“เด็จพี่” เปิดโพลแดง ซัด “มาร์ค” ของแพง แล้งน้ำใจ นโยบายโหลยโท่ย ปกปิดกำพืด สร้างหนี้ ประชาชนแตกแยก แก้โกงเหลว เก่งสร้างภาพ จี้รัฐหยุดยื้อซักฟอก ซัดปืนหายคาค่ายสะท้อนความล้มเหลวของทหาร ปูดใช้อำนาจรัฐบีบเอกชนซื้อโต๊ะระดมทุน ปชป. ด้านรองโฆษก พท.ซัด “มาร์ค” ใช้ “ก.” จุ้นตัดสินคดีบุหรี่นอกโกงภาษี จ่อซักฟอก
วันนี้ (6 มี.ค.) ที่พรรคเพื่อไทย นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ก่อนจะมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯและคณะรัฐมนตรีอีก 9 คนทางคณะทำงานพรรคเพื่อไทยได้สำรวจจุดอ่อน-จุดแข็งของนายอภิสิทธิ์ ผู้นำรัฐบาลที่ประชาชนสะท้อนความรู้สึกผ่านโพลสำรวจที่คณะทำงานของเพื่อไทย ได้สำรวจกลุ่มประชาชนตัวอย่าง 2,500 คนทั่วประเทศทั้ง 4 ภาค และรวมถึง กทม.เมื่อวันที่ 27 ก.พ. - 5 มี.ค.54 เพื่อหาจุดอ่อน จุดแข็ง ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ผลสำรวจทั้งจุดอ่อนและจุดแข็งสรุปว่า ผู้นำรัฐบาลมีคะแนนทั้งยอดแย่ และยอดเยี่ยมที่เป็นที่สุดดังนี้ เช่น แล้งน้ำใจที่สุด ที่ประชาชนสะท้อนความรู้สึกผิดหวังกับการบริหารในรอบ 2 ปีเศษจากกรณีพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชาที่มีการปะทะระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชาส่งผลให้ประชาชนและทหาร เสียชีวิตและมีคนไทยอพยพเกือบสี่หมื่นคน แต่นายอภิสิทธิ์ผู้นำรัฐบาลไม่เคยลงพื้นที่ไปพบประชาชนแม้แต่เสี้ยววินาที เดียว รวมถึงกรณีส่งนายพนิช วิกฤตเศรษฐ์ ส.ส.ปชป.ซึ่งเป็นเพื่อนกับนายอภิสิทธิ์ ลงพื้นที่ชายแดนจนถูกกัมพูชาจับตัว แทนที่นายอภิสิทธิ์จะเข้าไปเร่งเจรจาช่วยเหลือกลับหลบไปพักผ่อนที่น้ำตกทีลอซู จังหวัดตาก 4 วัน ประชาชนให้คะแนนเรื่องความไม่มีน้ำใจ และผิดหวังผู้นำจากคะแนนเต็ม 10 นายอภิสิทธิ์ได้ถึง 9 คะแนน
นายพร้อมพงศ์กล่าวต่อว่า ยุคข้าวยากหมากแพงที่สุดที่นายอภิสิทธิ์บริหารมา 2 ปีเศษเป็นยุคอาหารแพงที่สุดแถมยังขาดแคลนและมีปัญหากักตุน ปั่นราคาจนขาดตลาด โดยเฉพาะน้ำมันปาล์มที่คนยังต้องเข้าคิวแย่งชิง ชกต่อยตบตีเพื่อซื้อน้ำมันปาล์มจากคะแนนเต็ม 10 นายอภิสิทธิ์ ได้ถึง 10 คะแนนเต็ม และออกนโยบายที่โหล่ยโท่ยที่สุด ประชาชนยุ่งยากแต่ใช้งบมากที่สุด คือ ขายนโยบายประชาวิวัฒน์ ขายไข่เป็นกิโล รัฐบาลเสียค่าโง่จ้างเอกชนคิด 69 ล้านบาทแต่ประชาชนเสียเงินจากเงินภาษีมาจ่ายค่าความคิดแบบบ้องตื้นที่จะแก้ ข้อกล่าวหาว่ายุคนายอภิสิทธิ์ ไข่แพงกว่านายกฯ คนอื่นก็เลยมาชั่งไข่ขายแก้ ปัญหาสุดท้ายก็ต้องเลิกจากคะแนนเต็ม 10 นายอภิสิทธิ์ ได้ถึง 8.5 คะแนน
