การอนุญาตให้ปล่อยตัวแกนนำก่อการร้ายแดงทั้ง 7 คน บวก แนวร่วมแดงอีก 1 คน ตามที่ศาลอาญาได้มีคำสั่งไปแล้วนั้น มีประเด็นที่ฝ่ายผู้มีอำนาจในหลายฝ่าย ซึ่งเป็นเสาหลักของบ้านเมืองควรจะได้พินิจพิเคราะห์และตระหนักถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นตามมาจากกรณีนี้
เพราะถ้ายังไม่ตื่นตัวและตระหนักรู้ต่อภยันตรายที่กำลังคืบคลานสู่สังคมไทย ก็เตรียมใจรอรับสภาพ “ยุติธรรมร่ำไห้ กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย” ได้เลย
ที่กล่าวเช่นนี้ไม่ใช่กล่าวหาหรือมีเจตนาร้ายใคร ตรงกันข้ามสถานภาพอำนาจตุลาการกำลังอยู่ในภาวะที่อันตรายและน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง
ถ้ายังจำกันได้ คนที่ใส่ร้ายกระบวนการยุติธรรมว่าเป็นกระบวนการยุติความเป็นธรรม คือ “แดงตัวพ่อ” อย่าง ทักษิณ ชินวัตร จากนั้นประเด็นป้ายสีฝ่ายตุลาการ ก็ดำเนินการกันอย่างต่อเนื่องเป็นระบบ
ห้าวเป้งที่สุดในการท้าชนกับศาลคือ “คางคกตู่” จตุพร พรหมพันธุ์ ที่ค้าความกับผู้พิพากษา ลากเอาองค์คณะที่อยู่ระหว่างการพิจารณาคดีของตัวเองมาเป็นคู่ความจนผู้พิพากษาท่านนั้นต้องถอนตัวจากการเป็นองค์คณะ ส่งผลให้ต้องมีการตั้งองค์คณะผู้พิพากษาใหม่ และเริ่มต้นกระบวนการไต่สวนใหม่ ตามความต้องการลากยาวของ “คางคกตู่”
ล่าสุด “คางคกตู่” พร้อม “ธิดาแดงสู้เพื่อผัว” จัดชุมนุมกดดันศาล 2 ครั้ง พร้อมถ้อยคำข่มขู่ ไม่ปล่อยแกนนำก่อการร้ายแดงไม่เลิกชุมนุม แถมสำทับด้วยการเอาสังคมมาเป็นตัวประกันอีกครั้งว่า พร้อมชุมนุมยืดเยื้อป่วนเมือง
ไม่ว่าการอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว 8 ก่อการร้ายแดงจะมีเหตุผลใหม่ประการใดที่ทำให้ศาลเปลี่ยนแนววินิจฉัยจากเดิม ที่เคยยืนยันหลายครั้งว่าไม่มีเหตุให้ต้องเปลี่ยนแปลงคำสั่งเกี่ยวกับการประกันตัวบุคคลทั้งหมด แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนี้ คือ สังคมมีคำถามที่สำคัญถึงผู้มีอำนาจในบ้านเมือง
คำถาม คือ กฎหมายยังศักดิ์สิทธิ์อยู่หรือไม่ ?
แต่ถ้าคนเชื่อว่า วันนี้กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย ประเทศนี้จะเดินต่อไปอย่างไร ระบบนิติรัฐจะถูกท้าทายจนสั่นคลอนหรือไม่ ฝ่ายตุลาการจะยังทำหน้าที่ได้อย่างเป็นอิสระหรือไม่
หวังว่า ผู้มีอำนาจจะได้ทบทวนดูถึงผลกระทบที่จะตกอยู่กับพวกท่าน แล้วชิ่งมาสู่สังคมไทยจนตกอยู่ในสภาพโกลาหลวุ่นวายไปด้วยเช่นเดียวกัน
เพราะบ้านเมืองจะอยู่รอดได้ทุกฝ่ายต้องช่วยกันคิด ช่วยกันทำ ช่วยกันรักษา ไม่ใช่คิดแต่เอาตัวรอดไม่ได้มีจิตใจที่จะพาชาติให้รอดด้วย
ที่สำคัญอีกประเด็นหนึ่งจากกรณีนี้ คือ ผู้คนอาจจะโฟกัสเฉพาะแกนนำก่อการร้ายแดง แต่อาจลืมนึกถึงแนวร่วมอีกคนที่ได้รับการปล่อยตัวออกมาพร้อม ๆ กันคือ พิเชษฐ หรือ ภูมิกิตติ สุขจินดาทอง
เป็นพิเชษฐ หรือ ภูมิกิตติ สุขจินดาทอง ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นมือขวาของ “เสธ.แดง” พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล และได้รับความไว้วางใจให้เป็นขึ้นบัญชาการก่อการร้ายแทน เสธ.แดง ที่เสียชีวิตในช่วงแดงเผาเมือง
