xs
xsm
sm
md
lg

ผบ.ทบ.เผยโจรใต้ก่อเหตุรายวัน หวังโชว์เหนืออำนาจรัฐ ยันทหารรับมือได้

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา  (แฟ้มภาพ)
“ประยุทธ์” รอฟังนโยบายดับไฟใต้ของรัฐบาล ระบุ โจรใต้ยกระดับความรุนแรง หวังโชว์ให้คนในพื้นที่เห็นว่ามีอำนาจเหนืออำนาจรัฐ ยันทหารรับมือได้ บอกหากต้องการให้จบเร็วต้องใช้กฎหมายเข้ม แต่สุ่มเสี่ยงต่างชาติแทรก

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ว่า ความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเรื่องผลประโยชน์ การกระทำผิดกฎหมาย กลุ่มการเมืองท้องถิ่น และกลุ่มที่ต้องการแบ่งแยกดินแดน จึงทำให้เกิดความรุนแรงมากขึ้น ทุกรัฐบาลมีนโยบายในการแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่อง และการพัฒนาของสถานการณ์มีแนวโน้มดีขึ้น มีอย่างเดียวที่ยังไม่ดีขึ้น 100% เนื่องจากมีการบาดเจ็บและสูญเสีย กลุ่มที่ก่อเหตุต้องการกดดันรัฐบาลต้องการแสดงให้เห็นการมีอำนาจ เหนืออำนาจรัฐ จึงได้ใช้ความรุนแรง การแก้ไขปัญหาภาคใต้จะต้องแก้ไขทุกมิติ ไม่เฉพาะการนำกำลังเข้าไปในการปิดล้อมตรวจค้น

อย่างไรก็ตาม หากใช้อาวุธต่อสู้กันจะทำให้การแก้ไขปัญหาไม่จบ ปัญหาส่วนหนึ่งเกิดจากความขัดแย้งทางประวัติศาสตร์และชาติพันธุ์ ซึ่งกลุ่มก่อเหตุได้นำเรื่องนี้ขึ้นมาใช้ในการก่อเหตุ แต่กองทัพพยายามแก้ไขปัญหาขบวนการต่างๆ โดยเฉพาะเรื่องการบังคับใช้กฎหมาย

ทั้งนี้ หากมาตรการของรัฐบาลหรือกองทัพในการแก้ไขปัญหาดีขึ้น โดยเฉพาะด้านการพัฒนา วิธีปฏิบัติเชิงรุก และกระบวนการยุติธรรม เมื่อดีขึ้น ตนถามว่าทางผู้ก่อเหตุเขามีอะไรมาต่อสู้ แต่เขาใช้มาตรการความรุนแรงอย่างเดียว ด้วยการลักลอบทำร้ายเจ้าหน้าที่

“กำลังพลที่ลงไปปฏิบัติภารกิจเราดูแลคน 2 ล้านคนเศษ ไม่ได้ดูแลคนไทยพุทธอย่างเดียว แต่ดูแลทุกหมู่บ้านที่มีมากถึง 2-3 พันหมู่บ้าน 400 โรงเรียน พันกว่ามัสยิด ซึ่งเป็นงานที่กองทัพดูแลทั้งสิ้น ผมรับผิดชอบกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และยอมรับว่าการดูแลของเจ้าหน้าที่ยังทำไม่ได้ 100% เนื่องจากมีหลายสาเหตุ”

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า กองทัพได้จัดกำลังทหารเข้าไปดูแลในพื้นที่ต่างๆ ให้มากยิ่งขึ้น แต่ก็ต้องระมัดระวังเส้นแบ่งการบังคับใช้กฎหมายกับการใช้ความรุนแรง เพราะมีความใกล้เคียงกัน ถ้าบังคับใช้กฎหมายรุนแรงไปก็จะทำให้เกิดเหตุรุนแรงซ้ำซ้อนอีก ทุกวันนี้เราไม่ได้อยู่เฉยๆ เมื่อมีเหตุการณ์เราได้สั่งการ และแก้ไขปัญหาทันทีทุกครั้ง ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามไม่ได้อยู่เฉย ๆ พยายามหาวิธีการต่อสู้เพื่อให้มีบทบาทที่เหนือกว่าเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งเราไม่ต้องให้เครดิต เพราะเขาไม่ได้เก่งกาจอะไร เพียงแต่เป็นการกระทำลอบกัด ซึ่งต่างจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ

“ทั้งนี้ เราต้องช่วยกันประณามที่เขากระทำต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์ พระ ครู รวมถึงชาวไทย-พุทธ และไทย-มุสลิม โดยมุ่งหวังให้ประชาชนทั้ง 2 กลุ่มมีปัญหากัน ซึ่งการแก้ไขปัญหาจะต้องละเอียดอ่อน โดยทางกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) และกองกำลังผสมพลเรือน ตำรวจ ทหาร (พตท.) ได้มีการคิดทุกมาตรการในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ ไม่ได้นิ่งนอนใจ มีกำลังพลบาดเจ็บเสียชีวิตทุกวัน ซึ่งการปฏิบัติงานของทหารจะเข้าไปดูแลรักษาความปลอดภัย โดยเราพยายามทำทุกมาตรการ โดยเฉพาะให้ประชาชนไปใส่บาตรที่วัด หรือนำพระไปจำวัดไว้ในที่ที่ปลอดภัย เหลืออีกวิธีเดียว คือ ดำเนินการกับคนที่กระทำผิดกฎหมายให้มากที่สุด แต่ต้องทำอย่างระมัดระวัง เพื่อไม่ให้มีการกระทำนอกกฎหมาย ทั้งเรื่องการล้างแค้น แก้แค้น หรือการรับผลประโยชน์ และบังคับซื้อที่ดินราคาถูก ซึ่งการที่ผมพูดไม่ได้เป็นการแก้ตัวให้กับเจ้าหน้าที่ แต่เป็นข้อเท็จจริง”

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ถ้าเราจะต้องเสียดินแดน จะมีวิธีเสียอย่างเดียว คือ เมื่อไหร่ก็ตามที่ฝ่ายตรงข้ามใช้กองกำลังขนาดใหญ่ ขึ้นมาต่อสู้กับอำนาจรัฐ แต่ก็คงไม่มีแต่การลักลอบก่อเหตุ แอบ ซุ่ม ซ่อน ยิง หรือ ก่อนหน้านี้ มีบางพื้นที่ลงไปไม่ได้จะถูกต่อต้านจากประชาชน แต่ปัจจุบันจะเห็นว่าประชาชนมีความสุขมากขึ้น มีการร่วมงานกับเจ้าหน้าที่มากขึ้น ทั้งนี้ ประชาชนต้องระวังตัวเองด้วย เช่น การเดินทางสัญจรในเวลากลางคืน เส้นทางที่ไม่ปลอดภัย การเดินทางของครูที่จะต้องอยู่ในความคุ้มครองของเจ้าหน้าที่ หากเมื่อใดที่ไม่อยู่ในความคุ้มครองของเจ้าหน้าที่ก็เสี่ยงที่จะถูกทำร้าย ตนพูดในฐานะที่ตนเป็นเจ้าหน้าที่ทหาร

ดังนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร ก็มีการปฏิบัติงานตามยุทธวิธี และดูในหลายๆ ด้านมากกว่าประชาชนที่ดูแค่การบาดเจ็บสูญเสีย เราดูลึกกว่านั้น ดูว่าเกิดจากอะไร แล้วจะแก้อย่างไร ซึ่งที่ผ่านมาได้พยายามแก้ไขปัญหาให้ลดลงมาเรื่อยๆ แต่ตราบใดก็ตามที่เขาทำแล้วเกิดผลกระทบต่อจิตใจ ต่อสังคม ต่อประชาคมโลก เราจะเสียดินแดนตนบอกได้แค่นี้

ผู้สื่อข่าวถามว่า มีความเป็นห่วงมวลชนที่อยู่ในพื้นที่ว่าจะเกิดความเกรงกลัวจนไม่สามารถดำเนินชีวิตและปฏิบัติงานในพื้นที่ได้ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ตนไม่กลัว เพราะเราทำอยู่แล้วและดีขึ้นเรื่อยๆ ที่ผ่านมาเราก็ได้รับข้อมูลข่าวสารมากขึ้นเรื่อยๆ การเข้ามาเป็นฝ่ายเราก็มากขึ้น เช่นเดียวกันฝ่ายผู้ก่อการร้ายก็พยายามใช้ความรุนแรงให้มากขึ้นเพื่อเอาพวกเขากลับไป แต่วันนี้งานพัฒนาและงานต่างๆ นั้นดีขึ้นเรื่อยๆ

