“ประยุทธ์” ให้รอศาลเขมรตัดสินคดี 7 คนไทย เผยผู้ใหญ่ 2 ประเทศคุยกันแล้ว กัมพูชาขอเวลาทำตามขั้นตอนศาลให้เรียบร้อยก่อนแล้วจะดูแลให้ วอนเลิกวิจารณ์หวั่นทำให้การช่วยเหลือยากลำบากขึ้น ไม่ขอพูดรุกล้ำเขตแดนหรือไม่ แต่ต้องพิสูจน์ให้ชัดเจน เชื่อไม่มีเจตตา ยันทหารช่วยประสานแล้วแต่ไม่ทัน บอกห่วง 7 คนไทยตั้งแต่แรกที่ถูกจับ ลั่นทหารไม่ยอมให้เสียดินแดน และอย่ากล่าวหาว่ากลัวเขมร แต่ทหารต้องทำตามรัฐธรรมนูญ และกฎหมาย
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้สัมภาษณ์
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก กล่าวถึงการเพิ่มมาตรการระวังไม่ให้กลุ่มบุคคลเข้าไปในพื้นที่ที่เกิดปัญหาหลังจากเกิดเหตุ 7 คนไทยโดนจับว่า ไม่ได้กำชับกำลังในพื้นที่เป็นพิเศษ โดยปกติมีระเบียบปฏิบัติประจำอยู่แล้ว เวลาใครจะเข้าไปต้องมีการประสานงานและขออนุญาตเข้าพื้นที่ ถ้าเป็นประชาชนที่สัญจรไปมา เจ้าหน้าที่ก็จะรู้จัก ที่ผ่านมาก็เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ยกเว้นกรณีที่มีปัญหาขึ้น
ทั้งนี้ ไม่อยากตำหนิว่าเป็นความผิดหรือความบกพร่องของใคร แต่ในทางปฏิบัติหากมีการประสานการปฏิบัติ และแจ้งล่วงหน้า ทุกอย่างก็จะเป็นไปด้วยความเรียบร้อย เราในฐานะที่เป็นกำลังหลักในการดูแลตามแนวชายแดน ในส่วนของกองทัพบกได้ดำเนินการตามขั้นตอนตามลำดับ นับแต่ได้รับทราบว่า 7 คนไทยถูกจับกุมตั้งแต่นาทีแรกที่ทราบ รมว.กลาโหม ผบ.สส. นายกรัฐมนตรี รมว.ต่างประเทศ ได้ประสานงานอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้เพื่อไม่ให้เกิดเหตุลุกลามบานปลายต่อไป ต้องพิสูจน์ทางศาลว่ามีการล่วงละเมิดหรือไม่อย่างไรในพื้นที่
ส่วนจะกระทบความสัมพันธ์ทางทหารระหว่างสองประเทศหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ทางทหารไม่มีปัญหาอะไร เพราะมีนโยบายสร้างความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านรอบประเทศในการที่อยู่ร่วมกันโดยสันติ มีการพูดจากับผู้นำทางทหารทุกระดับอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งในการประชุมคณะกรรมการระดับภูมิภาค หรืออาร์บีซี หรือคณะกรรมการชายแดนทั่วไป หรือจีบีซี มาโดยลำดับ ที่ผ่านมาก็เป็นไปอย่างเรียบร้อย ในกรณีของ 7 คนไทยเราก็ขอไปแล้ว ประเด็นอยู่ที่ต้องพิสูจน์ว่าเข้าไปในเขตกัมพูชาหรือไม่ ตนไม่อยากจะพูดว่าเขาหรือไม่เข้า เพราะจะมีผลทางศาล ทางคดี จะทำให้การพิจารณาไปด้วยความลำบาก ปัญหาก็จะตกหนักกับพวกที่ถูกกล่าวหา ทั้งนี้ ในพื้นที่ใดที่มีทหารก็ตาม โดยปกติเราก็เคารพซึ่งกันและกัน แต่ไมได้หมายความว่าเป็นของเขา และไม่ได้หมายความว่าเป็นของเรา แต่เราถือว่าเป็นของเรามาโดยตลอด
