“ปานเทพ” เผยกลเม็ดทวงคืนแผ่นดิน ชี้ชงเรื่องให้เป็นประเด็นสู่ศาล รธน. หวังปลดล๊อคไทย วินิจฉัยเอ็มโอยู 43 ขัด กม. ใช้ยันเขมรหมดสิทธิ์ใช้แผนที่1:200000 ต้องหันกลับไปใช้บันทึกสยาม-ฝรั่งเศส ยึดสันปันน้ำตามเดิม ปลุกมวลชนฮึด! ยังมีลมหายใจอย่าสิ้นหวัง
วันที่ 4 มี.ค. 2554 บนเวทีปราศรัยการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวว่า มั่นใจการประกาศ พ.ร.บ.มั่นคง น่าจะขัดกฏหมายรัฐธรรมนูญ และเรามีหลักฐานมากมายพิสูจน์ที่มาชุมนุมเป็นการป้องกันความไม่มั่นคงให้รัฐบาล พี่น้องอาจสงสัย ที่ศาลแพ่งยกคำร้องที่เราขอให้คุ้มครองฉุกเฉิน ตรงนี้สาระสำคัญมันอยู่ที่วรรคท้ายศาลบอกว่า "ยังไม่แน่ชัดว่ากฎหมายนั้นจะผิดต่อกฏหมายหรือไม่" แสดงว่า เรายังมีโอกาสได้รับความคุ้มครอง ถ้ารัฐบาลเหิมเกริมลุแก่อำนาจมากกว่านี้
เราอาศัยศาลแพ่ง ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 211 ที่ว่ากรณีมีกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับที่ขัดต่อกฎหมายรัฐธรรรมนูญ เรามีสิทธิขอให้ศาลส่งเรื่องต่อไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ขัดต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญหรือไม่ ทั้งนี้หากศาลแพ่งไม่ส่งให้ เราจะอาศัยสิทธิตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 212 ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญด้วยตัวเอง อย่างไรก็ดีหากระหว่างชุมนุมอยู่นี้ตำรวจใช้ความรุนแรงอีก ขอให้เราอุ่นใจได้ว่าครั้งชุมนุม 193 วัน ตำรวจปิดหมายแล้วสลายชุมนุม วันรุ่งขึ้นเราขอศาลไต่สวนอีกครั้ง ปรากฎว่าศาลสั่งคุ้มครองชั่วคราว ทำให้ตำรวจต้องออกไปทันที
นายปานเทพ กล่าวต่อว่าหลายคนอาจสงสัย พ.ร.บ.มั่นคง เป็นคำสั่งทางปกครอง ทำไมเราไม่ไปฟ้องศาลปกครอง เป็นเพราะ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงในราชอาณาจักร กำหนดให้ฟ้องได้แค่ ศาลแพ่งหรือศาลอาญา เท่านั้น หรือถ้าเป็นอย่างนั้นทำไมเราไม่ฟ้องศาลรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นศาลสูงสุดไปเลย ก็เพราะติดเงื่อนไขตรงที่เป็นประชาชนธรรมดา จึงไม่ใช่เรื่องง่ายจะไปฟ้องศาลรัฐธรรมนูญ แต่ทนายสุวัตร อภัยภักดิ์ ได้วางหมากปูพื้น ให้เกิดข้อโต้แย้งในศาลระดับล่างก่อน เพื่อให้เป็นประเด็นไปสู่ศาลสูง วินิจฉัยข้อขัดแย้งว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่
ส่วนที่ไม่ฟ้องศาลอาญา เพราะประเด็นนักการเมืองปฏิบัติไม่ชอบ ต้องไปยื่นต่อ ป.ป.ช. เสียก่อน ซึ่งกว่าจะผ่าน ป.ป.ช. ผ่านอัยการ ผ่านศาลอาญา พวกเราคงชุมนุมเลิกไปแล้ว หากยังสงสัยอีกว่าทำไม่เราไม่ยื่นต่อศาลฏีกาแผนกผู้ดำรงค์ตำแหน่งทางการเมือง กรณีนี้ไม่มีกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญในรายระเอียด ว่า ประชาชนจะทำอย่างไร ที่จะตั้งคู่ไต่สวนอิสระตามขั้นตอนกฎหมายนี้ได้ เพราะนักการเมืองพยายามทำทุกวิถีทางไม่ให้ประชาชนมีสิทธิ์ ยื่นต่อศาลอาญาแผนกคดีการเมือง
