โฆษกม็อบโต้ “อภิสิทธิ์” ยันอำนาจขึ้นมรดกโลกเป็นของ กก.พิจารณา ไม่เกี่ยวยูเนสโก ซัดนายกฯ บิดเบือน จี้ประกาศจุดยืนอาณาเขตไทยในเวทีนานาชาติ ชี้ “นพเหล่” ยังรับผิดชอบกว่า ฉะเสนอแผนบริหารร่วมแต่ไม่ระบุแดนให้ชัดเท่ากับยอมรับเสียดินแดน จวกรัฐไม่ช่วย “วีระ-ราตรี” ซ้ำยังบีบให้ขออภัยโทษ ยังไม่เคลื่อนขบวน จ่อแฉหนักแน่
วันนี้ (27 ก.พ.) ที่สะพานมัฆวานฯ นายประพันธ์ คูณมี โฆษกคณะกรรมการป้องกันราชอาณาจักรไทย กล่าวตอบโต้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่ระบุองค์การยูเนสโกจะเลื่อนการพิจารณาการนำปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก รวมทั้งการเสนอแนวทางการจัดการพื้นที่ร่วมกันระหว่างไทยกับกัมพูชาว่า ต้องทำความเข้าใจว่าองค์การยูเนสโกไม่ได้มีส่วนในการขึ้นทะเบียนมรดกโลก เพราะเป็นอำนาจหน้าที่การพิจารณาของคณะกรรมการมรดกโลก ซึ่งเป็นคนละอนุสัญญา จุดนี้เป็นเรื่องที่นายอภิสิทธิ์เข้าใจคลาดเคลื่อนและทำให้เกิดความสับสน อย่างไรก็ตาม ประเด็นอยู่ที่การที่ประเทศไทยไม่เคยคัดค้านการขึ้นทะเบียน โดยแม้ว่าศาลโลกจะตัดสินให้อธิปไตยเหนือตัวปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา แต่ไม่ได้หมายรวมถึงพื้นที่โดยรอบ 4.6 ตร.กม.ซึ่งเป็นของไทยที่กัมพูชาพยายามนำขึ้นทะเบียนในแผนจัดการบริหารพื้นที่ด้วย จึงเกิดเป็นปัญหาเรื่องเขตแดนขึ้นมา เพราะจุดยืนของไทยได้คัดค้านการขึ้นทะเบียนมาโดยตลอด แต่มาวันนี้นายอภิสิทธิ์ได้เปลี่ยนจุดยืนไปแล้ว ไม่บอกว่าพื้นที่ 4.6 ตร.กม.เป็นของไทย แต่กลับบอกว่าเป็นพื้นที่พาท ขัดแย้งกับสิ่งที่เคยพูดมาสมัยเป็นฝ่ายค้าน ทั้งยังเป็นผู้เสนอให้มีการจัดการพื้นที่ร่วมกัน โดยผนวกดินแดนของกัมพูชาเข้ามาด้วย
“เมื่อเกิดความสับสนขึ้น นายอภิสิทธิ์ที่ต้องระบุให้ชัดถึงจุดยืนต่อการขึ้นทะเบียนมรดกโลก รวมทั้งการบริหารพื้นที่ตามแผนของกัมพูชา นายอภิสิทธิ์จะคัดค้านหรือไม่ เพราะมีพื้นที่ของประเทศไทยรวมอยู่ด้วย นายอภิสิทธิ์ไม่เคยประกาศหรือแสดงจุดยืนในอาณาเขตของไทยต่อนานาชาติเลย” นายประพันธ์กล่าว
นายประพันธ์กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ การที่นายอภิสิทธิ์พยายามกล่าวหาว่ารัฐบาลที่ผ่านมาไปยินยอมให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนมรดกโลก โดยที่นายอภิสิทธิ์เป็นผู้คัดค้านมาตลอดนั้นก็ไม่ตรงต่อความเป็นจริง เพราะรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ไม่ได้แสดงการสนับสนุนแต่ประการใด หรือในส่วนของรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ที่มีนายนพดล ปัทมะ เป็น รมว.ต่างประเทศ ก็อาจไปลงนามยอมรับแถลงการณ์ที่กินพื้นที่ไทยเข้ามา แต่นายนพดลก็ได้แสดงความรับผิดชอบโดยการลาออกไปแล้ว หลังจากที่ภาคประชาชนได้ยื่นคำร้องต่อศาล แถลงการณ์ดังกล่าวก็เป็นโมฆะไม่มีผลบังคับใช้ ปัจจุบันปัญหาที่เกิดขึ้นมาจากการบริหารงานของรัฐบาลนี้ ตั้งแต่ให้นายสุวิทย์ คุณกิตติ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติฯ ไปลงนามยอมรับแผนบริหารจัดการ และมาวันนี้ยังเสนอให้มีการบริหารพื้นที่ร่วมกันอีก โดยไม่ยืนยันเรื่องเส้นเขตแดน เท่ากับยอมรับการเสียดินแดนให้กับกัมพูชา