นายพร้อมพงศ์ยังกล่าวต่อว่า รัฐบาลปกปิดกำพืดตัวเองได้นานที่สุด โดยเป็นนายกฯ คนแรกของประเทศไทยที่ถือ 2 สัญชาติ ทั้งไทยและสัญชาติอังกฤษมานานเกือบ 40 กว่าปีโดยที่คนไทยไม่เคยรู้มาก่อน เมื่อถูกต้อนในสภาฯ จนต้องสารภาพสุดท้ายก็ยังถือ 2 สัญชาติอยู่ ซึ่งผลสำรวจประชาชนรับไม่ได้จากคะแนนเต็ม 10 นายอภิสิทธิ์ได้ถึง 9.4 คะแนน แถมยังมีการสร้างหนี้มากที่สุด นายอภิสิทธิ์บริหารมา 2 ปีเศษ กู้เงินมา 1.1ล้านล้านบาท ทำให้หนี้สาธารณะพุ่งสูงขึ้นเป็น 4.5 ล้านล้านบาทเกือบ 50 เปอร์เซ็นของจีดีพีของประเทศทำให้เด็กที่เกิดใหม่รวมถึงประชาชนทุกคนเป็น หนี้ 7 หมื่นกว่าบาทต่อคนจากคะแนนเต็ม 10 นายอภิสิทธิ์ได้ 9.3คะแนน
นอกจากนี้ นายพร้อมพงศ์ยังระบุว่า ยุคที่ประชาชนแตกแยกที่สุด มีการสะลายการชุมนุมทำให้คนตาย 91 ศพ บาดเจ็บร่วม 2,000 คนก็ยังไม่มีความคืบหน้าไม่มีใครรับผิดชอบปัจจุบันก็ยังมีความขัดแย้งอยู่ ต่อไปโดยที่ผู้นำรัฐบาลก็ยังไม่แสดงความจริงใจหรือมีนโยบายแก้ไขความขัดแย้ง ให้ลดลงจากคะแนนเต็ม 10 นายอภิสิทธิ์ได้ 10 คะแนน และมีการทุจริตมากที่สุด จนได้ฉายา ครม. “สวาปาล์ม” ผลงานนักธุรกิจภาคเอกชนยังร้องว่ามีการจ่าย 25-30 เปอร์เซ็นต์ใต้โต๊ะในการประมูลงานโครงการของรัฐรวมถึง ป.ป.ช. ยังให้ข้อมูลทางวิชาการว่ามีการทุจริตปีละแสนกว่าล้านบาท ซึ่งผู้นำรัฐบาลรับปากจะแก้ไขแต่สุดท้ายก็ยังล้มเหลวจากคะแนนเต็ม 10 นายอภิสิทธิ์ได้ถึง 9.7 คะแนน
นายพร้อมพงศ์กล่าวต่อว่า ส่วนคะแนนยอดเยี่ยมที่เป็นจุดแข็งของรัฐบาลชุดนี้มีผลสำรวจที่ประชาชนตอบมามีเด่นเพียงข้อเดียว คือ การสร้างภาพในทางการเมืองแบบพูดดีมีแต่เส้น จากคะแนนเต็ม 10 นายอภิสิทธิ์ได้ถึง 9 คะแนน
นายพร้อมพงศ์ยังกล่าวถึงการเลื่อนวันอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ดูเหมือนว่ายังไม่ได้ข้อสรุปที่ ชัดเจนนั้น ตนอยากจะถามไปยังนายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ว่าความชัดเจนในเรื่องนี้อยู่ ณ ตรงไหน รวมไปถึงนายชัยต้องแสดงความรับผิดชอบว่ามีการอภิปรายได้เมื่อใด ตนต้องการเรียกร้องไปยังฟากรัฐบาลให้หยุดเล่นเกมทางการเมือง เพราะรัฐบาลต้องการยื้อเวลาเพื่อรอให้ข้อสอบมารรั่วไหล แต่จนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีข้อสอบรั่วออกไป รัฐบาลจึงพยายามถ่วงเวลาออกไปเรื่อยๆ เหมือนคนไม่มีน้ำในนักกีฬา
ส่วนกรณีที่ทหารค่ายปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ ตรวจค้นคลังอาวุธพบทั้งปืนเอ็ม 16 และปืน ค.60 พร้อมกระสุน สูญหายกว่า 100 รายการนั้น นายพร้อมพงศ์ กล่าวว่า เป็นเรื่องที่ซ้ำซากที่เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้งในพื้นที่ของทหาร ทำให้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นสะท้อนให้เห็นถึงความล้มเหลวของหน่วยงานของทหาร ทั้งๆ ที่อาวุธเหล่านี้คือเงินงบประมาณของแผ่นดินที่มาจากภาษีของประชาชน เพราะฉะนั้นหากอาวุธเหล่านี้ยังมีการสูญหายง่าย ๆ ละมีการระบุว่าอาจจะเอาไปขายตามชายแดนนั้น ต่อไปรถถัง หรือ เครื่องบินรบก็คงหายด้วย ทั้งนี้ตนขอเรียกร้องไปยังหน่วยงานทหารให้แก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจังด้วย
