“ประยุทธ์” ยันเข้มงวดดับไฟใต้แล้ว รับต้องเพิ่มกฏหมายหรือมาตรการพิเศษให้เจ้าหน้าที่ทำงานสะดวก รับเสียใจเหตุบึ้ม เก็บเหตุร้ายไว้เป็นบทเรียน รับใช้รุนแรงแก้ไม่สำเร็จ ลั่นโจรใต้ยังไงก็แบ่งประเทศไม่ได้ รับไม่อยากใช้กำลังปราบปราม หวั่นโลกมองไม่ดี ขู่ใครทำชาติเดือดร้อนต้องประณาม ยันไม่ทบทวนใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินแม่ลาน ชี้พวกก่อเหตุกลุ่มเดิม
วันนี้ (20 ม.ค.) ที่กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ให้สัมภาษณ์ภายหลังเป็นประธานในพิธีวันสถาปนา ร.11 รอ.ครบรอบ 109 ปีที่มี พล.ท.พิจิตร กุลละวณิชย์ องคมนตรีร่วมงาน ถึงกรณีเหตุคนร้ายยิงลูกระเบิดเอ็ม 79 ถล่มฐานทหาร จ.นราธิวาส จนทำให้มีผู้เสียชีวิต 4 ราย และมีผู้บาดเจ็บจำนวนมากว่า เป็นสถานการณ์ที่ทหารพยายามระมัดระวังอย่างดีที่สุด ช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมามีการเข้มงวดในการปิดล้อม ตรวจค้น และการดำเนินการจับกุมตามหมาย ป.วิ อาญาทั้งหมดที่มีอยู่ และมีสถิติการจับกุมมาก ประเด็นสำคัญคือ ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหามากขึ้น ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องธรรมดาที่มีการต่อสู้ซึ่งกันและกัน ซึ่งอีกฝ่ายมุ่งหวังทำให้เกิดความน่ากลัว เพื่อให้ประชาชนกลับไปเป็นฝ่ายเขา ฝ่ายผู้ก่อการพยายามใช้ความรุนแรงมาต่อสู้กัน ทั้งนี้เราจำเป็นต้องใช้กำลังทหาร และมีบางกฎหมาย หรือมีมาตรการอะไรพิเศษขึ้นมาเพื่อให้เจ้าหน้าที่ทำงานได้สะดวก เพราะกฎหมายปกติ ผู้ก่อเหตุจะสามารถหลบซ่อนได้อย่างรวดเร็ว และสามารถซ่องสุมกำลังได้อย่างกว้างขวาง
“ไม่ใช่ว่าสถานการณ์ในพื้นที่จะรุนแรง แต่เป็นธรรมดาที่ฝ่ายหนึ่งเฝ้าระวัง และอีกฝ่ายหนึ่งจ้องปฏิบัติการ จึงมีจังหวะเวลาที่การระมัดระวังอาจหย่อนไปบ้างจนทำให้ปัญหาเกิดขึ้น ถือว่าตรงนี้เป็นบทเรียน ซึ่งได้สั่งกำชับไปแล้วว่าจะต้องพยายามไม่ให้เกิดเหตุการณ์ขึ้นโดยเด็ดขาด และพยายามติดตามปิดล้อมจับกุมตรวจค้นนำอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆมา รวมถึงดำเนินการต่อผู้กระทำความผิดตามกฎหมาย ขอย้ำว่าไม่ว่าฝ่ายตรงข้ามจะใช้กำลังหรือใช้ความรุนแรงอย่างไรก็ตาม ฝ่ายเราจะต้องใช้กฎหมายเข้าไปปฏิบัติการ การแก้ไขปัญหาในพื้นที่ภาคใต้ สิ่งที่มีความแตกต่าง คือ เราไม่สามารถใช้ความรุนแรงได้ เพราะเป็นคนไทยด้วยกัน แม้จะมีการนับถือศาสนาอิสลามก็ตาม การแก้ไขปัญหาภาคใต้ด้วยการใช้ความรุนแรงเพียงอย่างเดียวไม่ประสบความสำเร็จ มีบางส่วนยังไม่เข้าใจว่า