหรืออายัดทรัพย์สินผู้ชุมนุมในพื้นที่ควบคุมได้ เห็นเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนที่มีความสำคัญ ซึ่งรัฐธรรมนูญ มาตรา 32 และ ICCPR ข้อ 9 ได้บัญญัติรับรองไว้ หากจะมีการกระทำใดๆ ที่กระทบต่อสิทธิขั้นพื้นฐานดังกล่าวเป็นเพียงข้อยกเว้น ซึ่งต้องผ่านการวินิจฉัยขององค์กรตุลาการ
อย่างไรก็ตาม กสม.เห็นว่า ร่างกฎหมายนี้ควรมีการกำหนดกลไกรองรับการชุมนุมสาธารณะ โดยแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนกลาง ประกอบด้วย นายกรัฐมนตรีหรือผู้ที่มอบหมาย เป็นประธาน หัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ผู้จัดการชุมนุมหรือผู้เข้าร่วมการชุมนุมสาธารณะ โดยมีผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นเลขานุการ ส่วนท้องถิ่น ประกอบด้วย ผู้ว่าราชการจังหวัดหรือผู้ที่มอบหมาย หรือผู้บริหารท้องถิ่นเป็นประธาน หัวหน้าส่วนราชการระดับจังหวัดที่เกี่ยวข้อง ผู้จัดการชุมนุมสาธารณะ หรือผู้เข้าร่วมการชุมนุมสาธารณะ โดยมีผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรจังหวัดเป็นเลขานุการ
“หากพิจารณาการชุมนุมเกือบทุกครั้งที่ผ่านมา พบว่าสาเหตุที่แท้จริงมาจากการที่ชาวบ้านได้รับความเดือดร้อนและไม่ได้รับการแก้ไขหรือเยียวยา ซึ่งหากหน่วยงานของรัฐได้จัดการแก้ไขปัญหาของประชาชนได้อย่างรวดเร็วแล้ว การชุมนุมก็จะไม่เกิดขึ้น หรือเกิดขึ้นก็จะยุติโดยเร็ว ดังนั้น ถ้ามีความจำเป็นต้องตรากฎหมายดังกล่าวขึ้นใช้บังคับก็ควรมีเจตนารมณ์ที่จะรับรองและคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนเป็นสำคัญ หากไม่เป็นไปตามความเห็นที่ กสม.เสนอ ก็ไม่อาจยอมรับกฎหมายที่จะตราขึ้นมาใช้บังคับได้”