“สุรพงษ์” โวย กมธ.แก้รัฐธรรมนูญ ชงตัด ส.ส.เขตเหลือ 375 ที่นั่ง ลดจำนวน ส.ส.เขตอีสาน-เหนือมากกว่าภาคใต้ ซัดไม่ยุติธรรม เล็งขอมติที่ประชุมเพื่อไทยให้เข้าโหวตในวาระ 2 และ 3 ยันหนุนแบบเดิม 400 ต่อ 100 หวังพรรคร่วมเห็นพ้องตบหน้าประชาธิปัตย์ - แย้มเล่นเรื่องแก้กฎมหาดไทยทำบัตรสมาร์ทการ์ดในเวทีซักฟอก
วันนี้ (5 ม.ค.) ที่รัฐสภา นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการแก้รัฐธรรมนูญ ซึ่งอยู่ในชั้นของคณะกรรมาธิการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับที่... พ.ศ. ... ที่มีนายเทอดพงษ์ ไชยนันทน์ ส.ส.สัดส่วนพรรคประชาธิปัตย์ เป็นประธาน ซึ่งได้ประชุมไปเมื่อวานนี้ (4 ม.ค.) โดยมี ส.ส.บางส่วนขอแปรญัตติในเรื่องของที่มา ส.ส.ทั้งหมด 500 คน ซึ่งจำนวน ส.ส.ระบบเขตเลือกตั้ง 400 คน และและ ส.ส.ระบบสัดส่วน 100 คน ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ 2540 ทั้งนี้ หากมีการเปลี่ยนแปลงสัดส่วน ส.ส.ตามที่คณะกรรมาธิการเสนอนั้นจะเป็นการตัด ส.ส.ระบบเขตเลือกตั้งออกไป จากเดิม 400 คนจะเหลือเพียง 375 คน ในพื้นที่ของภาคเหนือและภาคอีสาน ซึ่งมากกว่าภาคใต้ ตนจึงเห็นว่าไม่ยุติธรรม และเชื่อว่าตัวเลขดังกล่าวเป็นจำนวนที่รัฐบาลได้มีการพิจารณากันไว้อย่าง รอบคอบ
นายสุรพงษ์กล่าวต่อว่า ในการประชุมพรรคเพื่อไทยในครั้งต่อไป ตนจะเสนอในที่ประชุมพรรค ในการพิจารณาแก้รัฐธรรมนูญในวาระ 2 และ 3 ว่าเพื่อไทยจะไม่วอล์กเอาต์ และจะต้องร่วมโหวต ซึ่งตนเห็นด้วยกับสัดส่วน 400:100 ตามที่ ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลเสนอให้มีการแปรญัตติ
“เชื่อว่าหากไม่มีการเกี้ยเซี้ยกัน ส.ส.พรรคร่วมที่ขอแปรญัตติ รวมทั้ง ส.ว.จำนวนหนึ่งเห็นด้วยกับสัดส่วน 400 ต่อ 100 เราเชื่อว่าเราจะชนะโหวตในวาระ 2 ได้อย่างสบาย และถ้าหากเป็นไปตามนี้ก็จะเท่ากับว่าเป็นการตบหน้าพรรคประชิปัตย์ด้วย” นายสุรพงษ์กล่าว
นายสุรพงษ์ยังกล่าวอีกว่า การที่ ครม.มีมติเมื่อวันที่ 7 ธ.ค.53 ให้แก้ไขกฎกระทรวงมหาดไทย เพื่อที่จะทำให้ประชาชนได้ใช้บัตรประชาชนได้เร็วขึ้นนั้น ถือว่าเป็นการแก้กฎหมายเพื่อทำสิ่งผิดให้ถูก เพราะก่อนหน้านี้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ได้จ้างทำบัตรประชาชนมูลค่า 300 ล้านบาท แล้วส่งมอบให้กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทยแล้วส่วนหนึ่ง แต่กรมการปกครองพิจารณาบัตรแล้วปรากฏว่าผิดกฎกระทรวง ซึ่งเรื่องนี้นายกฯ ก็รู้ดีว่าบัตรผิดรูปแบบ และในวันที่ 1 ก.ค.53 ที่ผ่านมายังได้ทำหนังสือเสนอไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาให้พิจารณาด้วย และต่อมาในวันที่ 9 ก.ค.53 คุณพรทิพย์ จาละ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกายืนยันว่าผิดกฎกระทรวง และในวันเดียวกัน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ก็ทำหนังสือยืนยันรับทราบ ดังนั้น นายกฯ จะหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบไม่ได้ ซึ่งตนกำลังรวบรวมข้อมูลและจะหาโอกาสที่จะนำเรื่องนี้ไปในอภิปรายในสภาฯ