การที่เจ้าหน้าที่ไปปิดล้อม ตรวจค้น หรือปะทะกัน มีการปล่อยข่าวว่า เป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่หรือต้องการสร้างสถานการณ์เพื่อให้มีการต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน หรือให้ประชาชนเข้ามาร่วมมือกับส่วนราชการ หรือเป็นการสร้างความรุนแรงเพื่อต้องการใช้งบประมาณต่างๆ ตรงนี้คือคำถามและคำตอบที่ต้องช่วยผมคิดว่าต้องดำเนินการเรื่องนี้ต่อไปอย่างไร” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ความจริงคนร้ายมีอยู่แล้วขึ้นอยู่กับว่า เขาจะรวมตัวกันเมื่อไร และจะเข้าไปปฏิบัติการตอนไหน ในช่วงที่เราเผลอ หรือช่วงที่เราหย่อนความระมัดระวังลงไป กำลังพลทุกคนไม่ท้อถอย เป็นหน้าที่ความรับผิดชอบ ทุกคนต้องเสียสละ เมื่อเกิดเหตุการณ์จะต้องดูแลครอบครัวของผู้ใต้บังคับบัญชาให้ดีที่สุด และนำเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นมาเป็นบทเรียน ตนได้สั่งการตั้งแต่เมื่อคืนที่ผ่านมา ในการไล่ล่าติดตาม ตรวจค้น โดยจะต้องนำกำลังเข้าไปปฏิบัติการต่อผู้ที่ถืออาวุธ ความแตกต่างที่ทุกคนมองว่า ทำไมเหตุการณ์ในพื้นที่ยังไม่จบ อยากบอกว่า ตราบใดคนเหล่านี้ที่สมองถูกบ่มเพาะ และถูกล้างสมอง ที่ทำทุกวันนี้เพื่อความถูกต้องหรือเพื่ออะไรต่างๆ ไม่ว่าชาติพันธุ์ทางประวัติศาสตร์ คนเหล่านี้ยังมีอยู่ ดังนั้น เมื่อเราไม่สามารถเปลี่ยนสมองคนพวกนี้ได้ หรือคนเหล่านี้ยังเกิดความคับแค้นใจ และความเข้าใจในรัฐ ไม่เข้าใจด้านกฎหมาย เขาก็พร้อมปฏิบัติการ แต่ไม่ได้หมายความว่า เขาจะสามารถแบ่งประเทศเราออกไปได้ อย่างไรก็แบ่งไม่ได้ เพราะเขาไม่สามารถรวมกำลังขนาดใหญ่ไปยึดพื้นที่ได้ แต่ถ้าพื้นที่ไหน มีการยึดครองเมื่อไร เราต้องใช้กำลังเข้าปราบปรามเป็นลักษณะการสู้รบ ซึ่งเราไม่อยากปฏิบัติลักษณะนั้น เพราะจะทำให้สถานการณ์รุนแรงในสายตาชาวโลก ซึ่งการกระทำครั้งนี้เป็นการกระทำกับเจ้าหน้าที่รัฐ โดยเฉพาะทหาร แต่ไม่เป็นไร เราเสียใจสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เราต้องให้คนที่ปฏิบัติงานทำหน้าที่ต่อไปให้ดีที่สุดด้วยความเสียสละและ อดทน และต้องมุ่งมั่นเพื่อทำให้สถานการณ์พื้นที่ภาคใต้ยุติโดยเร็วให้ได้ตาม เจตนารมณ์ของผู้บังคับบัญชา ระดับสูง ทั้งรัฐบาล และอดีต ผบ.ทบ.ที่เคยร่วมแก้ไขปัญหามา
“ตอนนี้สถานการณ์ดีขึ้นเรื่อยๆ และวันนี้ได้สั่งให้ใช้เฮลิคอปเตอร์ที่มีการติดกล้องในการเข้าตรวจค้น พิสูจน์ทราบ โดยเฉพาะเทือกเขาตะเว เนื่องจากเข้าใจว่าจะมีการซ่องสุมบริเวณพื้นที่ป่าภูเขา ด้านการข่าวรายงานเข้ามาอย่างต่อเนื่องแต่เรายังไม่สามารถตรวจพบ วันนี้ต้องเริ่มดำเนินการ ซึ่งการใช้กำลังขนาดใหญ่เข้าไปปฏิบัติการ อยากเรียนประชาชนให้เข้าใจว่า หากสถานการณ์ยังมีความรุนแรงอยู่จำเป็นต้องมีมาตรการในการดูแล ทั้งการตั้งด่านจุดตรวจสกัด ไม่มีอะไรที่ได้มาอย่างเดียว ดังนั้น ถ้าท่านเลือกว่าจะเอาความปลอดภัยชีวิตทรัพย์สินก็จะต้องมีตำรวจ และมีกฎหมาย ถ้าปฏิบัติตามกฎหมายให้ความร่วมมือเสียเวลาบ้างเล็กน้อย สถานการณ์จะดีขึ้น แต่ถ้าท่านเรียกร้องในสิทธิของท่านจนเจ้าหน้าที่ทำงานไม่ได้ก็จะเกิด เหตุการณ์ขึ้นซ้ำๆ อีก ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นนโยบายของรัฐบาล คือ การเมืองนำการทหาร หรืองานด้านการทหาร ต้องดำเนินการควบคู่ไปกับงานด้านพัฒนา กองทัพพยายามทำทุกมิติอยู่ แต่คนที่เฝ้าระวัง เหมือนกับโจรผู้ร้ายในกรุงเทพฯ ถ้าเจ้าบ้านเผลอเมื่อไร เขาจะดำเนินการ ดังนั้นต้องไม่เผลออีก โดยเราจะใช้มาตรการดีที่สุดในการปฏิบัติ เพราะถือเป็นคนไทยด้วยกันทั้งสิ้น แต่ต้องถามกลับว่า เขามองเราเป็นคนไทยหรือไม่ เขามองว่า เจ้าหน้าที่จะไปช่วยทำให้พื้นที่เขาสงบสุขหรือไม่ ดังนั้นเราต้องช่วยปรามคนพวกนี้” ผบ.ทบ.กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ใครก็ตามทำให้บ้านเมืองเดือดร้อน ระส่ำระส่าย คนเหล่านั้นสมควรถูกประณาม บ้านเมืองไปไม่ได้แล้ว เพราะไม่ว่าศึกเหนือเสือใต้ หรือศึกในประเทศ ต่างประเทศเยอะไปหมด ดังนั้นต้องลดปัญหาของประเทศชาติให้มากกว่านี้ เจ้าหน้าที่จะทำงานได้มากขึ้น ขณะนี้ทหาร ตำรวจรับผิดชอบในทุกสถานการณ์ ถือว่า งานเยอะมาก กำลังพลค่อนข้างมีปัญหา ในเรื่องการหมุนเวียนสับเปลี่ยนทดแทน ทั้งจากเรื่องปัญหางบประมาณบ้าง อย่าบอกว่า ทหารได้งบเยอะแล้วมันไม่ใช่ เพราะเป็นงบคนละส่วน เนื่องจากส่วนนี้คืองบประมาณกำลังพล ส่วนงบประมาณการพัฒนายุทโธปกรณ์เป็นแผนงาน 5-10 ปี ทั้งนี้ ตนไม่ได้บอกว่าจะด้อยกว่าไหน แต่ตนพูดในภาพรวมว่าจะต้องดูประเทศรอบบ้านในอาเซียน หรือ เอเชียตะวันออกกลาง จะต้องมีความทัดเทียมในเรื่องความทันสมัย ตนไม่ได้บอกว่าเราจะรบและแพ้ใครมันไม่ได้ ถ้าทหารรบแพ้ก็ตายเท่านั้น
เมื่อถามว่า มีความเป็นไปได้หรือไม่ในเรื่องการทบทวน พ.ร.ก.ฉุกเฉินในพื้นที่ หลังจากที่ยกเลิกที่ อ.แม่ลาน จ.