นายประพันธ์กล่าวถึงกรณีการถอนทหารออกจากพื้นที่ 4.6. ตร.กม.ด้วยว่า นายอภิสิทธิ์เป็นผู้ยอมรับเองในปี 51 มีการส่งกองกำลังเข้าตรึงในพื้นที่ แต่เมื่อนายอภิสิทธิ์ มาเป็นนายกฯแล้วเห็นว่าไม่ปลอดภัย จึงให้ถอนทหารไทยออก แต่ฝ่ายกัมพูชาไม่ถอนออกด้วย จนยึดครองพื้นที่ได้จนปัจจุบัน เป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริงของนายอภิสิทธิ์ อีกครั้ง
ส่วนกรณีที่นายอภิสิทธิ์กล่าวพาดพิงนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรฯ ว่าเสนอให้ถอนตัวออกจากการเป็นสมาชิกยูเนสโกนั้น นายประพันธ์กล่าวว่า ในความเป็นจริงข้อเสนอของนายปานเทพ และที่ชุมนุมแห่งนี้ให้รัฐบาลถอนตัวออกจากภาคีมรดกโลก และประท้วงการขึ้นทะเบียนมรดกโลก มิใช่การถอนตัวออกจากองค์การยูเนสโกตามที่นายอภิสิทธิ์เข้าใจ และนายอภิสิทธิ์ยังบอกว่าการถอนตัวออกจากภาคีมรดกโลกจะทำให้คณะกรรมการไม่ฟัง ข้อมูลจากฝ่ายไทย และฟังเพียงข้อมูลของกัมพูชา ทำให้สามารถขึ้นทะเบียนมรดกโลกได้นั้น ก็เป็นเรื่องเข้าใจผิด เพราะการถอนตัวออกจากภาคีจะทำให้การขึ้นทะเบียนไม่มีความชอบธรรม และไม่ได้รับการยิมรับจากประเทศไทย กัมพูชาก็เดินหน้าแผนบริหารจัดการพื้นที่ได้ อีกทั้งไทยยังสามารถประท้วงได้ ในกรณีที่มีการละเมิดอธิปไตยตามกฎบัตรสหประชาชาติ ไม่จำเป็นต้องเป็นภาคีมรดกโลก อย่างไรก็ตามแม้จะเป็นภาคีอยู่ในปัจจุบัน ก็ยังไม่เคยเห็นรัฐบาลมีท่าทีคัดค้านอย่างแข็งขัน มีแต่ความพยายามไปร่วมมือให้การขึ้นทะเบียนสำเร็จ
นายประพันธ์ยังได้กล่าวถึงกระแสข่าวการลงนามของอภัยโทษต่อกษัตริย์กัมพูชาของนายวีระ สมความคิด และ น.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ ว่า เห็นได้ชัดว่ากัมพูชาเป็นฝ่ายใช้อำนาจศาลละเมิดอธิปไตยของไทย โดยจับคนไทยที่อยู่ในดินแดนไทยไปขึ้นศาลกัมพูชา และที่ผ่านมารัฐบาลไทยก็ไม่เคยให้ประท้วงหรือคัดค้านแต่อย่างใด เมื่อศาลมีคำพิพากษาแล้วก็ไม่เคยให้ความช่วยเหลือ ทั้งที่กัมพูชาละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง นายวีระและ น.ส.ราตรี ไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างที่นานาชาติพึงทำต่อผู้ต้องขัง แม้แต่ครอบครัวและทนายก็ไม่สามารถเข้าเยี่ยมได้ ถูกปิดกั้นจากโลกภายนอก
“รัฐบาลไทยกลับหาทางบีบนายวีระ และ น.ส.ราตรี เพื่อให้ยอมรับผิดและขออภัยโทษจากนายฮุนเซน โดยรัฐบาลไทยยังมีพฤติกรรมยัดเยียดปรักปรำร่วมกับกัมพูชามาโยตลอด เป็นการที่ไร้คุณธรรมจริยธรรมเป็นอย่างยิ่ง” นายประพันธ์กล่าว
ในส่วนของท่าทีการเคลื่อนไหวที่มีการประชุมคณะกรรมการป้องกันราชอาณาจักรไทย วานนี้ (26 ก.พ.) นายประพันธ์กล่าวว่า ที่ประชุมมีข้อสรุปว่ารัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เป็นผู้ทำให้ประเทศเสียดินแดน หลังจากนี้ก็จะมีการรวบรวมข้อมูลหลักฐานเพื่อทำการเปิดโปงในลักษณะการอภิปรายไม่ไว้วางใจว่ารัฐบาลนี้ได้ทำอะไรบ้างให้เกิดการเสียดินแดน โดยจะมีการเปิดโปงบนเวทีปราศรัยอย่างเป็นลำดับตั้งแต่รัฐบาลนี้ขึ้นมาบริหารประเทศ รวมไปถึงการชี้ให้เห็นถึงการบริหารราชการแผ่นดินที่ล้มเหลว เกิดการทุจริตคอร์รัปชันอย่างรุนแรง ทำให้รัฐบาลหมดความชอบธรรมในการทำหน้าที่ และการขาดภาวะผู้นำ การตัดสินใจที่ล้มเหลวของนายอภิสิทธิ์
“ยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเคลื่อนไปกดดันที่ไหน เพียงแต่ปักหลักอยู่ที่นี่ให้ข้อมูลข้อเท็จจริงแก่ประชาชน ก็จะสามารถเอาชนะรัฐบาลนี้ได้ เพราะรัฐบาลจะหมดความชอบธรรมไปเรื่อยๆ” นายประพันธ์กล่าวในที่สุด