นายปานเทพ กล่าวต่อว่า เมื่อกลางเดือนตุลาคม 2553 พันธมิตรฯได้ยื่นคำฟ้องต่อศาลปกครองกลาง ให้เพิกถอนข้อผูกพันธ์ทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับ แผนที่1:200000 แต่ศาลวินิจฉัยเฉพาะประเด็นเจบีซี แล้วยกฟ้อง โดยท่านเห็นว่าขั้นตอนยังอยู่ในรัฐสภา จากนั้นทีมงานเราได้ยื่นอุทธรต่อศาลปกครองสูงสุด ให้ช่วยยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญด้วยว่า เอ็มโอยู43 ขัดต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญหรือไม่
อย่างไรก็ดี แม้ตอนนี้เรายังไม่รู้ผล แต่หากศาลปกครองเกิดพิจารณา เห็นว่าเป็นเรื่องกระทบอธิปไตย มีสั่งคุ้มครองชั่วคราว จะทำให้ประเทศไทย ห้ามนำเอ็มโอยู43ไปใช้โดยเด็ดขาด ส่งผลต่อเนื่องเราไม่ถูกล็อกโดยเอ็มโอยู43 อีกต่อไป นอกจากนี้เรายังสามารถไปบอกเขมรได้ว่าไม่มีสิทธิใช้ เอ็มโอยู43 หากดื้อดึงใช้ก็ไปใช้ฝ่ายเดียว ไทยไม่ยอมรับ
ทั้งนี้หากศาลปกครองสูงสุด เมตตาส่งเรื่องไปศาลรัฐธรรมนูญ จะเป็นข่าวดีอย่างมาก เพราะเอ็มโอยู43 ไม่ได้ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา จึงขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ ทำให้เอ็มโอยู เป็นโมฆะตั้งแต่ต้น และเมื่อเป็นโมฆะ เท่ากับประเทศกัมพูชา -ไทย ลงนามโดยขัดต่อกฏหมายอีกประเทศหนึ่ง สัญญาต่างๆที่ไปทำเกี่ยวเนื่องกับเอ็มโอยู43สิ้นผลเช่นเดียวกัน ทำให้ทั้งสองประเทศกลับไปใช้ผลการสำรวจปักปันสยาม- ฝรั่งเศษ โดยให้ยึดขอบหน้าผาและสันปันน้ำเป็นเส้นเขตแดน
นายปานเทพ กล่าวอีกว่าบันทึกผลการประชุมสำคัญ มีความสำคัญอาจมากกว่าแผนที่ด้วยซ้ำ มีน้ำหนักเท่ากับสองประเทศตกลงกันจนมีผลต่อการประชุม ทำไมต้องยกเลิกเอ็ม เรามีเส้นแขตแดนเหมือนเดิม เอกสารบันทึกปาฐกถา แบร์นา ความตอนหนึ่งว่า “ทางเหนือยอดเขาดงรัก มีเส้นเขตแดนที่เห็นได้ถนัดชัดแจ้ง” และบันทึกรายงานประธานคณะกรรมการปักปันชุดที่สอง ยืนยันผลการสำรวจคณะปักปันชุดแรก ว่า “เส้นเขตแดนเดินไปตามเส้นสันปันน้ำ ซึ่งอยู่ที่หน้าผาเห็นได้จากตีนภูเขาดงรัก” ดังนั้นเมื่อเรายกเลิกเอ็มโอยู43 เราสามารถอ้างไม่รับรู้แผนที่1:200000 มาอยู่บนโต๊ะเจรจาเลย และภายใต้คำพิพากษาศาลโลกไม่ว่าจะพิจารณาอย่างไร จะติดท้ายคำพิพากษา ที่ว่า “แผนที่และเส้นเขตแดนมิใช่บทปฏิบัติการของคำพิพากษานี้” ส่งผลให้กัมพูชาไม่มีสิทธิใช้ แผนที่1:200000 ต้องหันกลับไปใช้บันทึกสยาม-ฝรั่งเศส เท่านั้น
“ตราบใดที่เรายังไม่หมดลมหายใจ ตราบนั้นเรายังไม่หมดหวังที่จะทวงคืนแผ่นดิน” นายปานเทพ กล่าวทิ้งท้าย