“ฮุนเซน” ชี้ ยอมย้ายหมู่บ้านจากเขาพระวิหาร เพราะทำตามยูเนสโก ไม่ได้เกี่ยวกับไทยและ MOU43 ยอมคืนความสัมพันธ์ทางการทูต เพราะไทยถอนทหารจากวัดแก้วฯ เมื่อวันที่ 1 ธ.ค.53 ประกาศกร้าว “สมาชิกรัฐสภาไทยมีเอกสิทธิ์เฉพาะในแผ่นดินไทย เมื่อเขาเข้ามาในแผ่นดินกัมพูชาเพื่อตรวจสอบที่ดิน กัมพูชามีสิทธิทุกประการที่จะจับกุม”
เว็บไซต์ฟิฟทีนมูฟ รายงานข่าวระบุว่า “ฮุนเซน ตบหน้าอภิสิทธิ์ ฉาดใหญ่ ระบุย้ายชุมชุนเขมรที่พระวิหารไม่เกี่ยวกับไทย ไม่เกี่ยวกับ MOU43 แต่ทำตามยูเนสโก ระบุ ไม่เคยยอมรับตามที่อภิสิทธิ์กล่าวอ้างว่า ความขัดแย้งไทย-เขมร เกิดจากการขึ้นทะเบียนปราสาท แต่ความขัดแย้งแท้จริงมาจากไทยรุกล้ำกัมพูชา เตือนยูเนสโกและนานาชาติอย่าเข้าใจผิด เพราะอภิสิทธิ์บิดเบือน ตบท้ายชงหวาน อภิสิทธิ์-ประวิตร-ประยุทธ์ เป็นคนรักชาติ พูดตรงกับเขมรไม่มีใครเสียดินแดน ชี้ นิ้วพวกหัวรุนแรงไทยกล่าวหาเลื่อนลอย ย้ำความสัมพันธ์การทูตเป็นปกติแล้วเพราะไทยถอนทหารพ้นวัดแก้วฯ”
เว็บไซต์วิสัยทัศน์ใหม่กัมพูชา เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2553 ตีพิมพ์เผยแพร่สุนทรพจน์ของสมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน นายกรัฐมนตรี ระหว่างพิธีปิดการประชุมกระทรวงพัฒนาชนบท ประจำปี 2553 โดยในตอนท้ายได้ชี้แจงจุดยืนความสัมพันธ์ระหว่างไทยและกัมพูชา ที่ระบุว่า ตนไม่เคยยอมรับว่า การขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกเป็นสาเหตุของความตึงเครียดระหว่างสองประเทศ ระหว่างการพูดคุยกับผู้นำไทย ก็ได้ยืนยันจุดยืนดังกล่าว ทั้งยังระบุว่า ตนยอมรับเพียงแค่ว่าความตึงเครียดเกิดจากการที่ทหารไทยรุกล้ำกัมพูชา เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2551 เตือนนานาชาติและยูเนสโก ไม่ให้เข้าใจผิดเนื่องจากความพยายามบิดเบือนของฝ่ายไทย ประกาศย้ำว่า ความสัมพันธ์ทางการทูตกลับมาเป็นปกติเต็มขั้นเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2553 ที่ทหารไทยถอนออกจากวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ อ้างผู้นำรัฐบาลไทย และกองทัพพูดตรงกันกับกัมพูชา ว่า ไม่มีใครเสียดินแดน เรียกกลุ่มคนไทยที่เคลื่อนไหวเรื่องพิพาทเขตแดนไทย-กัมพูชา เป็น “พวกหัวรุนแรง” และกล่าวหาว่า กล่าวอ้างอย่างเลื่อนลอยและผิดๆ ชมเปาะ อภิสิทธิ์ ประวิตร ประยุทธ์ เป็นผู้รักชาติ ก่อนระบุว่า การย้ายหมู่บ้านใกล้ปราสาทพระวิหารไม่เกี่ยวกับไทย แต่เป็นไปตามข้อเรียกร้องของยูเนสโก ตอนท้ายพูดถึงกรณืการจับตัว 7 คนไทย เรียก วีระ สมความคิด ว่า “หมอนี่”
เว็บไซต์ฟิฟทีนมูฟ แปลและเรียบเรียงสุนทรพจน์ของฮุน เซน ในประเด็นชี้แจงความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา ดังนี้
เรื่อง การชี้แจงจุดยืนความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา
ผมขอใช้โอกาสนี้อธิบายบางประเด็นเกี่ยวกับการคืนความสัมพันธ์กับประเทศไทย หลังการปรับกำลัง สามารถพูดได้ว่า สถานการณ์ที่วัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ ได้ถูกแก้ไขแล้ว อย่างไรก็ตาม ผมต้องการทำความชัดเจนในบางประเด็น
ประการแรก ผมไม่เคยยอมรับแม้แต่น้อยว่าการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกนำสู่ไปความตึงเครียดระหว่างกัมพูชากับไทย หากใครที่กรุงเทพฯ อ้างอย่างนั้น ผมจะบอกว่า ผิด ในการหารือของผมกับนายกรัฐมนตรีไทย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และผู้นำไทยคนอื่นๆ ผมไม่เคยเห็นด้วยว่าการขึ้นทะเบียน (ปราสาทพระวิหาร) นำไปสู่ความตึงเครียดระหว่างสองประเทศ ผมอยากกระตุ้นเตือนยูเนสโกและเพื่อนชาวต่างชาติอื่นๆ ไม่ให้ถูกหลอกและเข้าใจผิดจากความพยายามบิดเบือนของคนหนึ่งคนใด