เคราะห์ดีที่ฮาร์ดคอรายนี้ถูกตำรวจรวบตัวหลัง เสธ.แดง ตายไปเพียงไม่กี่วัน จึงไม่ทันได้มีโอกาสใช้ตำแหน่งหัวหน้าการ์ดแดงต่อยอดสร้างความเสียหายต่อชาติบ้านเมืองมากไปกว่าที่เราได้เห็นภาพไฟลูกโชนกลางเมืองหลวง และเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การจัดทัพแดงแตกพ่ายไม่เป็นท่า เนื่องจากถูกเด็ดหัว จนตัวและหางแตกกันไปคนละทิศ
มาวันนี้ พิเชษฐ หรือ ภูมิกิตติ สุขจินดาทอง หัวหน้าการ์ดแดงรายนี้ได้รับการปล่อยตัวแล้ว พร้อมๆ กับแกนนำก่อการร้ายแดงที่มีบทบาทปลุกระดมคนผ่านเวทีปราศรัย
เท่ากับว่า สองขาของขบวนการเสื้อแดงคือ ขาหนึ่งยั่วยุมวลชน กับอีกขาหนึ่งคือการก่อความรุนแรงข่มขู่สังคมไทย ได้รับอิสรภาพให้เดินหน้าได้ตามใจชอบใช่หรือไม่ นี่คือสิ่งที่น่าประหวั่นพรั่นพรึงสำหรับบ้านเมือง
หลายเดือนที่ผ่านมาหลังแดงเผาเมืองแม้จะมีการชุมนุมป่วนเมืองจนผู้คนเดือดร้อนไปทั่ว แต่จะเห็นได้ว่าการก่อวินาศกรรมหรือความพยายามสร้างความวุ่นวายผ่านการใช้ความรุนแรงยังไม่ปรากฏให้เห็น นั่นเป็นเพราะว่ากลุ่มฮาร์ดคอร์ รวมตัวกันไม่ติด เนื่องจากไม่มีศูนย์กลางในการประสานและบัญชาการอย่างเป็นระบบ
วันนี้ พิเชษฐ หรือ ภูมิกิตติ สุขจินดาทอง หัวหน้าการ์ดแดงกลับมาแล้ว เงื่อนไขสองข้อ คือ ห้ามเดินทางออกนอกราชอาณาจักร และห้ามปลุกปั่นยุยงให้บ้านเมืองเกิดความไม่สงบ ที่ศาลกำหนดไว้จะล็อคไม่ให้มือขวาเสธ.แดง เคลื่อนไหวทำลายชาติได้หรือไม่
เป็นสิ่งที่ผู้มีอำนาจในบ้านเมืองควรจะได้รอดูผลจากการตัดสินใจของตัวเองด้วยเช่นเดียวกัน จะได้รู้ว่า “ปรองดอง” ที่คิดว่าจะได้กำลังต้องแลกกับความสูญเสียของชาติบ้านเมืองอีกครั้งหรือไม่
เพราะถ้ายังไม่ตื่นตัวและตระหนักรู้ต่อภยันตรายที่กำลังคืบคลานสู่สังคมไทย ก็เตรียมใจรอรับสภาพ “ยุติธรรมร่ำไห้ กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย” ได้เลย
ที่กล่าวเช่นนี้ไม่ใช่กล่าวหาหรือมีเจตนาร้ายใคร ตรงกันข้ามสถานภาพอำนาจตุลาการกำลังอยู่ในภาวะที่อันตรายและน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง
ถ้ายังจำกันได้ คนที่ใส่ร้ายกระบวนการยุติธรรมว่าเป็นกระบวนการยุติความเป็นธรรม คือ “แดงตัวพ่อ” อย่าง ทักษิณ ชินวัตร จากนั้นประเด็นป้ายสีฝ่ายตุลาการ ก็ดำเนินการกันอย่างต่อเนื่องเป็นระบบ
ห้าวเป้งที่สุดในการท้าชนกับศาลคือ “คางคกตู่” จตุพร พรหมพันธุ์ ที่ค้าความกับผู้พิพากษา ลากเอาองค์คณะที่อยู่ระหว่างการพิจารณาคดีของตัวเองมาเป็นคู่ความจนผู้พิพากษาท่านนั้นต้องถอนตัวจากการเป็นองค์คณะ ส่งผลให้ต้องมีการตั้งองค์คณะผู้พิพากษาใหม่ และเริ่มต้นกระบวนการไต่สวนใหม่ ตามความต้องการลากยาวของ “คางคกตู่”
ล่าสุด “คางคกตู่” พร้อม “ธิดาแดงสู้เพื่อผัว” จัดชุมนุมกดดันศาล 2 ครั้ง พร้อมถ้อยคำข่มขู่ ไม่ปล่อยแกนนำก่อการร้ายแดงไม่เลิกชุมนุม แถมสำทับด้วยการเอาสังคมมาเป็นตัวประกันอีกครั้งว่า พร้อมชุมนุมยืดเยื้อป่วนเมือง
ไม่ว่าการอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว 8 ก่อการร้ายแดงจะมีเหตุผลใหม่ประการใดที่ทำให้ศาลเปลี่ยนแนววินิจฉัยจากเดิม ที่เคยยืนยันหลายครั้งว่าไม่มีเหตุให้ต้องเปลี่ยนแปลงคำสั่งเกี่ยวกับการประกันตัวบุคคลทั้งหมด แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนี้ คือ สังคมมีคำถามที่สำคัญถึงผู้มีอำนาจในบ้านเมือง
คำถาม คือ กฎหมายยังศักดิ์สิทธิ์อยู่หรือไม่ ?
