“ปานเทพ” ซัดจอมสร้างภาพ “มาร์ค” เลือกปฏิบัติ จงใจกลั่นแกล้งพันธมิตรฯ ชี้ชุมนุมมา 15 วัน เหตุการณ์ปกติ ดันออก พ.ร.บ.มั่นคง ขณะที่ม็อบเผาบ้านเผาเมืองกลับช่วยประกันตัว เหน็บสลายผู้ชุมนุมหมด แล้วนายกฯ ทวงคืนภูมะเขือ-วัดแก้วฯ ได้หรือไม่
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง “รวมพลัง...ปกป้องแผ่นดิน” การเสวนา “ราชอาณาจักรไทยกำลังจะเสียดินแดน”
วันที่ 28 ก.พ. 2554 บนเวทีปราศรัยการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวว่า รัฐบาลทวงคืนถนน 2 เลนหน้ากระทรวงศึกษาธิการ ทำให้สงสัยว่าทำไมถนนเส้นนี้มันจำเป็นถึงขั้นต้องออก พ.ร.บ.ความมั่นคง เมื่อวิเคราะห์แล้วไม่มีอะไรอย่างอื่นนอกจากต้องการเอาชนะ ตนจับเวลาดู 10 นาที จะมีรถผ่านมาสักคัน สะท้อนให้เห็นเปิดถนนก็แก้ไขปัญหาจราจรไม่ได้ ถ้าถนนเส้นนี้สำคัญจริงประชาชนต้องใช้ถนนโดยมีรถวิ่งผ่านไปผ่านมาอย่างเต็มที่ ตอนนี้ถนนเส้นนี้กลายเป็นบรรดาเท็กซี่ที่มาส่งผู้ชุมนุม
นายปานเทพกล่าวต่อว่า ขณะนี้ประชาชนมามากจนล้นออกไปด้านนอก จนตำรวจที่มายืนจับรั้วเหล็กอยู่กลายเป็นเซนด์วิชไปแล้ว นับเป็นเรื่องดีที่ตำรวจมายืนแถวนี้ ทราบมาว่าปกติช่วงปราศรัยเขาจะให้ตำรวจเข้าให้เข้าไปในทำเนียบฯแล้วเปิดทีวีช่องอื่นให้เสียงดังๆ เพื่อกลบเวทีการปราศรัย เมื่อมีโอกาสได้มายืนตรงนี้แล้ว เวทีปราศรัยแห่งนี้คงทำให้ท่านรักชาติขึ้น ดังนั้น ตำรวจที่รักชาติจะทำร้ายราษฎรที่เขามาแสดงความรักชาติได้อย่างไร
ทั้งนี้ ฝากพี่น้องตำรวจทบทวนเหตุการณ์สลายการชุมนุม 7 ตุลา สันดานนักการเมืองให้ตำรวจรับผิดชอบฝ่ายเดียว และเหตุการณ์เมษาเลือด ให้ทหารเข้าปราบม็อบบนถนนราชดำเนินด้วยมือเปล่าจนถูกยิงเสียชีวิตเพียงเพื่อรักษาหน้านายอภิสิทธิ์ ผลลัพธ์ที่ได้นักการเมืองสั่งกรมสอบสวนคดีพิเศษเล่นงานทหารอีกที ดังนั้น ขอให้ท่านพึงระลึกไว้เสมอว่านักการเมืองไม่มีใครอยู่ถาวร แต่ชีวิตข้าราชการของท่านต้องอยู่อีกนาน
นายปานเทพกล่าวว่า ครั้งที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นฝ่ายค้าน พูดว่า “ประชาชนจะหนึ่งคนหรือแสนคน เรียกร้องให้รัฐบาลรับผิดชอบ ไม่ได้ขัดกับหลักประชาธิปไตย การบริหารแผ่นดินของราชการอาจบกพร่องผิดพลาด ทุจริตคอร์รัปชัน แน่นอนปัญหาเหล่านี้มีกระบวนการทางฎหมาย แต่ในทุกประเทศที่เป็นประชาธิปไตย เขาไม่รอให้กฏหมายจัดการ คนที่เป็นผู้นำต้องมีสำนึกความรับผิดชอบสูงกว่าคนธรรมดา” ดังนั้นหากมีอะไรเกิดขึ้นกับผู้ชุมนุม นายอภิสิทธิ์ต้องรับผิดชอบ อย่างไรก็ดี ต่อให้วันนี้สลายผู้ชุมนุมทั้งหมด แล้วท่านทวงคืนภูมะเขือ และวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระได้หรือไม่
ทำไมภายใต้การบริหารของนายอภิสิทธิ์มี 2 กลุ่มคนที่มาชุมนุม แต่มาตรฐานถึงไม่เท่ากัน มีหลายกลุ่มออกมาเคลื่อนไหว แต่มีพันธมิตรฯ เท่านั้นที่ถูกออกหมายเรียก ประชาชนที่มาชุมนุมอย่างสงบแสดงออกถึงความรักชาติ ไม่มีอาวุธ และส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง รัฐบาลจ้องทวงคืนถนนโดยอ้างเป็นภัยต่อความมั่นคง เป็นเพราะท่านทนไม่ได้กับความจริงใช่หรือไม่ถึงได้พยายามกลั่นแกล้ง ส่วนคนเสื้อแดงชุมนุมที่ราชประสงค์ ปิดถนน นักธุรกิจเดือดร้อนมีตัวตนจริงออกมาเรียกร้อง ท่านบอกให้นักธุรกิจไปเจรจาคนเสื้อแดงเอาเอง เหตุการณ์เผาบ้านเผาเมือง ท่านก็ช่วยประกันคนพวกนี้ออกจากคุก พฤติกรรมเช่นนี้เท่ากับรัฐบาลเลือกปฏิบัติ
นายปานเทพกล่าวอีกว่า ก่อนที่เราจะชุมนุมวันแรก 25 ม.ค. เราประกาศล่วงหน้าเดือนกว่า รัฐบาลย่อมรู้ดีว่าจะมีการชุมนุม จากข้อเท็จจริงตำรวจนำรั้วมาวางกันตั้งแต่วันที่ 25 ม.ค. เราก็ไม่เคยเลยข้ามเขตรั้วเข้าไป แสดงว่าฝ่ายรัฐบาลเลือกที่จะกีดขวางการจราจรก่อนที่เราจะชุมนุม หากรัฐบาลมีเจตนาที่จะเปิดถนนแต่แรก เขาต้องทำรั้วกั้นถนนหน้ากระทรวงศึกษาธิการตั้งแต่ต้น ต้องถือว่าฝ่ายรัฐบาลออกแบบให้เราชุมนุมอย่างนี้เอง ดังนั้น การชุมนุมจึงไม่มีทางกระทบต่อความมั่นคงของชาติเด็ดขาด
ทั้งนี้ รัฐบาลออก พ.ร.บ.มั่นคง หลังพันธมิตรฯ ชุมนุมโดยสงบมาแล้ว 15 วัน โดยไม่มีเหตุร้ายอะไร ดังนั้นรัฐบาลเอาเหตุอะไรมาอ้าง ว่า จะทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ เรามาชุมนุมเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงของชาติ ไม่ใช่ผู้ก่อความไม่สงบ ไม่ได้ทำลายทรัพย์สิน หรือเป็นภัยต่อชีวิตประชาชน ดังนั้นจึงไม่ผิด พ.ร.บ.ความมั่นคง เมื่อรัฐบาลออก เท่ากับจงใจกลั่นแกล้งผู้ชุมนุม
“ผม นายสุวัตร อภัยภักดิ์ และนายประพันธ์ คูณมี พยายามทำทุกวิถีทางใช้กระบวนยุติธรรม พิสูจน์บรรทัดฐาน ว่าการชุมนุม ตามมาตรา63 ทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 70 และ 71 ต้องได้สิทธิคุ้มครองเพราะหากชุมนุมไม่ได้ รัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็ไม่คุ้มครองสิทธิประชาชน”
นายปานเทพกล่าวว่า นายอภิสิทธิ์บอกที่พันธมิตรฯ จะให้ออกทีวีคนละ 3 ชั่วโมงนั้น ไม่มีอะไร เป็นเพราะพันธมิตรฯ อยากออกฟรีทีวี ประเด็นนี้นายกฯ ต้องมีทัศนคติที่เป็นประชาธิปไตยมากกว่านี้ ตนย้ำมาหลายครั้งการเจรจาในขณะชุมนุมมันเกิดขึ้นไม่ได้เล้วเพราะท่านไม่รักษาคำพูด พูดกลับไปกลับมาตลอดเวลา เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะไปเจรจา ถ้ารัฐบาลถ้าแฟร์จริง ขอให้ประชาชนมีโอกาสรู้ข้อมูลที่แตกต่าง ท่านพูดออกทีวีไปเลย 3 ชั่วโมง แล้วขอให้ภาคประชาชนพูด 3 ชั่วโมงในช่วงเวลาเดียวกัน ท่านยังไม่กล้าเลย ดังนั้นจึงพูดได้ว่าท่านไม่ใช่นักประชาธิปไตยที่แท้จริง เป็นเผด็จการ ต้องการปิดหูปิดตาประชาชน ไม่ต้องการให้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ตัวแทนทูตยูเอ็นบอกว่า ไม่ว่ากรณีใดๆ ไม่สามารถถอนปราสาทเขาวิหารออกจากบัญชีมรดกโลกได้ สะท้อนให้เห็นว่านายอภิสิทธิ์เป็นคนเลือกพูด พูดในประโยคเดียวกันแต่ไม่ครบประโยค อย่างที่โพลออกมาอยากให้ยึดแนวทางสันติ ท่านก็จะบอกเห็นไหมคนอยากให้สันติ แต่ในขณะเดียวกันในโพลนั้นคนส่วนใหญ่บอกอยากให้ยกเลิกเอ็มโอยู แต่ท่านไม่พูด มีข้อน่าสังเกตุ บัญชีที่ขึ้นทะเบียนมรดกโลกไปแล้ว มันไม่ใช่เฉพาะแค่ตัวปราสาท แต่มีขอบของตัวปราสาทด้วย นายกฯ เคยพูดตอนเป็นฝ่ายค้าย แม้ลากเส้นออกจากตัวปราสาทไทยก็เสียเปรียบแล้ว ดังนั้น เมื่อท่านเห็นว่าไม่ชอบธรรมต้องปะท้วงคัดค้าน เมื่อกัมพูชาไม่เห็นด้วย ไทยก็ชอบธรรมถอนตัวออกจากภาคีมรดกโลก แล้วใช้ทหารผลักดันชาวกัมพูชาออกได้เลย และภารกิจทหารอินโดนีเซียเข้ามาทำหน้าที่อะไร ไม่ว่าทหารอินโดนีเซียจะยืนอยู่ตรงไหน แต่มันเป็นตัวการันตรีว่าจะไม่มีการปะทะกัน ปัญหามันอยู่ที่กัมพูชายึดครองแผ่นดินไทยอยู่ เท่ากับไทยเสียดินแดนไปแล้วในทางปฏิบัติ