ปัตตานี พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ไม่ แต่คงจะเป็นประเด็นอีกว่าเหตุการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้นต้องการที่จะต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉินหรือไม่ ซึ่งความจริงไม่มีใครอยากใช้ ตนเคยบอกแล้วว่าทหารไม่ต้องการที่จะให้มีการสู้รบ หรือต้องการใช้อำนาจ ทหารมีแต่อยากกลับมาทำหน้าที่ของตัวเองคือการป้องกันชายแดน การพัฒนาที่ได้กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ 3-4 ประการ รวมถึงการดูแลภัยรูปแบบใหม่ตามแผนโครงสร้างของกองอำนวยการรักษาความมั่นคง ภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ตนขอร้องอย่าให้ทหารจะต้องเผชิญกับพวกเรากันเอง คือคนไทยด้วยกันไม่ว่าจะใน กทม. ต่างจังหวัด หรือ ชายแดน ตนคิดว่ามันพอแล้วเหตุการณ์ในประเทศ อยากให้แยกกัน ให้ออกระหว่างการเมือง การทหาร และความสัมพันธ์ของประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งจะต้องแยกออกจากกันไม่อย่างนั้นไม่มีช่องทางพูดคุยกันได้เลยหากเอามารวม กัน สังคมจะต้องเข้าใจในประเด็นนี้ ทุกประเทศจะอยู่ร่วมกันได้ความสัมพันธ์ทางช่องทางการทูต ช่องทางการทหารและความสัมพันธ์ทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และจิตวิทยา ถ้าปิดทุกช่องทางเราก็อยู่เดียวในโลกในอาเซียน ตนก็คิดว่าอยู่ได้ แต่เศรษฐกิจ หรือ การพัฒนาประเทศจะถอยหลังอย่างไรตนไม่ทราบ เพราะไม่ใช่หน้าที่ของทหารที่จะต้องเข้าไปเกี่ยวข้อง
“กลุ่มที่ก่อเหตุเป็นกลุ่มเดิมๆ ซึ่งเราพยายามไล่ติดตามอยู่แล้วโดยคนร้ายจะหมายจับตาม ป.วิอาญา ซึ่งเรามีบัญชีเป้าหมายทั้งหมด แต่ กลุ่มคนเหล่านี้ไม่ได้อยู่ในพื้นที่มีการไป ๆ มามา หากมาเมื่อไหร่ก็โดนจับ บางครั้งคนร้ายจะไปสร้างสมาชิกใหม่ขึ้นมา ซึ่งอาจจจะไปใช้วิธีการโฆษณาชวนเชื่อ หรือไปเอาญาติพี่น้องที่เสียชีวิต ดังนั้นทุกคนจะต้องช่วยกันและยอมรับว่าเมื่อทำความผิดจะต้องถูกดำเนินคดี เมื่อมีการเสียชีวิตมีการปะทะกันทหาร และ ตำรวจ ไม่ใช่ว่าทหาร ตำรวจ ใช้ความรุนแรง ถ้าคนร้ายไม่ใช้อาวุธผมว่าทหารก็ไม่ยิงทหารถูกสอนมาว่าจะยิงเป้าหมายที่ถืออาวุธ หากไม่ถืออาวุธไม่ยิง นั่นคือสิ่งที่เราเสียเปรียบ เจ้าหน้าที่ไม่สามารถทำอะไรที่นอกเหนือกฎหมายได้เลย การปิดล้อมตรวจจะต้องมีผู้แทน4 ฝ่าย ทั้ง ผู้นำศาสนา ผู้นำท้องถิ่นพุทธ-อิสลาม ก็เข้าไปทั้งหมดว่าการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ถูกต้องหรือไม่ ซึ่งการทำงานไม่ได้ง่าย ๆ อย่างที่ทุกคนคิดว่าทำไมสู้รบไม่จบเสียที เขาไม่ได้มีการตั้งค่าย หรือ ตั้งป้อม อยู่บนเขา และรบเข้าหากัน ถ้าเป็นแบบนี้ 2 วันก็จบ แต่มันไม่ใช่คนร้ายจะเข้ามาปะปนกับประชาชนใครดีหรือไม่ดีเราก็ไม่รู้ จนกว่าเขาจะไปถือปืนข้างนอกถึงจะรู้ เว้นแต่พวกที่มีรายชื่อตามหมายจับ ป.วิอาญา ทำให้กลุ่มคนเหล่านี้ไม่เข้ามาในพื้นที่ เพราะเข้ามาก็โดนจับ ดังนั้นเขาก็ไปสร้างความรับรู้ในสิ่งที่ไม่ถูกต้องขึ้นมาอีก นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน” พล.อ.ประยุทธ์ระบุ
