ผ่าประเด็นร้อน
พลันเมื่อมีการเปิดเผยรายชื่อ 6 ผู้ได้รับการคัดเลือกเป็นคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ในสัดส่วนผู้ทรงคุณวุฒิ ออกมา โดยไม่ปรากฎชื่อ 2 แคนดิเดตที่รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ส่งเข้าประกวด ทั้ง “ธาริต เพ็งดิษฐ์” และ “สมบัติ ธำรงธัญญวงศ์” ได้รับเลือกเป็น ก.ตร.ตามที่คาดหมายกัน
ทำให้มีเสียงกล่าวขานถึงความขลังของ “ระบอบทักษิณ” ที่ยังคงครอบงำ “เครือข่ายสีกากี” อย่างไม่เสื่อมคลาย
ใน 6 รายชื่อว่าที่ ก.ตร.ที่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์เป็นพิเศษนั้นหนีไม่พ้น “วิษณุ เครืองาม” อดีตรองนายกฯ สมัยรัฐบาลทักษิณ ที่เคยถูกขนานนามให้เป็น “เนติบริกร” จากผลงานที่ได้ใช้ความเชี่ยวชาญด้านกฎหมาย หาช่องทางกฎหมายให้กับทักษิณและรัฐบาลในหลายเรื่องตลอดเวลากว่า 4 ปี ที่นั่งเก้าอี้เสนาบดี
รวมทั้ง “สุรชาติ บำรุงสุข” อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ “ศุภวุฒิ สายเชื้อ” นักวิชาการอิสระด้านเศรษฐศาสตร์ และ “วงศ์ศักดิ์ สวัสดิพาณิชย์” ผู้ตรวจการกระทรวงมหาดไทย ที่ถูกมองว่ามีกลิ่นอายของระบอบทักษิณอยู่เช่นกัน เนื่องจาก “สุรชาติ” เคยนั่งเป็น “กุนซือ” ให้กับทักษิณตอนที่เป็นนายกฯ และรู้กันดีกว่าเป็นนักวิชาการที่มีแนวคิดฝักใฝ่ระบอบทักษิณเป็นทุนเดิม ส่วน “ศุภวุฒิ” ก็เคยเป็นเลขาฯคู่ใจทักษิณมาตลอด แถมเป็นมือทำงานแปรรูปรัฐวิสาหกิจคนสำคัญอีกด้วย
ด้าน “วงศ์ศักดิ์” ก็มีความใกล้ชิดสนิทสนมกับ “เจ๊แดง” เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ สายตรงของทักษิณ ที่เคยใช้กำลังภายในผลักดันจนเข้าไลน์จ่อคิวเป็นปลัดกระทรวง แต่ขั้วอำนาจดันพลิก ทำให้วันนี้ถูกเด้งไปนั่งตบยุงเป็นผู้ตรวจการกระทรวงคลองหลอดแทน
ในส่วน “วิษณุ เครืองาม” นั้นได้หลุดจากวงโคจรเครือข่ายทักษิณมานานแล้ว ตั้งแต่ไขก๊อกออกจากรัฐบาลทักษิณ ก่อนการรัฐประหาร 19 ก.ย.49 ไม่นาน แถมยังเข้าไปเป็นทีมกฎหมายร่วมร่างรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวให้กับ คปค.เสียอีก ก่อนที่จะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติ (สนช.) ในสมัย คมช.เรืองอำนาจ จึงจะเห็นได้ว่าทุกย่างก้าวที่ “วิษณุ” ก้าวเดินนั้นตัดขาดจาก “ทักษิณ” อย่างสิ้นเชิง
การได้รับการเสนอชื่อเข้าคัดเลือกเป็น ก.ตร.ครั้งนี้นั้นมาจากสายสัมพันธ์กับ “มีชัย ฤชุพันธุ์” ซึ่งเป็นที่รู้กันดีในวงการว่า 2 เซียนกฎหมายนั้นยกย่องนับถือและเชื่อใจซึ่งกันและกัน จึงไม่แปลกที่เมื่อปรากฎชื่อ “มีชัย” ที่ใด ย่อมมีชื่อ “วิษณุ” เป็นลูกคู่ร่วมทีมอยู่ด้วยเสมอ ทั้งในการร่างรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวให้ คปค. หรือในเวที สนช.ที่ “มีชัย” นั่งเป็นประธาน รวมไปถึงบทบาทในคณะกรรมการกฤษฎีกาที่ทั้งคู่นั่งเป็นประธานคณะ 1 และ 2 ในปัจจุบัน