“คงต้องใช้คำพูดให้ดี ให้เหมาะสม เพราะจะไม่เข้าใจกัน อยากเรียนว่า พื้นที่ชายแดนที่ผ่านมาโดยตลอด ตั้งแต่สมัยโบราณ ค่อนข้างจะไม่มีปัญหา เพราะสัญจรลำบาก จึงมีการปักหลักเขต ยึดโยงด้วยหมุดหลักฐานต่างๆ ซึ่งไม่ค่อยถาวรเท่าไหร่ ปัจจุบันก็ชำรุด แตกหัก มีการเคลื่อนย้ายบ้าง โดยการรู้เท่าไม่ถึงการณ์ไม่ว่าฝ่ายใดก็ตาม ในระหว่างมีการสู้รบ จนถึงวันนี้ต้องมีการปักปันกันใหม่ แต่ไม่ได้หมายความว่าตรงนี้เป็นของเรา หรือของเขา เราก็มีหลักฐานของเราอยู่ว่าหมุดอยู่ตรงไหน ภูเขาลูกโน่นมาลูกนี้ ต้นไม้ต้นโน้นมาต้นนี้ ปัจจุบันต้นไม้ก็ตายไปแล้ว ถ้าไม่มีสันปันน้ำ เป็นพื้นราบ ก็ค่อนข้างจะลำบาก ดังนั้นต้องเจรจา ตกลง แลกเปลี่ยน ความเข้าใจซึ่งกันและกัน ปัญหาตรงนี้มีตั้งแต่ 2520 ซึ่งเป็นปีสู้รบ”
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ที่ผ่านมาเรายืนยันว่าเป็นพื้นที่ของเรา เขาก็ยืนยันว่าเป็นพื้นที่ของเขา แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะเอาพื้นที่ไปให้เขา หรือเขาเอาพื้นที่เขามาให้เรา ก็ต้องพูดจากันว่าจะอยู่กันอย่างไร ที่ทำได้คืออยู่ได้ด้วยความเคารพซึ่งกันและกัน และไปคุยกันในคณะกรรมาธิการปักปันเขตแดน (เจบีซี) นำหลักฐานและแผนที่มายืนยันกัน ในปัจจุบันถ้าตกลังกันได้ ก็ต้องเข้าคณะรัฐมนตรี ตามมาตรา 190 มีกองสนธิสัญญาและกองเขตแดนกระทรวงการต่างประเทศทำงานมาโดยตลอด ต้องใช้เวลา ตนไม่อยากให้ทุกคนใจร้อนเกินไป แล้วไป เบลมว่าเรายกดินแดนให้เขาไปแล้ว ถ้าเรายอมรับไปแล้วก็คงไม่มีปัญหาเช่นนี้ แต่ที่มีปัญหาเพราะเราไม่ยอมรับ เขาไม่ยอมรับ เรื่องถึงยังไม่จบ
“ทุกอย่างต้องพูดด้วยหลักฐาน ต้องพูดด้วยการยึดโยงของหมุดหลักฐานทั้งหมด ซึ่งปัจจุบันหมุดหลักฐาน 46-47-48 ยังไม่เรียบร้อย เพราะต้องโยงมาจากหมุดอื่นอีก ทางเหนือบ้าง ทางใต้บ้าง และโยงกันด้วยมุมต่างๆ และมีสนธิสัญญาหลายฉบับทั้งไทย ฝรั่งเศส ทำกันมาแต่โบราณ เพราะฉะนั้นต้องสู้กันอีกหลายยก พื้นที่ตรงนี้จึงไม่ใช่ของเขา หรือของเรา เป็นพื้นที่ที่มีปัญหา ถ้าใครจะเข้าไป ต้องขอนุญาติเจ้าหน้าที่ แต่ถ้าเราล้ำเส้นนี้เข้าไป ถามหน่อยว่าเรียกว่าอะไร เหมือนที่เราจับแรงงานต่างด้าวทุกวันนี้ เพราะเขาล้ำเส้นเขตแดนที่ชัดเจนเข้ามาใช่หรือเปล่า เพราะฉะนั้นต้องไปพิสูจน์ว่า เส้นที่ว่าชัดเจนหรือไม่ชัดเจน จะกี่เมตรก็ตาม จะล้ำหรือไม่ผมไม่รู้ ผมจะไม่บอกว่าชัดหรือไม่ชัด แต่คิดว่าไม่เจตนา ถ้าในกรณีล้ำ อาจอยากเข้าไปพิสูจน์ทราบ ก็เป็นบทเรียนว่าต้องระมัดระวัง” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
ผู้บัญชาการทหารบกกล่าวว่า ไม่อยากให้มองว่าความสองประเทศมีความหวาดระแวงซึ่งกันและกัน เราต้องอยู่ด้วยความเข้าใจกัน ให้เกียรติซึ่งกันและกัน ไว้วางใจกัน วันนี้ทุกประเทศมีความเท่าเทียมกัน เพราะฉะนั้น อย่าย้อนกลับไปกลับมา มันอยู่กันไม่ได้ และยกประเทศหนีกันไม่ได้ เพราะฉะนั้นจะทำอย่างไรให้ 7 คนไทยปลอดภัย และกลับมาหาครอบครัวดีที่สุด ถ้าเราโทษกันไปกันมา ผิดหรือไม่ผิด ใช่หรือไม่ใช่ จะอันตรายกับคนของเรามากกว่า เราต้องให้เกียรติประเทศเพื่อนบ้าน เพราะเขามีกฎหมายก็เหมือนเรา ที่ใครเข้ามาอย่างผิดกฎหมาย ก็จับกุม ดำเนินคดี ตอนนี้ขอให้เป็นเรื่องของศาลพิจารณา ทำอย่างไรให้ต่างฝ่ายต่างเข้าใจกัน ลดทิฐิ ซึ่งกันและกัน
“ผมยืนยันว่าตลอดพื้นที่ทั้งหมด 5 พันกว่ากิโลเมตรรอบประเทศ ทั้งทางบก เรือ อากาศ ทางกองบัญชาการกองทัพไทย กระทรวงกลาโหม กองทัพทุกกองทัพ รักษาอธิปไตยไว้ให้ท่านได้ทั้งหมด ถ้าจะเอากำลังเข้ามายึด เข้ามาจับกุม ก็มีการปะทะกันมาตลอด ที่ผ่านมา มีกองกำลังติดอาวุธเข้ามา ทั้งตัดไม้ ลักลอบส่งของผิดกฎหมาย ก็มีการปะทะ จับกุมอย่างต่อเนื่อง ต้องเอาตรงนั้นมาเปรียบเทียบ ตรงจุดนี้ก็เช่นเดียวกัน ถ้ามันยังไม่เรียบร้อย ผมว่าต้องพูดให้น้อยลง ไม่ใช่กลัว ไม่ใช่ไปยกดินแดนให้เขา พูดอย่างนี้ไม่จบ และ 7 คนไม่ได้กลับแน่นอน ผมว่าต้องรอการพิสูจน์ทราบของศาล เราต้องรู้จักเคารพกฎกติกา ผมไม่ได้ว่าใครผิด ใครถูก บางครั้งศาลเขาก็มีความกรุณาเหมือนกันว่าไม่เจตนา หรือเล็กน้อย ทุกคนทราบดีว่ามีหลักอย่างนี้มีอยู่” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ขอให้กำลังใจผู้ถูกจับ 7 คนว่า รัฐบาล กระทรวงกลาโหม กองบัญชาการกองทัพไทย กองทัพบกดูแลท่านมาตลอด ตั้งแต่ถูกจับนาทีแรก มีการพูดคุยเจรจาปล่อยตัว ซึ่งมันเกินขั้นตอน เพราะเขานำตัวเข้าไปข้างในแล้ว อันนี้คือปัญหา ถ้าจะถามว่าความสัมพันธ์สองประเทศดีขึ้นน่าจะช่วยได้นั้น ก็จริงอยู่ แต่ต้องเข้าใจว่า ผู้บังคับบัญชาระดับสูงของเขาอยู่ไกล คือกรุงพนมเปญ เมื่อมีการนำตัวเข้าไปข้างในแล้วจึงลำบาก อยู่ที่ระยะเวลาดำเนินการ ถ้าทันก็ไม่มีปัญหา ฝ่ายไทยไม่ค่อยมีปัญหาเพราะติดต่อประสานงานกันเร็ว ทั้งนี้ อยากให้กำลังใจครอบครัว 7 คนไทย เป็นห่วงเป็นใยตั้งแต่วินาทีแรกที่ถูกจับ เป็นความรับผิดชอบของพวกเราอยู่แล้ว