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า หากท่านต้องการให้เหตุการณ์สงบโดยเร็ว ต้องลดปัญหาในบ้านเมืองเราให้น้อยลง วันนี้เราต้องอยู่ด้วยกฎหมายและกติกา ถ้าเปลี่ยนกติกาไปเรื่อยก็ไม่ได้อะไรเลย ท้ายที่สุดก็เสียหายทุกอย่าง เพราะฉะนั้น ทุกคนต้องรวมใจให้ประเทศไทยฝันฝ่าอุปสรรคไปให้ได้ ทั้งในและนอกประเทศ ถ้ายังเป็นอยู่กันอย่างนี้ก็ไปไม่รอด และปัญหาทั้งหมด ทหารก็ต้องเข้ามาแก้ไขปัญหา มันเป็นภาระหนักพอสมควร วิธีคือใช้กำลังกันอยู่อย่างนี้ ต้องเสียกำลังในเรื่องการเฝ้าระวังและดูแลพื้นที่ รวมถึงการรักษาความสงบเรียบร้อย ซึ่งเป็นภาระที่ทหารเพิ่มขึ้นทั้งงานภาคใต้ เสร็จจากใต้ก็ต้องกลับมาชายแดน ก็เป็นคนเดิมที่หมุนมาทำงาน ไม่มีโอกาสที่จะอยู่กับลูกเมีย แต่ตนพูดอะไรมากไม่ได้ เดี๋ยวจะหาว่าทหารมาทวงบุญคุณ ซึ่งไม่ได้ทวง แต่อธิบายว่าทหารทำอะไรอยู่ ถ้าไม่ทำ กองทัพก็อยู่ไม่ได้ ประเทศชาติก็อยู่ไม่ได้ ทหารเป็นกำลังในการดูแลสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ถ้าท่านทำลายทหารก็เท่ากับทำลายตัวท่านเอง และความเข้มแข็งของประเทศชาติด้วย
เมื่อถามว่า ควรจะมีการชะลอยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ไปก่อนหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า เป็นเรื่องของนโยบายที่เราพยายามลดระดับของการใช้มาตรการทางทหารลงไป สิ่งที่เราทำในภาคใต้ทั้งหมดไม่ใช่แค่การใช้กำลังทหารอย่างเดียว แต่ มี6 มาตรการและ 6 กลยทธ์ ที่นำไปใช้ทั้งเรื่องการพัฒนาสร้างอาชีพรายได้ ความเป็นอยู่ การ ศึกษา โดยมี ศอ.บต.เป็นหลัก นอกจากนั้น ยังเน้นหนักเรื่องการอำนวยการยุติธรรมโดยดูแลว่าเราเข้าไปละเมิดสิทธิ ใครทำความผิดหรือไม่ และต้องไปเยียวยาหรือไม่ ในส่วนการรักษาชีวิตและทรัพย์สิน โดยสร้างสภาวะแวดล้อมให้ประชาชนปลอดภัย เพื่อให้การพัฒนาเข้าไป ถ้าไม่มีทหารและ กฎหมาย ทหารจะเข้าไปทำงานได้อย่างไร เพราะหากมีปัญหาก็มีการฟ้องร้องทหาร ส่วนนี้ใครจะรับผิดชอบ ท่านต้องการทุกอย่างในเวลาเดียวกันหมดคงไม่ได คนเราต้องมีสิทธิ และหน้าที่ แต่ต้องไม่ละเมิดสิทธิหน้าที่คนอื่น รวมทั้งต้องให้เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายได้ ไม่เลือกปฏิบัติ ถ้าเจ้าหน้าที่ทหารคนใดผิดก็ร้องเรียนขึ้นมา หากพบว่าจริงตนก็ไม่ปล่อยไว้ เพราะเราต้องให้คนไม่ดีออกไป