โฆษกกลาโหม เผย กองทัพรอนโยบายรัฐกำหนดทิศทางทหารอินโดฯสังเกตการณ์ชายแดน แต่ กต.ยังไม่ประสานมา เล็งเสนอเลื่อนประชุมจีบีซีให้เร็วขึ้น - ยัน ผบ.ทบ.วาง 6 ยุทธศาสตร์ดับไฟใต้ แฉ 90% มียาเสพติดเอี่ยวพวกก่อเหตุ สั่งเข้มภูเขา พร้อมหาการข่าวร่วมมาเลย์
วันนี้ (27 ก.พ.) พ.อ.ธนาธิป สว่างแสง โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณีที่อินโดนีเซียจะส่งผู้สังเกตการณ์ชายแดนมาติดตาม สถานการณ์หยุดยิงชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า กองทัพต้องหารือถึงแนวทางความเป็นไปได้ในการทำงานของเจ้าหน้าที่ที่จะเข้ามาสังเกตการณ์ และต้องรอรัฐบาลในการกำหนดทิศทางว่าจะกำหนดนโยบายอย่างไรในเรื่องดังกล่าว และล่าสุดขณะนี้ยังไม่มีการติดต่อประสานงานจากกระทรวงการต่างประเทศ มายังกระทรวงกลาโหม เพื่อกำหนดทิศทางอย่างเป็นทางการ ทั้งนี้ สำหรับการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา ครั้งที่ 8 (จีบีซี) มีฝ่ายกัมพูชาเป็นเจ้าภาพ ที่จะมีขึ้นในเดือนมิถุนายนนี้ คณะทำงานของทั้งสองประเทศคงจะได้มีการหารือทำความเข้าใจถึงปัญหาที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม หากมีความจำเป็นทางจีบีซีอาจเสนอให้มีการเลื่อนการประชุมให้เร็วขึ้นจากกำหนดการเดิม เพื่อหาแนวทางคลี่คลายสถานการณ์ตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา
โฆษกกระทรวงกลาโหม ยังกล่าวถึงการทำงานของเจ้าหน้าที่ในภาคใต้ ว่า กองทัพบก โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ได้วางกรอบยุทธศาสตร์ในการแก้ปัญหาไว้ 6 ยุทธศาสตร์ ทั้งงานด้านมวลชน การสร้างความเข้าใจต่อประชาชน ดูแลงานมวลชนและผู้นำศาสนา ให้เข้าใจถึงกรอบการทำงานของเจ้าหน้าที่และนำไปขยายผลต่อยังชุมชนที่เป็นชาวมุสลิม และดูแลปัญหาแทรกซ้อนด้านยาเสพติด โดยในชุมนุมเหล่านั้นมีความต้องการให้เจ้าหน้าที่ทหารเข้าไปช่วยอย่างไร เนื่องจากพบว่า 90 เปอร์เซ็นต์ในการก่อเหตุ มีปัญหาเรื่องยาเสพติดเข้ามาเกี่ยวข้อง รวมถึงการดูแลรักษาความปลอดภัยของครูในพื้นที่ภาคใต้ การสร้างความเข้าใจกับมวลชนโดยในปัจจุบันประชาชนในพื้นที่ได้ให้ความสำคัญ กับการมีส่วนร่วมของเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจ ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ทำงานในหลายมิติ
โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ยังได้มีการเพิ่มความเข้มงวดในการดูแลพื้นที่ฝั่งภูเขา รวมถึงพื้นที่ต้องสงสัยได้มีการปิดล้อมและตรวจค้น ที่ผ่านมา สามารถเข้าควบคุมพื้นที่และทำลายฐานที่มั่นกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบได้ และได้ยึดของกลาง ได้แก่ ปืนเล็กยาว เอ็ม 16 จำนวน 8 กระบอก ควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยได้ 47 คน พร้อมกับดำเนินการจัดตั้งจุดตรวจ จุดสกัดในเขตเมือง จำนวนกว่า 300 แห่ง ทำให้ขยายผลในการจับกุมและยึดยาเสพติดได้กว่า 2 แสนเม็ด ยึดน้ำมันเถื่อนได้กว่า 1 แสนลิตร รวมถึงยังเน้นให้การดูแลการก่อเหตุด้วยวิธีการวางระเบิด อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ด้านการข่าวเป็นสิ่งที่ต้องมีการปรับให้เกิดความทันสมัยอยู่ตลอดเวลา ซึ่งได้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารร่วมกับฝั่งประเทศของมาเลเซีย
