xs
xsm
sm
md
lg

"ประสงค์" จวกรัฐเดินเกมอ่อน-ยันคนไทยทั้ง 7 ถูกจับแดนไทย สงสัย "มาร์ค-พนิช" รู้กัน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ประสงค์ สุ่นศิริ (แฟ้มภาพ)
"ประสงค์" จวกรัฐบาลอ่อนหัดเดินเกมเป็นรองเขมร บอกผิดหวังท่าทีไม่ตรวจสอบความจริง ถึงไม่รู้พื้นที่คนไทยทั้ง 7 ถูกจับกุมตัว แท้จริงเป็นดินแดนไทยที่ในอดีตเคยให้เขมรพักพิงตอนเกิดสงครามภายใน และปล่อยปละละเลยให้เขมรทึกทักว่าเป็นของตัวเอง โดยการที่คนไทยถูกจับกุมตัว สงสัย "มาร์ค-พนิช" รู้กัน หลัง "ฮุนเซน" เปิดไพ่ ออกแถลงการณ์แฉ "มาร์ค" อ้อนปล่อย "พนิช" ส่วนคนไทยอีก 6 ปล่อยตามยถากรรม



วันนี้ (4 ม.ค.) รายการสภาท่าพระอาทิตย์ ที่ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี ได้มีการต่อสายสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ อดีตเลขาสภาความมั่นคงแห่งชาติ ถึงกรณีทหารกัมพุชาจับกุมคนไทย 7 คน ในข้อหาบุกรุกดินแดน ว่า พื้นที่ดังกล่าวถ้าหากประชาชนทั่วไปดูจากข่าวที่ปรากฏ ไม่ว่าจะเป็นข่าวการถูกจับ หรือพยานบุคคลที่ไม่ได้ถูกจับ คือ พวกเขาไปทั้งหมด 10 คน แต่ถูกจับ 7 คน อีก 3 คนไม่ได้ถูกจับ ทำให้เราได้ข้อมูลมาว่า หลังจากเดินออกจากรถไปประมาณ 300 เมตร ก็ถูกทหารเขมรจับ และเรื่องนี้หากดูจากข่าวคราวต่างๆ หรือดูจากคลิป ตนคิดว่าในส่วนของคลิปอย่าไปเชื่อถืออะไรมาก เพราะไม่ได้ดูทั้งหมด

"ผมจะขอพูดตรงนี้ก่อนเลยว่า พื้นที่ที่ถูกจับตรงนี้ มันเป็นของใครกันแน่ ในฐานะที่ผมเคยอยู่สภาความมั่นคงแห่งชาติ แล้วเมื่อตอนเกิดเหตุการณ์ ถ้าหากจะจำได้ ในปี 2518-2519 จนถึง 2520 อินโดจีน 3 ประเทศ คือ ลาว เขมร เวียดนาม ตกเป็นของคอมมิวนิสต์หมดเลย เพราะฉะนั้น ในช่วงนั้น ในปี 2520 ผมเป็นผู้ช่วยเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ แล้วก็ พลอากาศเอก สิทธิ เศวตศิลา เป็นเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ซึ่งตอนนี้ท่านไปเป็นองคมนตรีไปแล้ว หน้าที่ของผมตอนนี้ต้องดูแลผู้อพยพผู้หลบหนีเข้าเมืองจากประเทศข้างเคียงทั้งหมด ดังนั้น ช่วงต่อในปี 2520 เขมรแดงสามารถยึดครองขับไล่รัฐบาลออกไป แล้วยึดกัมพูชาได้ทั้งหมด ตอนนั้นฮุนเซนก็ยังเป็นทหารเขมรแดงด้วย ทั้งนี้ สงครามดังกล่าว ทำให้คนเขมรที่อาศัยอยู่ในดินแดน ข้ามเข้ามาในเขตไทย จึงเกิดการอพยพของคนเขมร" น.ต.ประสงค์ กล่าว

น.ต.ประสงค์ กล่าวต่อว่า ในช่วงนั้น ตนได้ออกไปในพื้นที่ พร้อมกับนายทหารอีกหลายคน รวมทั้งได้มีผู้แทนของสำนักงานข้าหลวงใหญ่ของสหประชาชาติ ที่ดูแลเรื่องผู้ลี้ภัยเดินทางไปด้วย เพราะว่าเป็นปัญหาของผู้อพยพที่หนีสงครามมา ซึ่งเราได้ทำข้อตกลงกับสำนักงานข้าหลวงใหญ่ฯ โดยเราต้องให้ที่พักพิงกับผู้อพยพ