โดย “มีชัย” มีความสัมพันธ์ส่วนตัวแนบแน่นกับ “พล.ต.อ.พจน์ บุณยะจินดา” อดีตอธิบดีกรมตำรวจ ซึ่งเป็นทั้งลูกพี่และคู่เขยของ “พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี” ผบ.ตร.คนปัจจุบัน ชื่อของ “วิษณุ” จึงได้รับการเสนอโดย พล.ต.อ.วิเชียร ผ่านการผลักดันของ พล.ต.อ.พจน์ และได้รับการโหวตเข้าวินรับตำแหน่งว่าที่ ก.ตร.อย่างไม่ยากเย็น
มองมุมหนึ่งการที่ “ธาริต” และ “สมบัติ” ไม่ได้รับเลือกให้เป็น ก.ตร.ถือว่าเป็นผลดีต่อรัฐบาลด้วยซ้ำไป เพราะทำให้สังคมมองว่า ฝ่ายการเมืองไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงได้ในทุกๆเรื่อง แต่อีกด้านก็ทำให้เห็นว่า รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ยังไม่สามารถเข้าไปอยู่ในใจข้าราชการตำรวจได้เลย ที่ประชุม ก.ตร.ที่โดยส่วนใหญ่เป็นตำรวจจึงเกิดการ “กฐินสามัคคี” สกัดมิให้คนที่ฝ่ายการเมืองเสนอหลุดเขาไปนั่งใน ก.ตร. เพราะชื่อที่เสนอเข้ามานั้นมีแววว่าจะไม่สามารถ “เกี๊ยเซี้ยะ” กันได้ อาจกลายเป็นเสี้ยนหนามในการทำงาน และเข้ามาล่วงรู้ขั้นตอนการต่อรอง หรือแลกเปลี่ยนผลประโยชน์เวลาที่มีการแต่งตั้งโยกย้ายต่างๆ
โดยท่าทีของ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” รองนายกฯ ในฐานะประธาน ก.ตร.ที่ได้ให้สัมภาษณ์หลังผลการเลือก ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิออกมาว่า “เรื่องนี้ไม่มีการล็อบบี้จากฝ่ายการเมืองตามที่บางฝ่ายกล่าวไว้ เเละบางคนที่ไม่ได้รับเลือกนั้นตนไม่ได้เสียหน้าใดๆเพราะไม่ได้พนันอะไรกับใครไว้” นั้นคล้ายกับยอมรับในผลการลงคะแนน แต่จริงๆแล้วคงเจ็บใจไม่น้อย เพราะการที่ “ธาริต” และ “สมบัติ” ที่ถูกเสนอโดยตัวเองได้มาเพียงคนละคะแนนในการโหวตชี้ให้เห็นว่าเกิดขบวนการต่อต้านชัดเจน เนื่องจากการโหวตในที่ประชุม ก.ตร.วันก่อนนั้นมีการแสนอให้โหวตแบบลับ ทั้งที่แต่ก่อนเป็นการโหวตโดยยกมือเปิดเผยมาตลอด
มีข่าวหนาหูว่า งานนี้เป็นความต้องการของ “ผู้ต้องหาหนีคดี” เพื่อ “บล็อค” ไม่ให้คนของรัฐบาลอภิสิทธิ์เข้ามานั่งใน ก.ตร. โดยมี “ของอย่างว่า”ตั้ง 9 หลัก ผ่าน “นายพล อ.” ระดับกุนซือมะเขือเทศที่มีบทบาทออกมาเย้วๆต่อต้านคนของฝ่ายการเมือง
ซึ่งการประสานภายใน ก.ตร.นั้นไม่ยาก เพราะเป็นตำรวจด้วยกันทั้งนั้น พูดคุยภาษาเดียวกันอยู่แล้ว ที่สำคัญหลายคนยังคง “ผูกใจเจ็บ” รัฐบาลประชาธิปัตย์ที่เข้ามาลดบทบาทตำรวจอย่างมากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โทษฐานที่เป็น “ตำรวจมะเขือเทศ” แต่ในทางกลับกันกลับเพิ่มอำนาจบทบาทให้แก่กองทัพอย่างล้นเหลือ
จึงไม่แปลกที่ “เครือข่ายสีกากี” จะใช้เวทีนี้ “สั่งสอน” รัฐบาลประชาธิปัตย์บ้าง เป็นเหตุให้ ก.ตร.กลายเป็น “ไร่มะเขือเทศ” ในที่สุด