วันนี้ (27 ก.พ.) พ.อ.ธนาธิป สว่างแสง โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณีที่อินโดนีเซียจะส่งผู้สังเกตการณ์ชายแดนมาติดตาม สถานการณ์หยุดยิงชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า กองทัพต้องหารือถึงแนวทางความเป็นไปได้ในการทำงานของเจ้าหน้าที่ที่จะเข้ามาสังเกตการณ์ และต้องรอรัฐบาลในการกำหนดทิศทางว่าจะกำหนดนโยบายอย่างไรในเรื่องดังกล่าว และล่าสุดขณะนี้ยังไม่มีการติดต่อประสานงานจากกระทรวงการต่างประเทศ มายังกระทรวงกลาโหม เพื่อกำหนดทิศทางอย่างเป็นทางการ ทั้งนี้ สำหรับการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา ครั้งที่ 8 (จีบีซี) มีฝ่ายกัมพูชาเป็นเจ้าภาพ ที่จะมีขึ้นในเดือนมิถุนายนนี้ คณะทำงานของทั้งสองประเทศคงจะได้มีการหารือทำความเข้าใจถึงปัญหาที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม หากมีความจำเป็นทางจีบีซีอาจเสนอให้มีการเลื่อนการประชุมให้เร็วขึ้นจากกำหนดการเดิม เพื่อหาแนวทางคลี่คลายสถานการณ์ตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา
โฆษกกระทรวงกลาโหม ยังกล่าวถึงการทำงานของเจ้าหน้าที่ในภาคใต้ ว่า กองทัพบก โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ได้วางกรอบยุทธศาสตร์ในการแก้ปัญหาไว้ 6 ยุทธศาสตร์ ทั้งงานด้านมวลชน การสร้างความเข้าใจต่อประชาชน ดูแลงานมวลชนและผู้นำศาสนา ให้เข้าใจถึงกรอบการทำงานของเจ้าหน้าที่และนำไปขยายผลต่อยังชุมชนที่เป็นชาวมุสลิม และดูแลปัญหาแทรกซ้อนด้านยาเสพติด โดยในชุมนุมเหล่านั้นมีความต้องการให้เจ้าหน้าที่ทหารเข้าไปช่วยอย่างไร เนื่องจากพบว่า 90 เปอร์เซ็นต์ในการก่อเหตุ มีปัญหาเรื่องยาเสพติดเข้ามาเกี่ยวข้อง รวมถึงการดูแลรักษาความปลอดภัยของครูในพื้นที่ภาคใต้ การสร้างความเข้าใจกับมวลชนโดยในปัจจุบันประชาชนในพื้นที่ได้ให้ความสำคัญ กับการมีส่วนร่วมของเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจ ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ทำงานในหลายมิติ
โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ยังได้มีการเพิ่มความเข้มงวดในการดูแลพื้นที่ฝั่งภูเขา รวมถึงพื้นที่ต้องสงสัยได้มีการปิดล้อมและตรวจค้น ที่ผ่านมา สามารถเข้าควบคุมพื้นที่และทำลายฐานที่มั่นกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบได้ และได้ยึดของกลาง ได้แก่ ปืนเล็กยาว เอ็ม 16 จำนวน 8 กระบอก ควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยได้ 47 คน พร้อมกับดำเนินการจัดตั้งจุดตรวจ จุดสกัดในเขตเมือง จำนวนกว่า 300 แห่ง ทำให้ขยายผลในการจับกุมและยึดยาเสพติดได้กว่า 2 แสนเม็ด ยึดน้ำมันเถื่อนได้กว่า 1 แสนลิตร รวมถึงยังเน้นให้การดูแลการก่อเหตุด้วยวิธีการวางระเบิด อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ด้านการข่าวเป็นสิ่งที่ต้องมีการปรับให้เกิดความทันสมัยอยู่ตลอดเวลา ซึ่งได้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารร่วมกับฝั่งประเทศของมาเลเซีย