"การไหลทะลักของคนเขมรจำนวนมาก เราก็จัดหาหมู่บ้านให้อยู่ โดยให้อยู่แนวชายแดน แต่ลึกเข้ามาในเขตแดนไทย ซึ่งมีหลักเขตแดนที่ชัดเจน ตรงจุดที่เกิดเหตุการณ์ มันเป็นหลักเขตแดนที่ 46 ทั้งนี้ มันห่างจากถนนศรีเพ็ญ (สร้างที่หลังสมัยนั้น ห่างจากเขตแดน 5 กม.) มันไม่ได้อยู่ใกล้ๆกัน ในเมื่อยูเอ็น กับผมเข้าไปช่วยเหลือให้คนเขมรนั้น ผมยืนยันได้ว่าพื้นที่ดังกล่าวมันเป็นของไทย แล้วให้ผู้อพยพเข้ามาอยู่" น.ต.ประสงค์ กล่าว

น.ต.ประสงค์ กล่าวถึงรัฐบาลไทย ว่า รัฐบาลชุดนี้ รวมทั้งทหารที่ทำงานการเมืองอยู่กับรัฐบาล ควรจะตรวจสอบหลักฐาน ข้อเท็จจริง การบันทึกของกองกำลังทหารที่ปราจีนบุรี หรือไม่ก็ตรวจสอบกับ สำนักงานผู้ว่าการใหญ่แห่งสหประชาชาติเพื่อช่วยเหลือ ผู้ลี้ภัยสงคราม หรือ ยูเอ็นเอชซีอาร์ ว่าตอนนั้นเรายกพื้นที่ดังกล่าวให้แก่ผู้อพยพเขมรอยู่ ซึ่งมันลึกเข้ามาในเขตแดนไทย

"ไอ้หลักเขตแดนดังกล่าว มันไม่เหมือนสันปันน้ำเหมือนกรณีเขาพระวิหาร มันมีหลักเขต แต่หลักเขตมันอาจจะหลุด มันอาจจะหาย หรือถูกรื้อออกไปจากการตัดไม้ทำลายป่า เพราะฉะนั้น ต้องมาสำรวจกันใหม่ แต่ประเด็นที่สำคัญมันเกิดขึ้นในหลักเขตแดน 46 ที่มีการระบุไว้อย่างชัดเจน" น.ต.ประสงค์ กล่าว

น.ต.ประสงค์ กล่าวถึงรัฐบาล ว่า ตนอยากเรียนว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี หรือจะเป็นนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง หรือจะเป็น พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ตนเชื่อว่าคนเหล่านี้ พูดเร็วเกินไป บุคคลดังกล่าวไม่เคยเห็นพื้นที่ดังกล่าวมาก่อน และนอกจากนี้ ในช่วงที่เกิดเหตุการณ์ไปตั้งหมู่บ้านที่อพยพชาวเขมร นายอภิสิทธิ์ เพิ่งอายุ 12 ปี เท่านั้น ดังนั้นจะรู้เรื่องอะไร ส่วนนายสุเทพ ตอนนั้นอยู่ไหนก็ไม่รู้

"ผมรู้สึกเสียใจในฐานะที่เป็นคนไทยคนหนึ่ง พูดออกมาในทันทีหลังจากวันที่ 29 ธ.ค. คน 7 คนถูกจับ ประมาณก่อนเที่ยง พอบ่ายหน่อย ไม่กี่ชั่วโมง บอกว่ารุกล้ำดินแดนเขมร และในข้อมูลที่ว่าเป็นของเขมร ก็อาจมาจากคุณพนิช ที่โทรศัพท์เข้ามาถึงเลขาฯของตัวเอง แล้วให้ไปบอกเลขาฯคุณอภิสิทธิ์ ว่าเข้ามาในเขมรแล้ว คุณพนิชเคยไปที่ไหน ไอ้การที่มีหมู่บ้านอพยพแล้วตอนนั้น เราก็ไปตั้งรั้วลวดหนามกันไม่ให้ผู้อพยพเหล่านี้บุกรุกพื้นที่ไทยไปมากกว่านี้ ดังนั้น ในเรื่องแบบนี้ ผมรู้สึกว่าเรามีรัฐบาลที่ ไม่อยากจะใช้คำที่รุนแรง แต่อยากจะบอกว่าอ่อนแอเกินไป ไม่รู้เรื่องอะไรก็พูดตามกัน ผลเสียมันเกิดกับประเทศไทยหลายอย่าง รวมทั้งทำให้คน 7 คนเดือดร้อน" น.ต.ประสงค์ กล่าว

