“โฆษกมาร์ค” เชื่อแก๊งแดงยื่นฟ้องศาลโลก สังคมยอมรับได้ รัฐบาลพร้อมสู้คดี แต่การชุมนุมป่วนเมือง เสี่ยงยั่วยุให้เกิดความรุนแรง แถมเป็นการกดดันกระบวนการยุติธรรม ที่เรียกร้องให้ปล่อยตัวแกนนำ ระบุ เหตุเร่งบรรจุร่างแก้ไข รธน.25 ม.ค.เพื่อแสดงความจริงใจ หวั่นถูกมองดึงเรื่องเพื่อต่อรอง พร้อมยุ “เป็ดเหลิม” ชิงหนีเพื่อแม้วตั้งพรรคสู้ศึกเลือกตั้ง มีโอกาสได้ร่วมรัฐบาลในอนาคต
นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ประกาศชุมนุมใหญ่ในวันที่ 23 ม.ค.ว่า หากดูรูปแบบการประกาศชุมนุมคงไม่แตกต่างจากครั้งที่ผ่านมา เพียงแต่เปลี่ยนสถานที่จากเดิมที่รวมพลกันที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยแล้วเดินขบวนไปที่แยกราชประสงค์ เมื่อถูกต่อต้านจากผู้ค้าราชประสงค์ ก็เปลี่ยนมานัดรวมพลที่สี่แยกราชประสงค์ แล้วเดินขบวนมาอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยแทน ซึ่งถือเป็นรูปแบบที่สุ่มเสี่ยงยั่วยุให้เกิดความรุนแรง ดังนั้น อยากให้แกนนำกลุ่ม นปช.ทบทวนรูปแบบวิธีการชุมนุม หากยังยึดแบบสันติอหิงสาควรจัดชุมนุมเป็นที่เป็นทางที่เหมาะสม เพื่อไม่ให้เกิดความเดือดร้อนกับกลุ่มบุคคล
สำหรับข้ออ้างที่ระบุว่าจะชุมนุมต่อไปจนกว่าแกนนำ นปช.จะได้รับการปล่อยตัวนั้น เป็นเงื่อนไขกดดันการทำงานกระบวนการยุติธรรม เหมือนที่ นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช. ระบุว่า หากศาลถอนประกันตัวเองก็จะขอให้คนเสื้อแดงไปร่วมชุมนุมมากขึ้นเป็นทวีคูณ จึงอยากถามว่าถือเป็นการกดดันการทำหน้าที่ศาลหรือไม่
นายเทพไท กล่าวว่า สิ่งที่ นปช.เคลื่อนไหวขณะนี้เป็นการสร้างกระแสความวุ่นวาย ที่ระบุว่า จะชุมนุมนับแสนคนนั้น น่าจะเป็นแสนสาหัสมากกว่า อย่างไรก็ตาม อยากให้กลุ่มผู้ชุมนุม และแกนนำนึกถึงวิธีการและรูปแบบที่ไม่สร้างความเดือดร้อน
ส่วนที่แกนนำ นปช.ชุดใหม่ประกาศจะยื่นฟ้องรัฐบาลต่อศาลอาญาระหว่างประเทศในวันที่ 31 ม.ค.นี้ คิดว่าสังคมรับได้ เพราะไม่สร้างความเดือดร้อนให้กลุ่มหนึ่งกลุ่มใด แต่จะเหมาะสมหรือไม่สังคมก็ต้องติดตามดู แต่ที่ชัดเจน คือ แกนนำ นปช.ได้เคลื่อนไหวเป็นไปในทิศทางเดียวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร คือ การใช้สำนักงานกฎหมายของนายโรเบิร์ต อัมเตอร์ดัม เป็นทนายความให้ ตนคิดว่าเมื่อคนเสื้อแดงใช้สิทธิฟ้องร้องรัฐบาลนั้น รัฐบาลก็พร้อมพิสูจน์ข้อเท็จจริงหากศาลโลกประทับรับฟ้องเรื่องดังกล่าว
นายเทพไท กล่าวว่า การที่พรรคภูมิใจไทยเสนอสูตรการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 400+125 เป็นข้อเสนอที่ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์และเสียงปฏิเสธมาก เพราะเป็นการเพิ่ม ส.ส.มากขึ้น แต่สังคมต้องการให้จำนวน ส.ส.ลดน้อยลง ส่วนตัวคิดว่าตัวเลขที่เหมาะสมหากเป็นสูตร 300+100 ก็สามารถรับได้ แต่เมื่อคณะกรรมการพิจารณาเเนวทางการเเก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่มีนายสมบัติ ธำรงธัญญวงศ์ เป็นประธาน เสนอสูตร 372+125 นั้นก็เป็นตัวเลขสมเหตุสมผล