นายพร้อมพงศ์กล่าวต่อถึงกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์เตรียมจัดงานระดมทุนในวันที่ 8 มีนาคมนี้ ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยมีการตั้งเป้าเอาไว้ที่จำนวนเงิน 600 ล้านบาท จากการขายโต๊ะ 300 โต๊ะ ไว้เป็นเงินก้นถุงสำหรับการหาเสียงให้ ส.ส.เที่ยวนี้เฉลี่ยคนละ 1.2 ล้านบาทนั้น น่าจะมีการใช้อำนาจรัฐ ในการไปขายโต๊ะให้กับภาคเอกชน 2 ล้านบาทบ้าง 3 ล้าน บาทบ้าง เพราะมีภาคเอกชนหลายๆ คนติดต่อเข้ามายังตน เพราะพวกเขาเดือดร้อนจากเหตุการณ์นี้ ตนขอถามไปยังนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ว่าเรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นจริงหรือไม่ เพราะถือว่าไม่ถูกต้อง รวมไปถึงอาจจะมีการเอื้อประโยชน์กันในการดำเนินการครั้งนี้
ด้าน นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า กรณีที่เป็นประเด็นการเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัท ฟิลลิป มอร์ริส ประเทศไทย ที่จัดจำหน่ายบุหรี่ยี่ห้อมารโบโล และแอลเอ็ม ซึ่งการเอื้อประโยชน์ให้กับทางบริษัทนี้นั้น ทำให้ประเทศเสียหายจากการสูญเสียเงินไปกว่า 68,000 ล้าน บาท เพราะนายอภิสิทธิ์เข้าไปแทรกแซงการตัดสินคดีความทั้ง ๆ ที่ยังอยู่ในขั้นตอนกระบวนการยุติธรรม และในตอนนี้อัยการก็ได้ยกฟ้องไปเรียบร้อยแล้ว ทำให้รัฐไม่ได้เงินภาษีจากบริษัทนี้เลยแม้แต่บาทเดียว อีกทั้งนายอภิสิทธิ์ยังทำให้อัยการขาดอิสระในการพิจารณาคดี แต่นายอภิสิทธิ์กลับเข้าไปแทรกแซงคดีความดังกล่าว
นายยุทธพงศ์กล่าวว่า ตนไม่เข้าใจถึงเหตุผลว่าเพราะเหตุใดรัฐบาลจึงไปยกประโยชน์ให้กับทางบริษัทต่างชาติเช่นนี้หากไม่มีการรับเงินใต้โต๊ะ ทั้งๆ ที่คนที่เป็นเจ้าทุกข์ในการฟ้องร้องครั้งนี้คือ กรมสรรพสามิต ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการจัดเก็บภาษี นายอภิสิทธิ์ ใช้คนใกล้ชิดที่มีอักษรย่อ ก.ที่มีหน้าที่เป็นล็อบบี้ยิสต์ชื่อดังของประเทศ เข้าควบคุมการดำเนินคดีนี้ นายอภิสิทธิ์ จึงต้องรับผิดชอบต่อการสูญเสียนี้ด้วย
ด้าน นายประเกียรติ นาสิมมา คณะทำงานด้านกฎหมายของพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ได้เป็นผู้สั่งฟ้องบริษัทดังกล่าว โดยภายหลังจากที่มีการสั่งฟ้อง ตนไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น แต่นายอภิสิทธิ์ได้มีการชี้แจงกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ว่า เรื่องที่ได้สั่งฟ้องไปแล้วขอให้มีการทบทวน เพราะจะมีผลต่อภาพลักษณ์ของประเทศ ซึ่งตนไม่เข้าใจว่าการจับได้ว่าบริษัทดังกล่าวมีการโกงเงินภาษีของประเทศไทย นั้นจะส่งผลต่อภาพลักษณณ์ของประเทศเช่นไร หรือว่านายอภิสิทธิ์ไม่ใช่คนไทย ที่ถือสัญชาติอังกฤษ ที่แสดงให้เห็นว่าไม่มีความรักชาติ ตนจะนำเรื่องนี้ไปพูดถึงรายละเอียดในการอภิปรายอีกครั้งหนึ่ง