สภาความมั่นคงแห่งชาติ เผยผลการประชุมสรุปเหตุการณ์ชายแดนไทย-เขมร อ้างแค่ปะทะเล็กๆ เชื่อ อยู่ในรัศมีที่ควบคุมได้ ไม่ถึงขั้นเกิดสงคราม อ้างแนวชายแดนยังปกติ ทำมาค้าขายคล่อง หยอดคำหวาน ทหารรักษาอธิปไตยได้สมศักดิ์ศรี ย้ำ เป็นปัญหาระดับทวิภาคี เต็มที่แค่ภายในครอบครัวอาเซียน ยังคุยกันได้ แต่ไม่รีบเจรจา
วันนี้ (8 ก.พ.) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กล่าวภายหลังการประชุม สมช.ที่มี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน พร้อมด้วย ผบ.เหล่าทัพ ว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า ที่ประชุมได้รับทราบรายงานของกระทรวงกลาโหมในเรื่องของสถานการณ์การปะทะกันที่เกิดขึ้นบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งไม่ได้ถึงขั้นการทำสงคราม แต่เป็นการปะทะที่จำกัดเขตพื้นที่ชายแดนไม่ได้ออกไปสู่พื้นที่อื่น และไม่เกี่ยวข้องกับประเด็นอื่นๆ เช่น การทำการค้า การเดินทางไปมาในช่องทางที่ไม่ได้อยู่ในพื้นที่เหตุการณ์ที่เป็นไปด้วยความเรียบร้อย นอกจากนี้ ยังมีการรับทราบเรื่องการให้ความช่วยเหลือประชาชน ที่ได้รับความเดือดร้อนจากทางกระทรวงมหาดไทยว่าใน 3 พื้นที่ทางด้าน จ.ศรีสะเกษ และ จ.อุบลราชธานี มีประชาชนอพยพหนีภัยเข้ามา โดยเฉพาะ อ.กันทรลักษ์ ที่มากกว่าพื้นที่อื่น ทั้งนี้ แผนการปฏิบัติการอพยพทางกระทรวงมหาดไทย และกองทัพได้มีการซักซ้อมอยู่เป็นประจำ ที่เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ในส่วนของอพยพประชาชนกลับพื้นที่นั้น ขณะนี้ได้ประเมินว่า สถานการณ์ยังไม่มีความแน่นอน เพราะยังมีอันตราย โดยเฉพาะหมู่บ้านภูมิซรอล และตัวพื้นที่ด้านหลังปราสาทพระวิหาร ดังนั้น จึงขอให้กระทรวงมหาดไทยระงับการดำเนินการไว้ก่อน เพื่อรอดูสถานการณ์ต่อไป
นายถวิล กล่าวต่อว่า สำหรับสาเหตุที่เป็นปัญหาของการปะทะในครั้งนี้ มาจากเรื่องเขตแดน ซึ่งเป็นปัญหาที่ยืดเยื้อมาระยะหนึ่ง เพราะต่างฝ่ายต่างอ้างพื้นที่ 4.6 ตร.กม.เป็นของตนเอง อีกทั้งที่ประชุม สมช.เห็นว่า ทางฝ่ายทหารได้แสดงบทบาทหน้าที่ในการปกป้องและรักษาอธิปไตยของประเทศ ดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนได้ควรแก่การยกย่องและควรให้กำลังใจ อย่างไรก็ตาม การปฏิบัติการทางทหารได้ยืนยันว่าได้ดำเนินการไปโดยสมควรแก่เหตุตอบโต้ตามความเหมาะสม และยืนยันว่า ไม่ได้เป็นผู้ริเริ่มก่อน ทั้งนี้ ถึงแม้ว่าขณะนี้ไทย-กัมพูชา มีการปะทะกัน แต่การดำเนินการภายใต้คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (เจบีซี) ยังสามารถดำเนินการต่อไปได้ และเชื่อว่า สถานการณ์น่าจะดีขึ้นในไม่ช้านี้ เพราะไม่มีใครต้องการสงคราม
“ในส่วนของเรื่องการเจรจาคงจะเกิดขึ้นต่อไป ซึ่งฝ่ายไทยไม่ได้มีความจำเป็นต้องรีบร้อนเจรจา แต่ก็ไม่ได้มีการปิดกั้นการเจรจา เพราะเรายังยึดถือแนวทางสันติวิธี ปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นที่ประชุม สมช.เห็นว่า เป็นปะทะกันและกระทบกระทั่งกันระหว่างสองประเทศ เพราะฉะนั้นการที่ทางการกัมพูชาได้ยื่นเรื่องไปที่คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ หรือทางอาเซียน ที่ประชุมเห็นว่าเรื่องเป็นทวิภาคีระหว่างไทยกับกัมพูชาที่มีกรอบข้อตกลงที่สามารถเจรจากันได้ อย่างไรก็ตามการที่ไทยเป็นฝ่ายตั้งรับก็ไม่ได้หมายความว่าไทยเกิดความเสียเปรียบ เพราะการรุกรานไม่ใช่เรื่องที่เป็นประโยชน์” เลขาธิการ สมช.กล่าว