ส่วนที่มีกระแสการคัดค้านไม่ยอมลดจำนวน ส.ส.นั้นเป็นเรื่องส.ส.บางกลุ่มไม่ยอมเสียผลประโยชน์ และสถานะของตัวเองมากกว่า ซึ่งตนเสียดายโอกาสที่เมื่อครั้งการแก้ร่างรัฐธรรมนูญ ปี 50 โดยสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) สามารถลดจำนวน ส.ส.ได้ แต่ก็ไม่ทำ
ส่วนที่ นายวิทยา บูรณศิริ ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) วิจารณ์การเร่งรีบนำร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ สู่ระเบียบวาระการประชุมในวันที่ 25 ม.ค.โดยอ้างว่าส.ส.ขาดความพร้อม เพราะมีส.ส.จำนวนหนึ่งเดินทางไปต่างประเทศนั้น นายเทพไท กล่าวว่า การกำหนดให้ประชุมวันที่ 25 ม.ค.นั้น รัฐบาลอยากให้สังคมเห็นความจริงใจว่าพร้อมจะบรรจุเข้าสู่สภา ไม่อยากให้มีเสียงวิจารณ์ว่ามีการดึงเรื่อง เพื่อต่อรองหรือล็อบบี้ การมาพูดว่า ส.ส.อยู่ต่างประเทศไม่มีความพร้อมก็อยากให้กลับไปดูการทำหน้าที่ ส.ส.แต่ละคน เมื่อมีการประกาศพระราชกฤษฎีกาเปิดประชุม ส.ส.ก็ต้องแสดงความพร้อมในการปฏิบัติหน้าที่ทันที การอยู่ต่างประเทศถือเป็นความไม่รับผิดชอบของ ส.ส.โดยเฉพาะวาระการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งถือเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ
นายเทพไท กล่าวถึงกรณีที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย ได้ยื่นเงื่อนไข 3 ข้อ โดยจะรอคำตอบจากพรรคเพื่อไทย 3 เดือนว่า ถือเป็นการยื่นเงื่อนไขเพื่อหวังผลการเมือง และเป็นการต่อรองกับพรรคเพื่อไทย เพราะ ร.ต.อ.เฉลิม ต้องคิดหนักกับการต้องออกจากพรรคเพื่อไทยแล้วมาตั้งพรรคการเมืองของตัวเอง เนื่องจากที่ผ่านมาจะเห็นว่าชีวิตทางการเมืองอยู่กับใครก็อยู่ยาก จะมาตั้งพรรคของตัวเองก็ไปไม่รอด วิธีดังกล่าวน่าจะเป็นวิธีการซื้อเวลาออกไปอีก 3 เดือน เพราะจะเห็นว่าในพรรคเพื่อไทยมีการออกมาเรียกร้องให้ผู้ใหญ่มาไกล่เกลี่ย
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ ร.ต.อ.เฉลิม คิดว่า การตั้งพรรคใหม่น่าจะเป็นเรื่องอนาคตทางการเมืองมากกว่า เพราะได้ผ่านร้อนหนาวมาหลายครั้ง จึงน่าจะรู้ว่าอนาคตของพรรคเพื่อไทยจะเป็นอย่างไร หากจับมือกับ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ และ นายนิติภูมิ นวรัตน์ ก็มีความเป็นไปได้ที่จะทำพรรคการเมืองที่ได้ที่นั่งประมาณ 20-30 เสียง และอาจจะมาร่วมรัฐบาลกับขั้วใดขั้วหนึ่ง และอาจเป็นตัวแปรสำคัญทางการเมืองเลยก็ว่าได้ เพราะหาก ร.ต.อ.เฉลิม คิดว่า จะอยู่กับพรรคเพื่อไทยคงอีกนานกว่าที่จะได้กลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง