หลังจากที่แกนนำเสื้อแดง 7 คน บวกฮาร์ดคอร์ตัวพ่ออย่าง พิเชษฐ หรือ ภูมิกิตติ สุขจินดาทอง พ่วงเข้ามาเป็นคนที่ 8 ก็ทำให้กรงขังเปิดปล่อยผู้ก่อการร้ายแดงออกมาเพ่นพ่านมากขึ้นจนน่าตกใจ และอดเป็นห่วงสถานภาพของบ้านเมืองไม่ได้ว่า
“เมื่อผู้ก่อการร้ายพ้นคุกชาวบ้านจะนอนตาหลับได้อย่างไร”
แม้จะเข้าใจดีว่าการอนุมัติประกันตัวชั่วคราวเป็นดุลพินิจของศาลโดยแท้ และไม่มีใครสามารถไปก้าวล่วงการใช้ดุลพินิจนั้นได้ แต่ในฐานะประชาชนคนไทยที่มีความเป็นห่วงชาติบ้านเมืองก็มีสิทธิที่จะตั้งข้อสังเกตุว่า การปล่อยตัวแดงฮาร์ดคอร์ออกมาอย่างต่อเนื่องในขณะนี้ จะส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ที่ยังเปราะบางของสังคมไทยอย่างไร
ล่าสุด ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้มีการประกันตัวชั่วคราว 6 การ์ดแดง ประกอบด้วย นายสุขเสก หรือสุข พลตื้อ อายุ 34 ปี นายจรัญ หรือยักษ์ ลอยพูล อายุ 39 ปี การ์ดนปช. นายชยุต ใหลเจริญ หัวหน้าการ์ดนปช. นายสุรชัย หรือหรั่ง เทวรัตน์ อายุ 25 ปี คนสนิท พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ.แดง อดีตผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก นายยงยุทธ ท้วมมี แนวร่วมนปช. และ นายเจ็มส์ สิงห์สิทธิ์ โดยตีราคาประกันคนละ 600,000 บาท เท่ากับ 8 คน ที่ได้รับการประกันตัวชั่วคราวไปก่อนหน้านี้ พร้อมกับวางเงื่อนไข ห้ามยั่ว ยุ ปลุกปั่น และห้ามเดินทางออกนอกประเทศ ยกเว้นจะได้รับอนุญาตจากศาลเช่นเดียวกันด้วย
ในที่นี้จะโฟกัสให้เห็นถึงบทบาทฮาร์ดคอร์ ที่เป็นฝ่ายปฏิบัติการป่วนเมือง 3 คน ซึ่งแต่ละรายถูกจับพร้อมหลักฐานอาวุธสงครามที่ใช้ก่อเหตุทำกรรมกับบ้านเมืองทั้งสิ้น แต่ในที่สุดก็ออกมาสูดอากาศนอกคุก!
ภูมิกิตติ หรือ พิเชษฐ์ สุขจินดาทอง ที่ เสธ.แดงในขณะมีชีวิตเรียกติดปากว่า “ไอ้เชษฐ์” ได้รับความไว้วางใจแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าการ์ดแดงหลังนรกเปิดพื้นที่ให้ เสธ.แดงไปอยู่ด้วย โดยด้านการข่าวของตำรวจยืนยันว่า “ไอ้เชษฐ์” ร่วมวางแผนกับ “ไอ้กี้ร์” ในระหว่างวันที่ 14-16 เมษายน 2553 บริเวณหน้าห้างสรรพสินค้าสยามพารากอน และเป็นคนสั่งการให้นำอาร์พีจี และเอ็ม 79 ไปถล่มเจ้าหน้าที่ทหาร บริเวณราชปรารภและศาลาแดง โดยเส้นทางกองกำลังก่อการร้าย ซึ่งออกทำงานตั้งแต่วันที่ 14 พ.ค.นั้น ส่วนมากมาจากการ์ดนปช. และทหารพรานนอกราชการบางส่วน จะกระจายกำลังออกจากพื้นที่ราชประสงค์ นำอาวุธสงครามออกก่อการร้าย ใช้เส้นทางจากห้างบิ๊กซี ราชดำริ ข้ามสะพานลอย ไปยังตึกประตูน้ำเซ็นเตอร์ จากนั้นได้กระจายกำลังไปอยู่ตามชุมชนใกล้เคียง โดยจะมีผู้นำชุมชนที่เป็นคนเสื้อแดง นำเอากุ๊ย นักเลงหัวไม้ และพวกติดยา ออกร่วมปฏิบัติการ เป็นแนวหน้ายั่วยุทหาร
นอกจากความเลวโดดเด่นในช่วงแดงเผาเมืองแล้ว ประวัติความโฉดของ “ไอ้เชษฐ์” ก็ยาวเป็นหางว่าว ที่ปรากฏเป็นคดีความซึ่งยังอยู่ในระหว่างการตัดสินของศาลอีกเรื่องหนึ่ง คือ เหตุการณ์ทุบรถ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และร่วมกับ “ไอ้กี้ร์” บุกล้มการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ที่พัทยา เมื่อเดือน เม.ย.52 มาแล้ว
เห็นประวัติชัดๆ อย่างนี้ คงหมดข้อสงสัยแล้วว่าทำไม “ไอ้เชษฐ์” จึงได้รับความสำคัญให้อยู่ร่วมก๊วนประกันตัวพร้อม 7 กากเดนแดง ซึ่งเป็นหัวขบวนในการใช้ปากปลุกระดม ส่วน “ไอ้เชษฐ์” ที่ “ธิดาแดง” ธิดา ถาวรเศรษฐ์ ให้ความสำคัญประกันตัวพร้อมผัวก็คือ หัวขบวนใหญ่ของแก๊งแดงติดอาวุธ
การขอประกันตัวของกลุ่มแดงเผาเมือง มียุทธศาสตร์ชัดเจน คือ เอาตัวคนป่วนประเทศพร้อมกับดึงหัวหน้าฮาร์ดคอร์ออกมาประสานงาน หลังประสบภาวะแพแตก จากนั้นก็ทยอยขอประกันตัวหน่วยปฏิบัติการที่เป็นมือไม้ก่อเหตุ ซึ่งรวมเอา ชยุต ใหลเจริญ การ์ดแดงไว้ด้วย
ชยุต ถูกจับเพราะพัวพันกับการยิงฮ.ทหาร จนมีทหารนายหนึ่งได้รับบาดเจ็บบริเวณสี่แยกคอกวัว ขณะเข้าขอคืนพื้นที่ในวันที่ 10 เมษายน โดยถูกจับพร้อมอาวุธสงครามจำนวนมากในวันที่ 26 เมษายน อาวุธสงครามที่พบในขณะนั้น ประกอบด้วย ปืนเอ็ม 16 จำนวน 1 กระบอก กระสุน 480 นัด ปืนคาร์บิ้น 1 กระบอก กระสุน 115 นัด ปืนอาก้า 5 กระบอก กระสุน 247 นัด ลูกระเบิดชนิดขว้างชนิดเอ็ม 67 จำนวน 3 ลูก ระเบิด เอ็ม 26 จำนวน 5 ลูก ระเบิดชนิดยิงเอ็ม 79 จำนวน 4 ลูก ประทัดยักษ์ 20 ลูก กระสุนปืนลูกซอง 18 นัด พร้อมหนังสติ๊กและลูกแก้ว พร้อมยิงจำนวนมาก ระเบิดขว้างสีฟ้าไม่ทราบชนิดจำนวน 1 ลูก และขวดแก้วเครื่องดื่มบรรจุน้ำมัน เพื่อใช้เป็นระเบิดเพลิง 107 ลูก เครื่องหมายสัญลักษณ์กลุ่มคนเสื้อแดง เช่น ผ้าพันคอ ปลอกแขน เสื้อ ธงสัญลักษณ์ หมวก และแผ่นซีดี ที่ใช้ปลุกระดมจำนวนมาก รถยนต์ยี่ห้อฮอนด้า ติดป้ายทะเบียบปลอม 1 คัน และอาวุธมีดขนาดต่างๆ อีกจำนวนมาก
ถูกจับพร้อมของกลางก่อเหตุจำนวนมาก มีคดีร้ายแรงโทษหนักถึงขั้นประหารชีวิต แต่ก็วันนี้ ชยุต ออกมาได้รับอิสรภาพอีกครั้ง!