ผมยอมรับเฉพาะว่าความตึงเครียดเกิดจากการรุกรานของทหารไทย เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2551 ผมได้บอกอย่างชัดเจนว่า แม้เอกอัครราชทูต (ระหว่างสองประเทศ) กลับมาทำหน้าที่เหมือนเดิม ผมยังไม่นับว่าความสัมพันธ์ของเรากลับสู่ขั้นปกติอย่างเต็มที่ ความสัมพันธ์ขั้นปกติอย่างเต็มที่จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อทหาร (ไทย) ที่รุกล้ำได้ถอนออกจากพระเจดีย์วัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ ดังเช่นเมื่อเวลา 10.30 น.ของวันที่ 1 ธันวาคม 2553 เมื่อทหารได้ปรับกำลังออกจากพระเจดีย์แก้วสิกขาคีรีสวาระ ผมประกาศการบรรลุความสัมพันธ์ขั้นปกติอย่างเต็มที่
ประการที่สอง เกี่ยวกับการตีความว่า กัมพูชาได้รุกล้ำแผ่นดินไทยราว 1.8 ล้านไร่ เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่กัมพูชากลายเป็นผู้รุกรานแผ่นดินของคนอื่น ปกติในประวัติศาสตร์จะได้ยินแค่เพียงว่านั่นและนั่นรุกรานกัมพูชา และในบางคราวเราถูกกล่าวหาว่าเป็นหุ่นเชิดของบางประเทศ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้รัฐบาลไทยและกองทัพไทยได้ยืนยันว่าเขาไม่ได้เสียดินแดน นี่ยืนยันว่า พวกหัวรุนแรงเหล่านั้นกล่าวหาอย่างผิดๆ และไร้หลักฐาน ผมแน่ใจว่า รัฐบาลไทย นายกรัฐมนตรีไทย รัฐมนตรีกลาโหม ประวิตร วงษ์สุวรรณ และผู้บัญชาการทหารบกคนใหม่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่เคยมาพบผมก่อนนี้ ทั้งหมดเป็นคนรักชาติ (สำหรับประเทศไทย) เมื่อทั้งสองฝ่ายยืนยันว่า ไม่มีการเสียดินแดน มันดีอย่างยิ่งที่เราไม่มีอะไรต้องกังวล หากมีความกังวลเกี่ยวกับการย้ายหมู่บ้าน K1 จากปราสาท (พระวิหาร) การย้ายหมู่บ้านไม่ได้เป็นไปตามความต้องการของไทย แต่เป็นไปตามข้อเรียกร้องขององค์การพระวิหาร และยูเนสโก
วันนี้เราได้จับกุม 7 คนไทยเสื้อเหลือง ที่ล่วงล้ำดินแดนกัมพูชา หนึ่งในนั้นเป็นสมาชิกรัฐสภาและบางส่วนเป็นสื่อมวลชน หนึ่งในนั้นคือ หมอนี่ วีระ สมความคิด พวกเขาจะถูกส่งมายังพนมเปญ มีการแทรกแซงเราให้ปล่อยตัวสมาชิกรัฐสภา ผมบอก (กับคนที่มาก้าวก่ายว่า) สมาชิกรัฐสภาไทยมีเอกสิทธิ์เฉพาะในแผ่นดินไทย เมื่อเขาเข้ามาในแผ่นดินกัมพูชาเพื่อตรวจสอบที่ดิน กัมพูชามีสิทธิทุกประการที่จะจับกุม
ฯพณฯ สา เขง (Sar Kheng) รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีมหาดไทย รายงานมายังผมว่าขั้นตอนของคดีนี้จะเป็นการนำตัวไปยังตำรวจตรวจคนเข้าเมืองเมื่อมาถึง จากนั้นจะถูกนำตัวไปยังศาล ส่วนข้อกล่าวหาจะขึ้นกับศาล หลังถูกตั้งข้อกล่าวหาพวกเขาจะถูกส่งตัวไปยังเรือนจำ ผมหวังว่า นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ จะเข้าใจระบบกฎหมายของกัมพูชา ซึ่งไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย ผมคิดว่า การจับกุมจะไม่นำไปสู่ความบาดหมางทางการทูตระหว่างกัมพูชาและไทยอีกครั้ง
หมายเหตุ: “วิสัยทัศน์ใหม่กัมพูชา” เป็นเว็บไซต์ของรัฐบาลกัมพูชา ผ่านความเห็นชอบจากนายกรัฐมนตรี ฮุนเซน เมื่อ 13 มกราคม 2541 ให้เป็นจดหมายข่าวอย่างเป็นทางการของรัฐบาล เป็นเว็บไซต์เชิงเอกสารที่ให้การเข้าถึงข้อมูล มุมมอง นโยบาย และการตัดสินใจของกัมพูชา ข้อมูลถูกตีพิมพ์โดยคณะรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีมีเป้าหมายที่จะให้แหล่งข้อมูลและเอกสารอย่างเป็นทางการจากนายกรัฐมนตรี