ดังนั้น มันไม่มีอะไรน่ากลัว เพียงแต่ว่าจะทำอย่างไรประชาชนจะปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ดังนั้นทุกคนต้องช่วยกัน ไม่ใช่เฉพาะทหารอย่างเดียว ทั้งพลเรือน ตำรวจ ทหาร เจ้าหน้าที่ และประชาชน ซึ่งทั้งหมดจะเกี่ยวข้องกัน

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า วิธีการที่จะทำให้สงบเงียบเรียบร้อยและง่ายขึ้นกว่านี้ก็ต้องเป็นเรื่องของรัฐบาลที่จะต้องตัดสินใจว่าจะให้บังคับใช้กฎหมายมากขึ้นหรือไม่อย่างไร เช่น การประกาศเคอร์ฟิวในช่วงกลางคืน หากจะมีการประกาศจริงก็จะสามารถแยกแยะคนได้ แต่ดูว่าจะทำให้สถานการณ์มันรุนแรงขึ้น ดังนั้นมันมีเหตุมีผลของมันหมด หรือจะห้ามสัญจรไปมา ห้ามใช้ถนน ประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ใช้กฎอัยการศึก เราจะทำแบบนี้ได้หรือไม่ คำตอบ คือ ไม่ได้ ทุกคนต้องการสิทธิเสรีภาพเท่ากันหมด และต้องการความปลอดภัยด้วย ซึ่งมันก็ค่อนข้างยากแต่เราจะพยายามทำ

ดังนั้น หากจะทำอย่างนั้นก็อาจจะเป็นในลักษณะปิดล้อมตรวจค้น ปิดประตูตีแมว ซึ่งอาจจะดูรุนแรงไปหรือไม่ และสุ่มเสี่ยงต่อการที่ต่างชาติ หรือองค์กรต่างๆ จะเข้ามาสอดส่องดูแลหรือไม่ตนก็ยังไม่แน่ใจ ทั้งนี้อยากให้สื่อมวลชนระมัดระวังในการนำเสนอข่าว และอยากจะให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ เพราะเขาต้องเสี่ยงทุกวัน ซึ่งไม่ใช่ประชาชนที่เจ็บและเสียชีวิต และทหารก็เจ็บและเสียชีวิตเช่นเดียวกัน เพราะเขาทำงานไปดูแลประชาชน จึงต้องได้รับบาดเจ็บ

ผู้สื่อช่าวถามว่า จะมีการปรับกำลังให้ทหารพรานลงพื้นที่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เหตุผลของการปรับกำลังเป็นเรื่องของสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อสถานการณ์ในบางมิติมันดีขึ้น ซึ่งการใช้กำลังทหารหลักจะใช้เพื่อรักษาความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สิน รักษาพื้นที่ให้สงบนิ่งเรียบร้อย ที่ผ่านมาเราใช้ทหารหลักลงไปถึง 20 กว่ากองพัน ซึ่งเป็นทหารหลักที่อยู่ตามกองทัพภาคต่างๆ โดยหากพิจารณาแล้วว่าสถานการณ์มันดีขึ้นก็มีโอกาสที่จะหมุนเวียนกลับมา พื้นที่ฟื้นฟูเพื่อเตรียมกำลังเพื่อจะใช้ในโอกาสต่อไป ตนไม่ได้หมายความเอากลับมาแล้วจะไม่ใช้อีกเลย มันไม่ใช่ แต่เป็นการกลับมาเพื่อพักเตรียมกำลังฝึกหัดต่างๆ ให้มันแข็งแรงขึ้นกว่าเดิม

ส่วนที่จะนำทหารพรานลงไปนั้นจนได้พิจารณาแล้วว่ามีความคล่องแคล่วในการเคลื่อนที่ การไล่ติดตาม การปฏิบัติงานในเชิงรุก การปฏิบัติงานในพื้นที่ป่าภูเขา ซึ่งได้ประเมินตามหลักการใช้กำลังของฝ่ายยุทธการ ขอให้ไม่ต้องต้องห่วงหากสถานการณ์มันเปลี่ยนไปเราก็สามารถปรับได้ เพราะทหารมีแผนที่อ่อนตัว สามารถปรับเปลี่ยนอะไรได้ง่ายในการทำงาน


กำลังโหลดความคิดเห็น