xs
xsm
sm
md
lg

ทหารเป็นโจรปล้นปืนกองทัพ ชี้ “ท็อปบูต” ในยุคเสื่อมทราม

เผยแพร่:   โดย: นกหวีด

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
กลายเป็นข่าวใหญ่งามหน้า “กองทัพไทย” อีกแล้ว เมื่ออาวุธปืนหลากชนิดรวม 151 กระบอก “ล่องหน” จากคลังแสง ค่ายธนะรัชต์ จ.ประจวบคีรีขันธ์ อย่างไร้ร่องรอย

ทำให้ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ถึงกลับ “เต้นผาง” สั่งให้มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวน และสั่ง “เชือด” ผู้บังคับกองพัน และนายทหารที่เกี่ยวข้องทันที

โดยย้อนไปเมื่อช่วงเย็นวันที่ 3 มี.ค. ได้มีนายทหารยศ ร.อ.จากกองพันทหารราบที่ 1 ศูนย์การทหารราบร้อย (ศร.พัน.1) ค่ายธนะรัชต์ อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ ได้เข้าแจ้งความที่สถานีตำรวจภูธรปราณบุรี ว่ามีอาวุธปืนภายในคลังอาวุธของกองพัน ศร.พัน.1 ภายในค่ายธนะรัชต์ หายไปจำนวนมาก ประกอบด้วย อาวุธปืนเอ็ม 16 จำนวน 117 กระบอก ปืนพกสั้น 11 มม.จำนวน 10 กระบอก ปืนเอ็ม 79 จำนวน 5 กระบอก ปืนกลเอ็ม 60 จำนวน 4 กระบอก ปืน ค. 60 จำนวน 1 กระบอก ปืนกลเบาเอ็ม 249 มินิ 4 กระบอก และเครื่องยิงจรวดอาร์พีจี 10 กระบอก

แต่เมื่อเรื่องแดงขึ้นมาก็รีบ “วิ่งแจ้น” ไปถอนการลงบันทึกประวัน โดยอ้างว่าเป็นการเข้าใจผิดทางบัญชี ไม่ได้มีอาวุธสูญหาย ยังอยู่ครบถ้วนถูกต้อง สอดรับกับท่าทีของ “เสธ.ไก่อู” พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก ที่ออกมายอมรับว่า มีเหตุการณ์เกิดขึ้นตามที่เป็นข่าวจริง แต่กลับพยายามเบี่ยงเบนประเด็นว่าอาจไม่เกิดการสูญหายหรือถูกโจรกรรม

พร้อมตั้ง “ทฤษฎีใหม่” ว่า อาวุธปืนอาจจะกระจายอยู่ในแผนกต่างๆ ทำให้รวบรวมไม่ครบตามบัญชี

จนในที่สุดเมื่อไม่สามารถควบคุมทิศทางข่าวได้ จึงต้องออกมายอมรับว่า อาวุธหายจริง แต่ยืนยันว่าไม่น่าจะถูกงัดแงะออกไป เพราะไม่พบรองร่อย และ “สันนิษฐาน” เบื้องต้นว่า

เป็นการทุจริตของเจ้าหน้าที่ โดยมีวิธีการค่อยๆ นำทยอยออกไป อาศัยจังหวะที่มีการส่งซ่อมยุทโธปกรณ์ และเจ้าหน้าที่ควบคุม “ละเลย” ไม่มีลงบัญชีรับส่งซ่อมโดยสมบูรณ์

การที่ พ.อ.สรรเสริญพยายามปฏิเสธว่า การถอนแจ้งความไม่ได้ต้องการ “ปิดบัง” ความจริงนั้น คงฟังไม่ขึ้น เนื่องจากการขอถอนลงบันทึกประจำวัน แล้วอ้างว่าเป็นความผิดพลาดทางบัญชี ทั้งที่ความเป็นจริงอาวุธหายไปจริงๆ ย่อมส่อให้เห็นถึงเจตนาที่จะ “เคลียร์” ปัญหาเป็นการภายในกองทัพมากกว่า เพราะเมื่อ “เจ้าทุกข์” ถอนฟ้อง ทำให้สิ้นสุดขั้นตอนการสืบสวนของทางตำรวจ และกลายเป็นเรื่องภายในของทหาร

ในความเป็นจริงนั้น การเข้าแจ้งความของนายทหารระดับ ร.อ. ซึ่งเป็น ผบ.กองร้อย ศร.พัน.1 นั้น ได้รับมอบหมายจาก “พ.ท.มโนรถ สุทธิสำแดง” ผบ.ศร.พัน.1 คนใหม่ ซึ่งทำการตรวจสอบบัญชีอาวุธก่อนรับตำแหน่ง และพบว่ามีอาวุธหายจำนวนมาก จึงดำเนินการแจ้งความดังกล่าว

จน “ผิดคิว” กลายเป็นข่าวใหญ่โต เป็นเหตุให้ “กองทัพ” ต้องเสียหน้าอย่างแรง กว่าที่จะไปถอนฟ้องแล้วอ้างว่าเข้าใจผิดก็ไม่ทันการณ์เสียแล้ว

ร้อนถึง “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.ที่ต้องออกมา “เทกแอ็กชัน” ด้วยสไตล์ที่ดุเดือดอันเป็นเอกลักษณ์ทันที ทั้งการตั้งคณะกรรมการสอบสวนทั้งในระดับหน่วยงาน และส่วนกลาง พร้อมสั่งล่าตัว “จ.ส.อ.ผู้ดูแลคลังอาวุธ” ซึ่งหายตัวไป หลังเกิดเรื่อง รวมทั้งพุ่งเป้าสอบไปที่ “ผบ.ศร.พัน.1 คนเก่า” ซึ่งดูแลในห้วงเวลาเดือน พ.ย.-ต.ค. 2553 ที่มีการลักลอบขนปืนจากคลังแสง โดยคาดโทษ “สถานหนัก” ต่อผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด

“บิ๊กตู่” ยังยอมรับด้วยว่า เรื่องนี้เป็นความบกพร่องของผู้บังคับกองพัน และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ที่ดูแลคลังอาวุธ เพราะการส่งอุปกรณ์ต่างๆ เข้าซ่อมมีการทุจริตทางบัญชี โดยไม่ได้ขนในคราวเดียว แต่ทยอยไปทีละ 1-2 กระบอก พร้อมย้ำด้วยว่า เป็นความบกพร่องเฉพาะตัวบุคคล ไม่ให้ “เหมารวม” ว่าเป็นทั้งกองทัพ แต่ขอให้เป็นเรื่องภายในของหน่วยทหารที่จะดำเนินการเอง

การย้ำว่าขอให้เป็นเรื่อง “ภายใน” นั้นก็เพื่อกันมิให้ผู้อื่น โดยเฉพาะฝ่ายการเมืองเข้ามา “ยุ่มย่าม” เพราะเมื่อทหารมีปัญหา ก็ขอใช้ “วิถีทหาร” ในการแก้ปัญหาเอง ซึ่งท่าทีล่าสุดของ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกรัฐมนตรี ก็ไม่ขัดข้อง ให้อำนาจ “บิ๊กตู่” จัดการเต็มที่

ประเด็นสำคัญของกรณีนี้ นอกจากการสืบสวนหาตัวผู้กระทำมาลงโทษ เพื่อกู้ภาพของ “กองทัพ” ให้กลับคืนมาโดยเร็ว โดยต้องขยายผลทำลายล้างขบวนการเหล่านี้ให้หมดสิ้นไปโดยเร็ว เนื่องจากมีข้อมูลจากการเปิดเผยของ “อดีตนายทหารระดับพลเอก ระบุว่า

ขบวนการลักอาวุธจากกองทัพเพื่อนำไปขายในตลาดมืดนั้นมีอย่างต่อเนื่องตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน เพียงแต่ในอดีตมีความสูญหายตกหล่นครั้งละไม่มาก หรืออาจเป็นเพียงเครื่องกระสุนเล็กน้อย จึงตีว่าเป็นความผิดพลาดจากการลงบัญชี แต่ครั้งนี้จำนวนของอาวุธที่หายไปนั้นค่อนข้างมาก จึงไม่ใช่เรื่องที่จะปล่อยผ่านไปได้อีกต่อไป