รายสุดท้ายที่ไม่พูดถึงไม่ได้ คือ สุรชัย หรือหรั่ง เทวรัตน์ คนสนิท เสธ.แดง ซึ่งจากข้อมูลการสืบสวนที่ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ ออกมาเปิดเผยผลการสอบเมื่อครั้งเข้าจับกุมและนำตัวนายสุรชัย หรือนายหรั่ง มาสอบพบว่าผู้ต้องหาอยู่ในกลุ่มที่ใช้อาวุธสงครามยิงใส่ทหารที่สี่แยกคอกวัว
อีกทั้งไอ้หรั่ง ยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับการใช้อาวุธสงครามร้ายแรงที่บริเวณสี่แยกคอกวัว เป็นเหตุให้ พล.อ.ร่มเกล้า และทหารอีก 4 คน เสียชีวิตด้วย
เอาให้ละเอียดไปกว่านั้นคือ ในวันที่ดีเอสไอจับกุมตัว “ไอ้หรั่ง” ได้นั้น เจ้าตัวยังรับสารภาพด้วยว่า เป็นผู้ยิงปืนใส่โรงแรมดุสิตธานีด้วยปืนทราโวล เนื่องจากโกรธแค้นที่ เสธ.แดงถูกลอบยิง และยังเกี่ยวข้องกับอีก 8 คดีหลักคือ
1. คดียิงเอ็ม 79 เข้าไปที่ กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ เมื่อวันที่ 28 มี.ค. มีทหารบาดเจ็บ 4 นาย
2. การปะทะที่สี่แยกคอกวัว เมื่อวันที่ 10 เม.ย. มีผู้เสียชีวิต 24 ราย เป็นทหาร 5 ราย ประกอบด้วย พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม รองเสนาธิการกองพลที่ 2 รักษาพระองค์ ,พลทหารสิงหา อ่อนทรง, ส.อ.อนุพันธ์ หอมมาลี, ส.ท.อนุพงษ์ เมืองอำพัน, ส.ท.ภูริวัฒน์ ประพัฒน์
3. คดียิงอาร์พีจีใส่คลังน้ำมัน 22 ล้านลิตร ที่จังหวัดปทุมธานี เมื่อวันที่ 21 เม.ย.
4. ยิงระเบิดเอ็ม 79 ใส่รถไฟฟ้าบีทีเอส ที่แยกศาลาแดง และสีลมเมื่อวันที่ 22 เม.ย. ทำให้มีผู้เสียชิวิต 1 ราย
5. คดียิงอาร์พีจี ใส่โรงแรมดุสิตธานี เมื่อวันที่ 17 พ.ค.
6. ดคียิงเอ็ม 79 ใส่ สน.ลุมพินี เมื่อวันที่ 19 พ.ค.
7. คดียิงเอ็ม 16 ใส่ตำรวจที่ตั้งด่านหน้าธนาคารกรุงไทย แยกศาลาแดง เมื่อวันที่ 7 พ.ค. มีตำรวจเสียชีวิต 1 ราย บาดเจ็บ 2 ราย
8. คดียิงเอ็ม79 ใส่ด่านตรวจตรงข้ามอาคารอื้อจื่อเหลียง จำนวน 3 ลูก เจ้าหน้าที่ตำรวจเสียชีวิต 1 ราย บาดเจ็บ 4 ราย เหตุเกิดเมื่อวันที่ 8 พ.ค.
“ไอ้หรั่ง” ไม่เพียงพัวพันคดีร้ายแรงยาวเป็นหางว่าวเท่านั้น แต่ยังเป็นหนึ่งในขบวนการใต้ดินค้าอาวุธสงครามหลังเหตุการณ์แดงเผาเมืองยุติลงด้วย ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้มันถูกจับกุมจากการล่อซื้อของตำรวจเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2553
ย้อนประวัติให้เห็นจะ ๆ อย่างนี้คนไทยคงได้แต่ทอดถอนใจ และอดตั้งคำถามไม่ได้ว่าเหตุใดจึงไม่มีการแยกแยะพฤติกรรมของผู้ต้องหาว่ามีความหนักหนาสาหัสเพียงใด และเมื่อคนเหล่านี้พ้นคุกออกมาสังคมไทยจะมีหลักประกันอะไรว่าจะได้รับความปลอดภัย
เข้าใจดีว่าหลายฝ่ายพยายามสร้างบรรยากาศแห่งการปรองดองนำประเทศกลับสู่ภาวะปกติ แต่การปล่อยตัวไม่เลือกหน้าแบบนี้ คิดบ้างไหมว่ามันอาจไม่ใช่สัญญาณแห่งความปรองดองแต่จะเป็นสัญญาณว่าประเทศสุ่มเสี่ยงที่จะถูกจับเป็นตัวประกันด้วยความรุนแรงอีกครั้ง
นี่ใช่สัญญาณปรองดองหรือไม่ ลองไตร่ตรองดูเถิด อย่างน้อยการใช้ดุลพินิจในคราวต่อๆ ไปจะได้ทิ้งน้ำหนักให้ถูกว่า หน้าที่ของกระบวนการยุติธรรม คือรักษาความถูกต้องและกฎหมายของบ้านเมือง ไม่ใช่มีหน้าที่ไปแก้ปัญหาการเมือง!!