พธม.ระบุ คาราวานนำสิ่งของบริจาคถึงมือราษฎรที่เดือดร้อนจากเหตุปะทะแล้ว แฉข่าวลวงห้าม พธม.ลงพื้นที่ชายแดน เป็นวิชามารของฝ่ายการเมือง ปฏิเสธคืนพื้นที่ 2 เลนตามคำขอ ซัดบังคับใช้ กม.ความมั่นคง ถือเป็น รบ.เผด็จการ จำกัดสิทธิการชุมนุมของประชาชนตาม รธน.ถลกหนังหัวเทือก สั่ง ตร.ล้อม พธม.หวังสลายการชุม เตือนอาจโดนตลบหลัง “ประพันธ์” ทวงคืนถนนหน้าบ้านนายกฯ ทำชาวบ้านเดือดร้อน แนะไปอยู่บ้านพิษฯทั้งครอบครัว พร้อมชำแหละ “วอลเปเปอร์” คืนนี้
วันนี้ (11 ก.พ.) นายปานเทพ พัวพงษ์พันธุ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวถึงภาพรวมการชุมนุมรวมพลังปกป้องแผ่นดินในวันนี้ ว่า ในช่วงเช้าที่ผ่านมา ได้มีการจัดกิจกรรมในชุมนุม 2 กิจกรรม คือ การจัดคาราวานที่ขนสิ่งของเครื่องใช้จำเป็นไปให้กับทหารและพี่น้องประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากเหตุการณ์ปะทะบริเวณชายแดนของไทยกับกัมพูชา โดยมีมูลค่าสิ่งของมากกว่า 1 ล้านบาท ใช้รถบรรทุก 4 คัน ซึ่งได้เดินทางไปถึงพื้นที่แล้ว ทั้งนี้ ระหว่างการประสานงานไปยัง อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ พบว่า สิ่งของที่ได้จากการบริจาคมีจำนวนมาก ทำให้มีเพียงพอสำหรับแจกจ่ายให้กับทั้งทหารและราษฎรไทย รวมทั้งทราบว่า พื้นที่ที่ต้องการความช่วยเหลือมากที่สุด คือ พื้นที่ จ.สุรินทร์ เนื่องจากมีการปะทะกันทั้งที่ปราสาทตาเมือนธม และปราสาทตาควาย ด้วย ทางทหารจึงขอร้องให้ลงพื้นที่กรมทหารราบที่ 23 และกรมทหารราบที่ 31 รักษาพระองค์ ซึ่งชาวบ้านและทหารที่ได้รับความช่วยเหลือพึงพอใจมาก และขอบคุณภาคประชาชนมากที่ช่วยสนับสนุน อีกทั้งยังมีความต้องการให้ภาคประชาชนสนับสนุนมากกว่านี้ จะเป็นแรงกำลังใจให้ทำหน้าที่ปกป้องอธิปไตยของชาติ เพราะฉะนั้นแล้ว ที่มีข่าวว่า ห้ามพยายามพันธมิตรฯลงไปในพื้นที่ ประชาชนจะออกมาต่อต้านจะมีความวุ่นวายเกิดการปะทะ ล้วนแล้วแต่เป็นวิชามารของฝ่ายการเมืองทั้งสิ้น ที่พยายามใช้แผนสกปรกใส่ร้ายพันธมิตรฯ ว่า ประชาชนไม่ต้อนรับ เพียงเพราะมีการไปปลุกระดมให้เกลียดชังพันธมิตรฯ ซึ่งเมื่อปรากฏว่า มีความต้องการความช่วยเหลือย่างต่อเนื่อง และได้รับความร้องขอจากฝ่ายทหาร พันธมิตรฯจึงจะจัดกิจกรรมนี้ต่อไป เพื่อให้ทหารมีขวัญกำลังใจและได้รับการสนับสนุนอย่างเพียงพอ
นายปานเทพ กล่าวอีกว่า ในส่วนกิจกรรมที่จัดไปถวายสักการะและถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 5 ปรากฏว่า มีผู้เข้าร่วมเป็นจำนวนมากเกินคาดกว่าที่เราคิด จึงพอใจในผลที่ได้รับอย่างยิ่งที่ประชาชนให้ความสนใจ และร่วมมือในการจัดกิจกรรม ทั้งที่เป็นช่วงเช้าของวันทำงาน โดยเราได้ดำเนินการทุกอย่างที่ได้ประกาศไว้ล่วงหน้า ว่า เมื่อเสร็จกิจกรรมแล้วจะกลับมายังพื้นที่การชุมนุมบริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ เมื่อกลับมากลับพบว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจมีเจตนาที่จะปิดล้อมกลุ่มผู้ชุมนุม โดยให้ตำรวจปิดพื้นที่การชุมนุมทั้ง 2 ฝั่งๆ ละ 3 กองร้อย ซึ่งจากการตรวจสอบ พบว่า เป็นการปฏิบัติการที่สั่งการมาจากฝ่ายนโยบาย โดยนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี แม้ไม่มีความคิดที่จะเข้ามาสลายตอนที่มวลชนไม่อยู่ แต่จงใจที่จะกระทำให้มีผลกระทบต่อบุคคล โดยรอให้กลับเข้าพื้นที่แล้วทำการปิดล้อมแบบ 100 เปอร์เซ็นต์ทันที