แต่ถ้าคนเชื่อว่า วันนี้กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย ประเทศนี้จะเดินต่อไปอย่างไร ระบบนิติรัฐจะถูกท้าทายจนสั่นคลอนหรือไม่ ฝ่ายตุลาการจะยังทำหน้าที่ได้อย่างเป็นอิสระหรือไม่
หวังว่า ผู้มีอำนาจจะได้ทบทวนดูถึงผลกระทบที่จะตกอยู่กับพวกท่าน แล้วชิ่งมาสู่สังคมไทยจนตกอยู่ในสภาพโกลาหลวุ่นวายไปด้วยเช่นเดียวกัน
เพราะบ้านเมืองจะอยู่รอดได้ทุกฝ่ายต้องช่วยกันคิด ช่วยกันทำ ช่วยกันรักษา ไม่ใช่คิดแต่เอาตัวรอดไม่ได้มีจิตใจที่จะพาชาติให้รอดด้วย
ที่สำคัญอีกประเด็นหนึ่งจากกรณีนี้ คือ ผู้คนอาจจะโฟกัสเฉพาะแกนนำก่อการร้ายแดง แต่อาจลืมนึกถึงแนวร่วมอีกคนที่ได้รับการปล่อยตัวออกมาพร้อม ๆ กันคือ พิเชษฐ หรือ ภูมิกิตติ สุขจินดาทอง
เป็นพิเชษฐ หรือ ภูมิกิตติ สุขจินดาทอง ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นมือขวาของ “เสธ.แดง” พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล และได้รับความไว้วางใจให้เป็นขึ้นบัญชาการก่อการร้ายแทน เสธ.แดง ที่เสียชีวิตในช่วงแดงเผาเมือง
เคราะห์ดีที่ฮาร์ดคอรายนี้ถูกตำรวจรวบตัวหลัง เสธ.แดง ตายไปเพียงไม่กี่วัน จึงไม่ทันได้มีโอกาสใช้ตำแหน่งหัวหน้าการ์ดแดงต่อยอดสร้างความเสียหายต่อชาติบ้านเมืองมากไปกว่าที่เราได้เห็นภาพไฟลูกโชนกลางเมืองหลวง และเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การจัดทัพแดงแตกพ่ายไม่เป็นท่า เนื่องจากถูกเด็ดหัว จนตัวและหางแตกกันไปคนละทิศ
มาวันนี้ พิเชษฐ หรือ ภูมิกิตติ สุขจินดาทอง หัวหน้าการ์ดแดงรายนี้ได้รับการปล่อยตัวแล้ว พร้อมๆ กับแกนนำก่อการร้ายแดงที่มีบทบาทปลุกระดมคนผ่านเวทีปราศรัย
เท่ากับว่า สองขาของขบวนการเสื้อแดงคือ ขาหนึ่งยั่วยุมวลชน กับอีกขาหนึ่งคือการก่อความรุนแรงข่มขู่สังคมไทย ได้รับอิสรภาพให้เดินหน้าได้ตามใจชอบใช่หรือไม่ นี่คือสิ่งที่น่าประหวั่นพรั่นพรึงสำหรับบ้านเมือง
หลายเดือนที่ผ่านมาหลังแดงเผาเมืองแม้จะมีการชุมนุมป่วนเมืองจนผู้คนเดือดร้อนไปทั่ว แต่จะเห็นได้ว่าการก่อวินาศกรรมหรือความพยายามสร้างความวุ่นวายผ่านการใช้ความรุนแรงยังไม่ปรากฏให้เห็น นั่นเป็นเพราะว่ากลุ่มฮาร์ดคอร์ รวมตัวกันไม่ติด เนื่องจากไม่มีศูนย์กลางในการประสานและบัญชาการอย่างเป็นระบบ
วันนี้ พิเชษฐ หรือ ภูมิกิตติ สุขจินดาทอง หัวหน้าการ์ดแดงกลับมาแล้ว เงื่อนไขสองข้อ คือ ห้ามเดินทางออกนอกราชอาณาจักร และห้ามปลุกปั่นยุยงให้บ้านเมืองเกิดความไม่สงบ ที่ศาลกำหนดไว้จะล็อคไม่ให้มือขวาเสธ.แดง เคลื่อนไหวทำลายชาติได้หรือไม่
เป็นสิ่งที่ผู้มีอำนาจในบ้านเมืองควรจะได้รอดูผลจากการตัดสินใจของตัวเองด้วยเช่นเดียวกัน จะได้รู้ว่า “ปรองดอง” ที่คิดว่าจะได้กำลังต้องแลกกับความสูญเสียของชาติบ้านเมืองอีกครั้งหรือไม่