กกต.เตรียมนัุดประชุมคณะกรรมการสรรหา ส.ว.21 ก.พ.นี้ เพื่อหารือประเด็นข้อกฎหมายและปัญหาการสรรหาวุฒิสมาชิก ขณะเดียวกัน เตรียมเดินเครื่องสรรหา กต.จว.แทน 62 จังหวัดที่ครบวาระ ก.ค.นี้
นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมกาการเลือกตั้ง (กกต.) ในฐานะประธานคณะกรรมการเตรียมการสรรหา ส.ว.กล่าวถึงความคืบหน้าการเตรียมความพร้อมในการเปิดรับสมัครลงทะเบียนขององค์กรที่มีสิทธิเสนอชื่อบุคคลเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ว่า ในวันที่ 21 ก.พ.เวลา 10.00 น.สำนักงาน กกต.จะจัดให้มีการประชุมคณะกรรมการสรรหาสมาชิกวุฒิ ที่ห้องประชุมชั้น 9 ซึ่งเป็นการประชุมนัดแรก เพื่อพิจารณาหารือเกี่ยวกับประเด็น ข้อกฎหมายต่างๆ รวมถึงจำนวน ส.ว.สรรหา ว่า จะยึดหลักเกณฑ์อย่างไรหาก พ.ร.บ.จัดตั้งจังหวัดบึงกาฬ พ.ศ. ... มีผลบังคับใช้จะทำให้มีจังหวัดเพิ่มขึ้น จำนวน 77 จังหวัด
ซึ่งตามสัดส่วนเดิมตามรัฐธรรมนูญมาตรา 111 ให้มี ส.ว.ทั้งสิ้น 150 แบ่งเป็น ส.ว.สรรหา จำนวน 74 คน และ ส.ว.ที่มาจากการเลือกตั้งจังหวัดละ 1 คน จำนวน 76 จังหวัด จึงเป็นประเด็นที่จะนำเสนอให้คณะกรรมการสรรหา ส.ว.พิจารณาว่าจะจัดให้มีการสรรหา ส.ว.ในครั้งนี้จำนวน 73 หรือ 74 คน อย่างไรก็ตามทางกกต.ได้ประเมินว่าจะมีผู้สนใจมาสมัครเป็นจำนวนมาก
นายสุทธิพล กล่าวว่า ในวันที่ 8 ก.ค.นี้ จะมี กกต.ประจำจังหวัด (กต.จว) จำนวน 310 คน ใน 62 จังหวัด ครบวาระ จำเป็นที่ต้องมีการสรรหาก กต.จว.เข้ามาแทน โดยทางสำนักงานฯ ได้มีการเตรียมความพร้อมและแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการดำเนินการสรรหากกต.จว.ให้สอดคล้องกับวาระการดำรงตำแหน่งของ กกต.จว.ที่จะหมดวาระในครั้งนี้ เพื่อการปฏิบัติงานของ กกต.จว. จะได้ต่อเนื่องกันไป ซึ่งจะมีการเปิดรับสมัครบุคคลเพื่อเข้ารับการสรรหาเป็นกกต.จังหวัดระหว่างวันที่ 26 ก.พ.-6 มี.ค.โดยไม่เว้นวันหยุดราชการ จากนั้นทางสำนักงาน กกต.จว.จะใช้เวลาในการตรวจสอบหลักฐานของผู้สมัครพร้อมจัดทำบัญชีรายชื่อของผู้สมัครเสนอต่อคณะกรรมการสรรหา และเผยแพร่รายชื่อผู้สมัครให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการตรวจสอบประวัติและพฤติการณ์ รวมทั้งความไม่เป็นกลางทางการเมือง ก่อนเสนอรายชื่อผู้ที่ได้รับการคัดเลือกจำนวน 15 คน ในแต่ละจังหวัด ส่งมาให้กับทาง กกต.เพื่อคัดเลือกให้เหลือ 5 คน
อย่างไรก็ตาม ผู้ที่จะมาสมัครจะต้องไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 17 แห่ง พ.ร.ป. ว่าด้วย คณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ.2550 และไม่มีลักษณะต้องห้ามดังต่อไปนี้ 1 .ต้องไม่ดำรงตำแหน่งเป็นที่ปรึกษา กรรมการ หรือเจ้าหน้าที่ตำแหน่งใดของพรรคการเมืองหรือกลุ่มการเมืองท้องถิ่น 2.ต้องไม่เข้าร่วมกิจกรรมหรือไปทัศนศึกษาดูงาน หรือได้รับสิทธิประโยชน์อื่นใด โดยใช้งบประมาณหรือเงินของพรรคการเมือง หรือกลุ่มการเมืองทั้งระดับชาติและท้องถิ่น 3.ไม่มีความเป็นกลางโดยช่วยเหลือหรือสนับสนุนพรรคการเมือง ผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้ที่แสดงตนว่าจะสมัครรับเลือกตั้งทั้งระดับชาติและระดับท้องถิ่น โดยมิชอบด้วยอำนาจหน้าที่