“การใช้กำลังมากมายขนาดนี้ ในขณะที่ประชาชนไม่มีความต้องไปที่รัฐสภา หรือทำเนียบรัฐบาล ถือเป็นจินตนาการของฝ่ายการเมือง และเจ้าหน้าที่รัฐที่สร้างขึ้นมาเองทั้งสิ้น ซึ่งที่ผ่านมามีความพยายามข้ออ้างเหตุที่ว่า พันธมิตรฯจะเข้าไปในรัฐสภา หรือทำเนียบรัฐบาล รวมทั้งการใช้สิ่งเทียมอาวุธ เพื่อใช้เป็นข้ออ้างเพื่อปิดล้อมหวังให้การชุมนุมยุติลง ทั้งที่การชุมนุมครั้งนี้ปราศจากอาวุธ สงบอหิงสา ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ แต่ฝ่ายการเมืองกลับมามุ่งร้ายกับประชาชน” นายปานเทพ กล่าว
ส่วนกรณที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ออกมาระบุว่า ต้องการขอคืนถนน 2 เลนบน ถ.ราชดำเนิน บริเวณพื้นที่การชุมนุมนั้น นายปานเทพ กล่าวว่า เป็นการกระทำเกินกว่าเหตุ เพราะความต้องการถนนเพียง 2 เลน เหตุใดจึงต้องประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคง ที่เป็นกฎหมายเผด็จการเพื่อห้ามประชาชนในการชุมนุม เป็นการประกาศกฎหมายที่ลุแก่อำนาจ ซึ่งในความเป็นจริงเราได้ชุมนุมโดยประกาศชัดเจนว่า มีวัตถุประสงค์เพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติ เมื่อได้พิจารณาแล้วเราเห็นว่า ถนนที่รัฐบาลควรขอคืนนั้นคือ ถนนหน้าทำเนียบรัฐบาลที่มีรั้วลวดหนามกั้นอยู่ที่สำแดงถึงอำนาจความเป็นเผด็จการของรัฐบาลเอง และถนนความกว้าง 7 เมตร ความยาว 3.6 กม.จากบ้านโกมุยฝั่งกัมพูชาถึงวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ ซึ่งใช้ลำเลียงยุทโธปกรณ์ขึ้นสู่เขาพระวิหารเพื่อใช้โจมตีราษฎรไทย เป็นถนน 2 เลนที่รัฐบาลต้องขอคืน ทำถนน 2 เลนนี้ให้ได้ ก่อนที่จะมาขอคืนจากพันธมิตรฯ
โฆษกพันธมิตรฯ กล่าวอีกว่า ตามที่มีกระแสข่าวว่า เจ้าหน้าที่มีความพยายามในการฟ้องศาลแพ่ง ซึ่งจากการตรวจสอบแล้วไม่มีการยื่นคำร้องในขณะนี้ ซึ่งเราจะดูสถานการณ์ต่อไปกับความพยายามของรัฐบาล ที่ต้องการจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนที่มาทำหน้าที่ปกป้องดินแดนและอธิปไตยของชาติ ส่วนการยื่นคำร้องต่อศาลปกครองของพันธมิตรฯนั้นขณะนี้ยังไม่เกิดความเสียหายขึ้น จึงยังไม่ได้ดำเนินการ ต้องรอมาตราการที่ชัดเจนจากรัฐบาลอีกครั้ง แต่หากเกิดความเสียหายชัดเจนจะดำเนินการทันที อย่างการปิดล้อมในวันนี้ ก็เกือบที่จะเข้าข่ายความเสียหายที่เกิดขึ้นหากมีการปิดล้อมนานกว่านี้ เพราะอาจทำให้ประชาชนไม่พอใจออกมามากขึ้นและเกิดการปิดล้อมอีกชั้นหนึ่ง หรือบางคนอาจจะไม่พอใจยอมอยู่ในพื้นที่จนทนไม่ไหว และถูกบังคับให้ต้องเข้าทำเนียบรัฐบาลก็เป็นได้ ซึ่งหลังการเจรจาทางตำรวจก็เข้าใจในแรงกดดันนี้ดี หลังจากนั้เจ้าหน้าที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีการกำหนดการเคลื่อนไหวต่อไปอย่างไร นายปานเทพ กล่าวว่า ยังไม่ได้มีการกำหนด โดยคณะกรรมการรวมพลังปกป้องแผ่นดินจะได้มีการประชุมในช่วง 18.00 น. เพื่อกำหนดแนวทางต่อไป และสรุปผลการจัดกิจกรรมในวันนี้ รวมทั้งประเด็นการบังคับใช้กฎหมายของรัฐบาลด้วย
ต่อข้อถามเรื่องการเจรจากับทางรัฐบาล นายปานเทพ กล่าวตอบว่า ขณะนี้ยังไม่มีการพูดคุยกัน ไม่มีการยื่นข้อเสนอมาอบย่างเป็นทางการ และไม่มีแกนนำคนใดได้รับการติดต่อมา ซึ่งหากมีจริงต้องมีการนำเข้าที่ประชุมคณะกรรมการ ไม่ใช่คนใดคนหนึ่งตัดสินใจได้ เนื่องจากการเจรจาก่อนหน้านี้ ทั้งการถ่ายทอดสด และเจรจาในทางลับ ก็ยังไม่ได้ผล ไม่มีความคืบหน้าใดๆจากรัฐบาล นายอิภสิทธิ์ยึดมั่นในแนวทางของตนเองเท่านั้น
“การเจรจามีความพยายามาอยู่ แต่ยังไม่มาถึงแกนนำ มีเพียงที่ นายอภิสิทธิ์ พยายามพูดว่าจะเจรจาอยู่ตลอด แต่ไม่มีกรติดต่อมาเลย และถึงแม้ว่ามีมาก็ต้องอยู่ที่คณะกรรมการรวมพลังปกป้องแผ่นดิน ซึ่งการตัดสินใจตอนนี้ไม่ได้อยู่ที่ 5 แกนนำพันธมิตรฯแต่อยู่ที่คณะกรรมการรวมพลังปกป้องแผ่นดิน” นายปานเทพ กล่าว
ถามต่อว่า ในวันที่ 13 ก.พ.นี้ ทางกลุ่มคนเสื้อแดงจะมีการชุมนุมกันนั้น มีความกังวงในการกระทบกกระทั่งหรือไม่ นายปานเทพ กล่าวว่า เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการดูแล และการชุมนุมของคนเสื้อแดงเอง ส่วนเราอยู่ในพื้นที่อยู่แล้ว
ขณะที่ นายประพันธ์ คูณมี โฆษกการชุมนุมรวมพลังปกป้องแผ่นดิน กล่าวเสริมว่า ในส่วนของการขอคืนถนน 2 เลน ของนายอภิสิทธิ์ นั้น ตนขอเสนอถนนอีกเลนหนึ่งที่รัฐบาลควรขอคืนด้วย คือ ที่ซอยสุขุมวิท 31 หรือซอยสวัสดี หน้าบ้านนายกฯอภิสิทธิ์ ที่ทำให้ชาวบ้านไม่สามารถทำมาหากินได้ โรงแรมที่ต้องปิดตัวไปเป็นเพราะความเห็นแก่ตัวของนายอภิสิทธิ์ ที่ควรนำครอบครัวไปอยู่บ้านพิษณุโลก หากเห็นแก่ความเดือดร้อนของประชาชนตามที่พูดจริง และให้คนในซอยสวัสดี ทำมาหากินตามปกติได้ ไม่ใช่อยู่สร้างความเดือดร้อนให้กับชาวบ้าน เช่นเดียวกับประชาชนไทย 30,000 คน ที่เดือดร้อนที่ต้องตั้งค่ายอพยพอยู่ที่ชายแดน ซึ่งอยากกลับบ้าน แต่ไม่สามารถไปได้ เพราะความอ่อนแอของนายอภิสิทธิ์ โดยที่ไม่กล้าไปเยี่ยมประชาชนในพื้นที่เลย
นายประพันธ์ กล่าวอีกว่า ในการปราศรัยบนเวทีในวันนี้จะมีกล่าวถึงจดหมายเปิดผนึกถึงตนผ่านทางเฟซบุ๊กของ นายศิริโชค โสภา คนสนิทของนายอภิสิทธิ์ ที่มีความรู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจที่ตนนำข้อเท็จจริงมาเสนอต่อมวลชน ว่า นายศิริโชค และครอบครัวมีภาระหนี้สินอย่างไร ธุรกิจครอบครัวถูกฟ้องล้มละลายอย่างไร โดยไม่ได้กล่าวหาว่า มีการทุจริตหรือเป็นการหมิ่นประมาทแต่อย่างใด โดยในการปราศรัยคืนนี้จะตอบทุกคำถาม โดยยืนยันว่า สิ่งที่ นายศิริโชค ชี้แจงนั้นเป็นความเท็จทั้งสิ้น