น.ต.ประสงค์ กล่าวอีกว่า ตนมีข้อสงสัย นายพนิช ตอนที่โทรศัพท์มาหาเลขาฯ ตัวเอง เพื่อให้โทรศัพท์หาเลขาฯ นายกฯ ที่ให้บอกว่าเข้าเขมรแล้ว แสดงว่านายอภิสิทธิ์ กับนายพนิช รู้เรื่องกันดี ตนสงสัยหลายประเด็น ประเด็นแรก เขาสองคนรู้เรื่องอะไรกัน และอีกประเด็น หลังจากที่คน 7 คนถูกจับแล้ว สมเด็จฮุนเซน ได้ออกแถลงการณ์ในวันที่ 29 ธ.ค. ว่านายอภิสิทธิ์ขอร้องให้ปล่อยตัวนายพนิชออกมา ส่วนอีก 6 คนที่เป็นพลเรือนและชาวบ้านคนไทย นายอภิสิทธิ์ ไม่ขอเขาเลย

"มันทำให้ผมนั่งคิดว่านี่มันอะไรกันเนี่ย คุณอภิสิทธิ์ ถึงขอแค่คุณพนิช ส่วนคนไทยคนอื่น คุณไม่เอาใจเขาหรืออย่างไร คุณเอาใจใส่เฉพาะคุณพนิช หรือคุณมีอะไรกันอยู่ หรือตกลงอะไรกัน ผมกำลังติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดว่ามันเป็นอะไรกัน โดยสรุปแล้ว ผมกล้าที่จะยืนยันว่าคน 7 คนถูกจับในแดนไทย เพราะพื้นที่นี้เป็นหมู่บ้านที่เราให้คนเขมรมาหลบภัย 2 ครั้ง คนเหล่านี้เข้ามาอาศัยและหลบภัยอยู่บ้านเรา แล้วก็ปล่อยปละไปเรื่อย ผมคิดว่าเราต้องตรวจสอบ ว่าทำไมคนเหล่านี้ยังอยู่ ผมถึงเสียใจมากที่เรามีรัฐบาลแบบนี้ เพราะอาจจะทำให้เราเสียเปรียบระหว่างประเทศหลายอย่าง" น.ต.ประสงค์ กล่าว

น.ต.ประสงค์ กล่าวถึงบทบาทรัฐบาลไทยอีกว่า ความจริงแล้วในวันนั้น ถ้าหากเรามีผู้นำที่มีความเข้มแข็งเด็ดขาด ไม่อ่อนแอแบบนี้ เขมรที่เข้ามาจับคนไทย 7 คน รัฐบาลต้องติดต่อไปเลยหรือบอกไปเลยว่า หากไม่ปล่อยตัวคนไทยตามเวลาที่กำหนด เราจะดำเนินการมาตรการบางอย่าง และขณะเดียวกันต้องสั่งทหารหรือตำรวจเข้าพื้นที่ดังกล่าวแล้ว ไม่ใช่มาเจรจาทางการทูตอย่างเดียว แล้วให้ทหารนอนหลับเฉยๆ ตนคิดว่าการบริหารบ้านเมืองแบบนี้ไม่น่าไว้วางใจ

"รัฐบาลบอกว่าจะเจรจาโดยใช้การทูต แต่ทางทหารไม่ใช่ จริงๆแล้วมันต้องทำควบคู่กันไป ทำไมไม่ปรึกษากันดีๆ ระหว่างทหารกับรัฐบาล ผมคิดว่าเขมร ผมไม่เคยไว้วางใจเลย โดยเฉพาะนายฮุนเซน บางสิ่งบางอย่างตอนนี้สำหรับรัฐบาลไทยไม่สายเกินไป หากรัฐบาลจะใช้มาตรการทางการทหารควบคู่กันไปด้วย" น.ต.ประสงค์ กล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น