ซึ่ง “พลเอกแห่งกองทัพไทย” วัยเกษียณท่านนี้ยังระบุอีกว่า เส้นทางของอาวุธส่วนใหญ่ถูกส่งต่อให้แก่กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งมีกำลังซื้อจากทุนสนับสนุนฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล และทุนจากประเทศมุสลิมในตะวันออกกลาง และมีอาวุธเพียงบางส่วนเท่านั้นที่ถูกส่งต่อไปยังกลุ่มชนกลุ่มน้อยตามแนวชายแดนในประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งนี้หากลักลอบจำหน่ายให้กับกลุ่มผู้ก่อการร้ายในพื้นที่ภาคใต้จะได้ราคามากกว่า

ไม่เพียงแต่การทุจริตที่ต้องเร่งสอบสวนเท่านั้น “เส้นทาง” การลำเลียงอาวุธเหล่านี้เข้าสู่ “ตลาดมืด” ก็เป็นเรื่องที่ต้องทำโดยด่วน เพราะกระทบถึงความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของประชาชนคนไทย รวมทั้งเจ้าหน้าที่ทหารที่ทำหน้าที่ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้อีกด้วย เพราะแม้ พล.อ.ประยุทธ์จะรับประกันว่า คงไม่มีใครกล้านำมาใช้ก่อเหตุภายในประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่ กทม.แล้วก็ตาม

แต่ด้วยสถานการณ์บ้านเมืองที่อยู่ในภาวะ “เปราะบาง” ที่หากมีเหตุการณ์รุนแรงใดๆ ก็อาจทำให้เกิดเรื่องที่ไม่คาดฝันตามมาได้ ซึ่ง “พรรคเพื่อไทย” ก็รีบออกมาปั่นกระแสทันที โดยระบุว่าจะมีการนำอาวุธมาสร้างสถานการณ์ในการชุมนุมของคนเสื้อแดง ในวันที่ 12 มี.ค.นี้ พล.อ.ประยุทธ์ตอบโต้อย่างมีอารมณ์ว่า “ไม่มีใครเอาไปยิงพวกเขา เว้นแต่เขาจะเอามายิงพวกผม พอใจหรือยัง จะได้ไปพาดหัวข่าวให้พรรคเพื่อไทยมาด่าผมกลับอีกรอบ”

ถึงเวลานี้ พล.อ.ประยุทธ์ จำต้องทำทุกวิถีทางในการสอบสวนหาข้อเท็จจริง และติดตามอาวุธที่หายไปกลับคืนมาให้ได้เพื่อ “กอบกู้” ภาพลักษณ์ของกองทัพกลับคืนด้วย

ต้องยอมรับว่า ห้วงเวลานี้ “กองทัพ” กำลังอยู่ในช่วง “ขาลง” อย่างแท้จริง ทั้งจากปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ยอมตกเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ ปล่อยให้ทหารแขมร์เข้ามายึดครองดินแดนตั้งฐานทัพ “เหยียบหน้า” ทหารไทยบนผืนแผ่นดินไทย โดยมี “ชนัก” ในเรื่องผลประโยชน์ที่สังคมยังไม่ได้รับกระจ่าง

รวมทั้งปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่นับวันจะมีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แต่ทหารซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบหลักกลับไม่สามารถจัดการปัญหาได้ จน ส.ส.ในพื้นที่ทนไม่ได้ออกมาตั้งโต๊ะไล่ “บิ๊กตู่” กันมาแล้ว ทั้งที่รัฐบาล “ประเคน” เครื่องไม้เครื่องมือให้อย่างพร้อมสรรพ ในยุคที่ “คุณูปการ” ของ “พลังสีเขียว” มีต่อฝ่ายการเมืองหรือรัฐบาลประชาธิปัตย์อย่างเหลือล้น

เป็นโอกาสดีในการ “กู้หน้า” กลับมา แต่อยู่ที่ พล.อ.ประยุทธ์ และ พี่ใหญ่แห่งบูรพาพยัคฆ์ - “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม จะเอากันจริงหรือไม่

หากแก้ปมนี้ไม่ได้ คนที่โดนเด้งไม่น่าจะหยุดแค่ ผบ.กองพัน อาจจะต้อง “เด็ดยอด” รื้อระบบกันใหม่กันเลยทีเดียว
กำลังโหลดความคิดเห็น