โฆษกมาร์ค “มาร์ค” สวนหมัดเพื่อไทย ฟาดหัวฟาดหาง โดดหนีประชุมสภา ไปทำตัวเป็นกุ๊ยข้างถนน สงสัยจุดยืนที่ชัดเจนอย่าทำตัวเป็นแก๊งการเมือง ท้าให้ใช้สิทธิตามระบอบรัฐสภา ยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ อัด “อภิวันท์” ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ อ้างราชองครักษ์คุ้มกะลาแดงถ่อย แถมเมาหมัดขึ้นเวทีผิด กระดากปากท่านประธานที่เคารพ เย้ยอนาคตอาจได้เป็นนายกฯ รัฐไทยใหม่ของพ่อแม้ว
วันนี้ (24 มี.ค.) นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ ส.ส.พรรคเพื่อไทย ไม่เข้าร่วมการประชุมสภา ว่า ไม่ทราบจุดยืนของพรรคพื่อไทยในทางการเมืองว่าเป็นอย่างไร เพราะพรรคการเมืองนี้ ไม่มีเอกภาพ และจุดยืนทางการเมืองที่ชัดเจน ไม่แน่ใจว่า ยังดำรงสภาพความเป็นพรรคการเมือง หรือแก๊งการเมือง กันแน่ เพราะหลายครั้งที่มี ส.ส.ของพรรคออกมาแสดงความเห็นทางการเมือง แต่ก็ไม่มีผลในทางปฏิบัติ แต่ละกลุ่มภายในพรรคดังกล่าวต่างออกมาปฏิเสธขัดขากันเอง ว่า ไม่ใช่มติของพรรค ตั้งแต่กรณี นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน และแกนนำ นปช.ที่เสนอให้ ส.ส.พรรคเพื่อไทยทั้งหมดลาออกจากการเป็น ส.ส.แต่ก็ไม่มีใครกล้าลาออก แต่กลับอ้างเหตุผลข้างๆ คูๆ แต่ก็อยู่กอดเก้าอี้ ส.ส.ต่อไป และกรณีที่ นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญากุล ส.ส.แพร่ ออกมาประกาศว่า ส.ส.พรรคเพื่อไทยทั้งหมด จะบอยคอตไม่ร่วมสังฆกรรมประชุมสภาตลอดไป แต่เมื่อถูกกระแสสังคมวิจารณ์ ว่า ถ้าไม่ทำหน้าที่ก็ไม่ควรรับเงินเดือนที่เป็นภาษีของประชาชน จนกรรมการบริหารพรรคต้องออกมาแก้ตัวเป็นพัลวันว่าไม่ใช่มติพรรค
“อยากถามว่า วันนี้ที่มี ส.ส.พรรคเพื่อไทย ส่วนใหญ่ ไม่เข้าทำหน้าที่ในสภา ถือเป็นมติหรือจุดยืนของพรรคหรือไม่ ถ้าเป็นมติของพรรคก็อยากถามว่า เป็นมติที่ชอบธรรมหรือไม่ เพราะการเป็น ส.ส.ต้องทำหน้าที่ในสภา แต่ ส.ส.พรรคเพื่อไทยส่วนใหญ่กลับหนีสภาไปขึ้นเวทีข้างถนนของ นปช.ปราศรัยโจมตีรัฐบาล แบบพูดฝ่ายเดียว ทั้งที่เวทีในสภาก็เปิดโอกาสให้ ส.ส.เหล่านี้ใช้สิทธิได้เต็มที่ และรัฐบาลก็มีสิทธิชี้แจงข้อเท็จจริงได้ ไม่ใช่ชกข้างถนนฝ่ายเดียว หรือจะเป็นเพราะว่า ส.ส.ฝ่ายค้าน พูดความจริงเพียงครึ่งเดียวแล้วกลัวรัฐบาลโต้กลับด้วยความจริงทั้งหมด จึงไปเล่นเวทีข้างถนน จึงขอเรียกร้องให้ ส.ส.พรรคเพื่อไทยกลับใช้เวทีสภาตรวจสอบรัฐบาล โดยเฉพาะการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ซึ่งถือเป็นมาตรการขั้นประหารชีวิตทางการเมือง แต่พรรคเพื่อไทยกลับไม่ใช้สิทธิดังกล่าวตามกฎหมาย”
นายเทพไท กล่าวต่อว่า ส่วนที่มี ส.ส.ส่วนหนึ่งไปรวมตัวข้างถนน ขัดขวางเพื่อน ส.ส.ที่จะเข้าสภา ใช้เครื่องขยายเสียงส่งเสียงเอะอะโวยวายในเขตพระราชฐาน ไม่ต่างอะไรกับพวกเกี๊ยวกุ้ยข้างถนน ซึ่งส่วนใหญ่ต่างเป็น ส.ส.อาวุโส ของพรรคเพื่อไทยทั้งสิ้น แต่นก็ขอชื่นชมสปิริตของนักการเมืองหน้าใหม่ อย่าง นายนที สุทินเผือก ส.ส.สมุทรปราการ และ นายประยุทธ ศิริพานิช ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ที่เพิ่งได้รับเลือกตั้งเข้ามาได้ทำหน้าที่ของ ส.ส.อย่างเต็มภาคภูมิที่สมควรได้รับการยกย่อง ต่างกับ พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย ซึ่งเป็นทั้ง ส.ส.นนทบุรี และรองประธานสภาอีกตำแหน่ง กลับหนีการประชุมไม่มาทำหน้าที่บนบังลังก์ แต่กลับกระโดดขึ้นเวทีคนเสื้อแดงปราศรัยโจมตีประธานองคมนตรี นายกรัฐมนตรี และพรรคประชาธิปัตย์ ด้วยถ้อยคำผรุสวาทอย่างหยาบคายและรุนแรง ไม่เหมาะสมกับตำแหน่งดังกล่าว ถือว่าเป็นการวางตัวที่เลือกข้างทางการเมืองชัดเจนแล้ว
“ขอถามว่า พ.อ.อภิวันท์ ยังมีน้ำหน้าจะขึ้นมานั่งบนบังลังก์ทำหน้าที่ประธานสภา ให้ ส.ส.กล่าวคำว่า “ท่านประธานที่เคารพ” อีกต่อไปได้หรือไม่ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการกล่าวปราศรัยตอนหนึ่งที่เหิมเกริมอ้างอิงสถาบัน ว่า นายทหารราชองครักษ์ของพระบรมวงศานุวงศ์พระองค์หนึ่ง ที่ พ.อ.อภิวันท์ กล้าเอ่ยถึงพระนามอย่างชัดเจนว่า ได้มาเยี่ยมเยียนการชุมนุมของคนเสื้อแดง ทำให้ตนมั่นใจว่า รัฐบาลจะไม่กล้าใช้กำลังปราบปรามกลุ่มคนเสื้อแดง ถือได้ว่าเป็นการนำเอาสถาบันเบื้องสูงมาเป็นเกราะป้องกันและเครื่องมือทางการเมืองให้กลุ่มของตัวเองเป็นเรื่องบังควรหรือไม่ คนอย่างนี้รู้จักฟ้าสูง แผ่นดินต่ำหรือไม่”
นายเทพไท กล่าวต่อว่า หลังจากที่ พ.อ.อภิวันท์ กล่าวจบแล้ว นายวีระ มุสิกพงศ์ ประธาน นปช.ได้ขึ้นมากล่าวชื่นชมสดุดี พ.อ.อภิวันท์ และ นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ช่วงขึ้นเวทีปราศรัยก่อนหน้านี้แล้ววว่า เป็นคนสำคัญที่มีอนาคตก้าวไกลถึงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแน่นอน จึงขอให้สังคมไทยจับตามองว่าคนที่มีพฤติกรรมจาบจ้วง ก้าวร้าว เช่นนี้จะมาเป็นนายกรัฐมนตรีของไทยได้หรือไม่ ตนคิดว่า ถ้าจะเป็นได้ก็แค่นายกรัฐมนตรีของรัฐไทยใหม่ ที่ลิ่วล้อของ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ประกาศสถาปนาไว้เท่านั้น