ผู้สื่อข่าวถามว่า ศาลกัมพูชามีความพยายามยื้อเวลาในการพิจารณาคดี พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า เมื่อวานไต่สวน 7 คนตั้งแต่เช้ายันเย็น ซึ่งปกติเขาไม่ทำอยู่แล้ว จะทำวันละคนก็ได้ แต่นี่เขาทำ 7 คนในวันเดียว เท่าที่ทราบผู้บังคับบัญชาคุยกันแล้ว กระทรวงการต่างประเทศได้คุยกันแล้ว เขาก็บอกว่า ขอเวลาหน่อย จะทำตามขั้นตอนของเขาให้เรียบร้อยและ จะดูแลให้ เราก็รอฟัง ก็คงเหมือนกับศาลเรา เพราะฉะนั้น ถ้าเราไปก้าวก่ายมากๆ ศาลเขาคงไม่ชอบ ทั้งนี้กลุ่มที่จะออกมาเคลื่อนไหวถือเป็นสิทธิ ใครอยากแสดงออกก็ได้ ทุกคนก็รักประชาธิปไตย แต่ก็เตือนว่าถ้าทำแล้วไม่ดีก็ถูกมองจากสังคมโลก คนที่จะนำความเคลื่อนไหว หรือเดินขบวนก็ต้องมีเหตุมีผล ซึ่งไมได้หมายความว่าท่านผิดหรือถูก แต่ต้องพิสูจน์ในชั้นศาล ในคณะกรรมการปักปันเขตแดน
“แต่ถ้ามาเบลมว่าทหารไปกลัวคนโน้นคนนี้ ขอเรียนว่าทหารไปกลัวไม่ได้ ถ้าเป็นทหารแล้วกลัวก็ไม่ต้องเป็น ไม่มีใครบังคับท่านมาเป็นทหาร ท่านเลือกมาเป็นเอง ฉะนั้นอย่าไปกลัว หน้าที่ทหารคือ พิทักษ์ ปกป้อง แต่จะพิทักษ์อย่างไร ถ้าพื้นที่ชัดเจน มีอาณาเขตชัดเจน และมีกำลังพลบุกเข้ามาก็ต้องปะทะกัน ยิงกัน ถ้าไม่ชัดเจน เอาสนธิสัญญาฯ เอากฎหมายมาว่ากัน ที่ผ่านมาที่ชัดเจนเราจับผู้ลักลอบเข้ามาตั้งกี่หมื่นคน ติดคุกจนเลี้ยงไม่ไหว ไม่เช่นนั้นประเทศไทยไม่อยู่มาถึงตรงนี้ ถ้ามีคนไม่รักชาติ มีคนที่ไปรักคนอื่นมากกว่า เพื่อหวังประโยชน์ โยงกันไปโยงกันมา ปวดหัวตาย วุ่นวาย จากนี้ไปโน่น ไปเขาพระวิหาร ไปทะเล ให้เข้าใจว่าทหารทำหน้าที่อยู่แล้ว ถ้าท่านพูดถึงเขาไม่ดี เขาอยู่ชายแดน 7 กองกำลัง พลเรือน ตำรวจ ทหาร ก็เบื่อ ก็หมดสภาพ ไม่รู้ทำไปทำไม ที่ผ่านมาถามว่ามีใครมายึดประเทศไทยได้หรือยัง มีใครประกาศว่าตรงนี้ชัดเจนว่าเป็นของเขา แล้วจะเอาอะไรมายึด ไม่ว่าตรงไหนทุกอาณาเขตของประเทศไทย ใครเอากำลังทหารถืออาวุธมายึดคงไม่ได้ เพราะนโยบายชัดเจน ประเทศไทยเป็นรัฐเดียวแบ่งแยกมิได้ ทหารมีไว้เพื่อปกป้องแต่ต้องปกป้องในกฎหมายและรัฐธรรมนูญกำหนด แต่ก็มีกฎอื่นประกอบ แต่ดีที่สุดอย่ารบกันเลย” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว