“ยะใส” จับทาง “ฮุนเซน” เหิมเกริมยิงถล่มไทย เพราะรู้ดีผู้นำทหารไทยไม่กล้าตอบโต้เหตุมีผลประโยชน์ชายแดน ชี้จงใจทำให้เรื่องใหญ่จะได้ให้ยูเอ็นช่วยเพราะมั่นใจผลประโยชน์ยูเอ็นต้องเข้าข้าง วอนผู้นำไทยอย่าทิ้งภาระเขตแดนให้ลูกหลานต้องจัดการให้สะเด็ดน้ำ เหน็บ รบ. พันธมิตรฯ ชุมนุมอย่างสงบ จำเป็นต้องใช้ พ.ร.บ.มั่นคงฯ ด้วยหรือ
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง “รวมพลังปกป้องแผ่นดิน” ปราศรัยโดย “นายสุริยะใส กตะศิลา”
วันที่ 7 ก.พ.2554 บนเวทีปราศรัยการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ นายสุริยะใส กตะศิลา โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวถึงความไม่ชอบมาพากลของรัฐบาลอภิสิทธิ์ใน 3 ประเด็นว่า 1.เรารู้ดีว่า ทหารกัมพูชายิงเข้ามาฟังไทยตั้งแต่วันแรก แล้วนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เดินทางไปเจรจาที่กัมพูชา ซึ่งขณะนี้ยังไม่ได้กลับไทย เป็นไปได้ว่าอาจโดนกักตัวไว้ ตามมารยาททางการทูตเขาไม่ทำกัน แม้สงครามจะแตกหักอย่างไรก็ตาม เขาจะเปิดช่องทางการสื่อสารไว้ ตรงนี้แสดงให้เห็นว่ามารยาททางการทูตมีปัญหาแน่นอน 2.กำลังทหาร อาวุธ กองทัพอากาศ ของกัมพูชา เทียบกับประเทศไทยไม่ได้เลย แล้วทำไมกัมพูชาถึงกล้ายิงถล่มไทยก่อน และ 3.ที่บอกว่าเอ็มโอยู 43 จำเป็นต้องรักษา เพราะจะไม่ทำให้เกิดสงคราม
นายสุริยะใสกล่าวว่า สาเหตุที่เขมรตัดสินใจยิงถล่มไทยก่อน เพราะ 1.ฮุนเซนรู้ดีว่าสามารถทำสงครามกับไทยได้ตลอดเวลา และทำงาย จบง่าย เนื่องจากในเรื่องระหว่างประเทศ ไทยถูกครอบงำโดยกองทัพมาตลอด และตอนนี้ผู้นำเหล่าทัพบางคนไปมีผลประโยชน์ในพื้นที่ตะเข็บชายแดน ตรงนี้เองทำให้ฮุนเซนอ่านขาด ไม่มีทางที่ผู้นำกองทัพไทยจะทำสงครามกับกัมพูชา
2.เราต้องไม่ลืมว่า ฮุนเซนก็เป็นนักการเมืองเหมือนกัน ดังนั้น วิธีคิดของนักการเมืองไม่ว่าประเทศไหน คิดเหมือนกันหมด คือทำอย่างไรก็ได้ให้อยู่ในอำนาจนานที่สุด อีกอย่างตัวฮุนเซนเองก็มีภาระต้องส่งมอบอำนาจให้ลูกหลานตัวเอง โดยจะเห็นได้จากลูกเขาเริ่มมีบทบทางสังคม ทหาร มากขึ้น ด้วยเหตุนี้จึงไม่แแปลกที่จะทำสงครามเพื่อสร้างกระแสนิยมในตัวเอง
3.ฮุนเซนดูเอเอสทีวี ติดตามการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ ตลอดช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ทำให้เขามองว่าคนในเคลือพันธมิตรฯ ไม่ชอบเขา ดังนั้น ต้องดิสเครดิตการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ ที่ฮุนเซนบอกทำสงครามย่อยๆ ครั้งนี้ จึงเป็นการตอบสนองตามที่คนอ้างว่าพันธมิตรฯ ชุมนุม เป็นพวกปรารถนาสงคราม
