“ประวิตร” ชี้เขมรยิงถล่มไทยแค่ปะทะไม่ใช่สงคราม คุยศักยภาพไทยเหนือกว่าเยอะถ้าไทยใช้เครื่องบินรบเขมรแพ้ราบคาบ รู้อีกว่าเขมรจงใจตั้งเป้ายิงใส่พลเรือน เผยคุยกับ “เตียบัญ” ตลอดเวลา แต่ถ้าจะให้ปัญหายุติจริงๆ ต้องให้ระดับผู้นำสูงสุดคุยกับ “ฮุนเซน”
รายงานข่าวแจ้งว่า การประชุมคณะรัฐมนตรี วันที่ 8 ก.พ.2554 ใช้เวลาในการอภิปรายกรณีพิพาทไทย-กัมพูชา เป็นเวลากว่า 1 ชั่วโมง บรรยากาศเป็นไปด้วยความเคร่งเครียด มีรัฐมนตรีหลายคนให้ความสนใจซักถามความได้เปรียบเสียเปรียบของฝ่ายไทยและศักยภาพในการรบ โดยฝ่ายกองทัพมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม และพล.ต.ฉัตรเฉลิม เฉลิมสุข เจ้ากรมยุทธการทหารบก ได้ฉายสไลด์เพื่อแสดงจุดที่มีการปะทะโดยละเอียด ส่วน พล.อ.ประวิตรชี้แจงว่า เหตุการณ์ที่ทำให้เกิดการปะทะสืบเนื่องมาจากการสร้างถนนเข้าไปในพื้นที่ที่ต่างฝ่ายต่างอ้างสิทธิ โดยเมื่อกัมพูชาสร้างถนนเข้าไป ฝ่ายเราก็ทำบ้างและฝ่ายกัมพูชาได้โทรศัพท์มาเตือนให้เรายุติ แต่เราทำไม่ได้ กัมพูชาจึงเป็นฝ่ายยิงเข้ามา โดยถนนที่สร้างเข้ามานั้นมีก่อสร้างโดยบริษัทของลูกสาวสมเด็จฯ ฮุนเซน ส่วนลูกชายสมเด็จฯ ฮุนเซนก็เข้ามาบัญชาการรบในพื้นที่ด้วยตัวเอง อย่างไรก็ตาม ขณะนี้การยิงได้ยุติลงแล้ว ที่ผ่านมาระดับผู้นำได้โทรศัพท์คุยกันตลอด โดยนายกษิต ภิรมย์ จะคุยกับนายฮอร์ นัมฮง รมว.ต่างประเทศ กัมพูชา ส่วน พล.อ.ประวิตร ก็คุยกับ พล.อ.เตียบัญ รมว.กลาโหม อยู่ตลอดเวลา แต่ถ้าจะให้ปัญหายุติจริงๆ ต้องให้ระดับผู้นำสูงสุดได้คุยกับสมเด็จฯ ฮุนเซนโดยตรง
แหล่งข่าว ครม.เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตรยืนยันว่าปฏิบัติการของกองทัพขณะนี้ได้ยึดหลักการสากลในการตอบโต้ เราไม่ได้รุกรานฝ่ายกัมพูชาก่อนแต่พร้อมอย่างเต็มที่ที่จะปกป้องอธิปไตยของไทย เราดำเนินการตามสนธิสัญญาต่างๆ ที่ทำเอาไว้ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นสามารถ พิสูจน์ได้ทางกัมพูชายิงจากบนเขาพระวิหาร มีเป้าหมายพุ่งเข้ามาใส่พลเรือนของฝ่ายเรา
“ซึ่งขณะนี้ยังเป็นแค่การปะทะกันยังไม่ใช่สงครามเต็มรูปแบบถ้าจะรบกันจริง ศักยภาพฝ่ายไทยเหนือกว่า กัมพูชาไม่สามารถสู้ได้ โดยเฉพาะถ้าเราใช้เครื่องบินรบไปยิงเขาก็สู้ไม่ได้ เพราะกัมพูชาไม่มีกองทัพอากาศและไม่มีเครื่องบินรบ ขณะที่เจ้ากรมยุทธการฯ ได้กล่าวเสริมว่าขอให้มั่นใจศักยภาพของกองทัพที่พร้อมเต็มที่ในการปกป้องอธิปไตย แม้จำนวนคนของเราในพื้นที่อาจจะน้อยกว่าแต่ในภาพรวมถือว่าศักยภาพของทหาร ฝ่ายเราสูงกว่า”
แหล่งข่าว ครม.เปิดเผยว่า นอกจากนี้ นายจุติ ไกรฤกษ์ รมว.ไอซีที ได้สอบถามถึงขวัญกำลังใจของทหารและประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคทั้งเวียดนาม และลาว ที่มีสนธิสัญญาช่วยเหลือกันในยามสงครามได้ส่งยุทธปัจจัยสนับสนุนแล้วหรือไม่ พล.อ.ประวิตรชี้แจงว่า ในส่วนของฝ่ายทหารของอินโดนีเซียเข้าใจฝ่ายไทย แต่สำหรับเวียดนามกำลังเจรจากันอยู่ ทั้งนี้ นายกษิตกล่าวว่า กระทรวงการต่างประเทศพยายามชี้แจงต่อนานาชาติ ทั้งยูเอ็น และประเทศต่างๆ โดยเรามีข้อเท็จจริงที่ยืนยันได้ว่ากัมพูชาเป็นฝ่ายยิงก่อน พอกัมพูชายิงมาก็ไปฟ้องว่าถูกรังแกเพื่อยกระดับขึ้นไปสู่ยูเอ็นให้เข้ามา ดูแลนั้นทางยูเอ็นก็มีเงื่อนไขว่าต้องเป็นเรื่องของการทำสงครามและส่งผล กระทบกระจายไปสู่ภูมิภาค ขณะนี้ยูเอ็นมีเรื่องใหญ่ๆ หลายเรื่อง เช่น สถานการณ์ในอียิปต์ และโซมาเลีย ที่จะต้องเร่งทำ คงไม่สนใจที่จะทำเรื่องนี้ ซึ่งตนได้แต่งตั้งนายอัษฎา ชัยนาม อดีตเอกอัครราชทูตหลายประเทศ เป็นผู้ชี้แจงข้อเท็จจริงต่อชาติต่างๆ แต่ต้องขอเวลาบ้าง และตนจะใช้เวทีที่ประชุมเจบีซีที่จะมีขึ้นเจรจากับนายฮอร์ นัม ฮง รมว.ต่างประเทศกัมพูชาอีกครั้ง ขณะนี้ตนพยายามเจรจากับ รมว.ต่างประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นประธานอาเซียนอยู่ด้วยในขณะนี้
แหล่งข่าวกล่าวว่า ขณะที่นายชุมพลได้สอบถามว่าเรื่องที่ทหารไทยปะทะกับกัมพูชา มีการเดินเกมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยด้วยหรือไม่ และพล.ท.ฮุน มาเนต ลูกชายของสมเด็จฯ ฮุนเซน ได้รับบาดเจ็บหรือไม่ พล.อ.ประวิตรแจงว่า ตนเป็นทหารประเด็นการเมืองตนไม่เกี่ยว แต่ทางการทหารเน้นการใช้กำลังของกองทัพบกในการแก้ไขปัญหาและรักษาอธิปไตยของ ประเทศ ส่วนเรื่องลูกชายสมเด็จฯ ฮุนเซนบาดเจ็บนั้น นายอภิสิทธิ์ได้ตอบว่าคงไม่ใช่เรื่องจริง เพราะโดยหลักแล้วผู้บัญชาการรบจะอยู่ห่างพื้นที่ที่เป็นเป้าหมาย จึงไม่น่าจะได้รับบาดเจ็บ ทั้งนี้ ขอให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องไปพูดให้ชัดเจนว่าสถานการณ์ยังเป็นเพียง การปะทะไม่ใช่สงคราม ขอให้นายสุวิทย์ คุณกิตติ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ไปยกเหตุผลการปะทะกันซึ่งมาจากการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก เพื่อใช้เป็นข้อโต้แย้งในคณะกรรมการมรดกโลกที่ฝรั่งเศสด้วย ขณะที่นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รมว.ยุติธรรม ได้กล่าวว่า มองว่าการดำเนินการของกัมพูชาได้เตรียมการล่วงหน้าที่จะยกระดับ ปัญหาขึ้นสู่เวทีนานาชาติเพราะจะมีการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกในเดือน มิ.ย.2554 ประเด็นที่ถกเถียงว่ากัมพูชาใช้แผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 และฝ่ายไทยใช้แผนที่คนละฉบับ แต่ประเด็นสำคัญจริงๆ คือสันปันน้ำที่แท้จริงอยู่ตรงไหน ฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้ไปดูด้วยหรือไม่