4.ฮุนเซนต้องการทำสงครามกับไทยเพื่อให้กลายเป็นข้อพิพาทระดับสากล ดูได้จากกัมพูชาทำหนังสือถึงสหประชาชาติ ขอให้ส่งกำลังสันติภาพมาประจำตามชายแดน คำถามต่อไปก็คือ สหประชาชาติ จะรับลูกเขมรหรือไม่ อย่างไรก็ดีด้านสหประชาชาติเองก็ถูกครอบงำโดยมาหอำนาจอีกที เช่น รัสเซีย อเมริกา จีน ฝรั่งเศส ประเทศมหาอำนาจเหล่านี้ ในเรื่องไหนที่เขาเห็นว่าได้ผลประโยชน์ด้วยเขาจะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ ซึ่งก็หมายความว่าสหประชาชาติไม่สามารถต่อรองกับประเทศมหาอำนาจได้
หากวิเคราะห์ต่อไป ตามตะเข็บชายแดนกัมพูชามีพลังาน ทั้งน้ำมัน แก๊ส มูลค่ามหาศาล โดยมีประเทศมหาอำนาจบางประเทศ เข้าไปทำแผนสัมปทานกับกัมพูชาเรียบร้อยแล้ว ดังนั้น ฮุนเซนจึงได้ดึงข้อพิพาทไปถึงยูเอ็น เพราะกัมพูชารู้ดีว่าได้เปรียบไทย อย่างไรก็ดี เรายังจำเป็นต้องทำหนังสือประท้วงถึงสหประชาชาติอยู่ โดยอ้างว่ากัมพูชายิงถล่มไทยก่อน ละเมิดเอ็มโอยู 43 เพราะเราก็เป็นสมาชิกยูเอ็นเหมือนกัน อย่าปล่อยให้ฮุนเซนรายงานเท็จแต่ฝ่ายเดียว ดังนั้น การที่รัฐบาลไทยใช้การเจรจาแบบทวิภาคี ทำให้เราด้อยกว่ากัมพูชาหนึ่งก้าว 5.กัมพูชาต้องการประกาศอธิปไตยเหนือพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร ซึ่งทำให้ประเด็นวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ ธงชาติ ชุมชน ถนน ไม่ต้องรื้อถอนไม่ได้เพราะทำในพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร
นายสุริยะใสกล่าวต่อว่า นายกฯ และฝ่ายความมั่นคง รวมถึง ผบ.ทบ.ต้องตั้งโต๊ะปรึกษากัน พอทีกับการเลี้ยงไข้ตามตะเข็บชายแดน ต้องแก้ปัญหานี้ให้สะเด็ดน้ำ ไม่อย่างนั้นจะทิ้งภาระให้ลูกหลานเกิดสงครามยาวนาน ที่สถานการณ์พัฒนามาถึงขั้นนี้เพราะรัฐบาลละเลยข้อเรียกร้องของพันธมิตรฯ ดังนั้น ถ้านายกฯ ยังมีสติ ฝ่ายความมั่นคงไม่มีผลประโยชน์ ต้องยกเลิกเอ็มโอยู 43 แล้วเขียนใหม่ และถอนตัวออกจากมรดกโลก จากนั้นก็เชิญชาวกัมพูชาออกจากแผ่นดินไทย
“สุดท้าย อยากให้พี่น้องพันธมิตรฯ จับตาดูสถานการณ์ในวันพรุ่งนี้ (8 ก.พ.) ครม.จะอนุมัติใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงอีกครั้ง กฎหมายฉบับนี้ออกมาท่ามกลางความทักท้วงของนักกฎหมาย นักสิทธิมนุษยชน ว่าเป็นการจำกัดสิทธิเสรีภาพประชาชน ทั้งนี้ ถ้า พ.ร.บ.นี้ประกาศใช้ ทำให้เกิดข้อเสีย อาจอ้างเหตรื้อเต็นท์ ดักฟังโทรศัพท์ ควบคุมกักตัว ที่สำคัญเจ้าหน้าที่ดำเนินการไม่ว่าจะทำอะไรก็ไม่ถูกดำเนินการ อยากถามคณะรัฐมนตรีว่า การชุมนุมโดยสงบแบบนี้จำเป็นหรือที่ต้องใช้ พ.ร.บ.มั่นคงกับเรา” นายสุริยะใสกล่าว
