xs
xsm
sm
md
lg

ถึงเวลาสังคมต้องเลือกดี-ชั่วไม่มีเป็นกลาง!!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“ผ่าประเด็นร้อน”

นาทีนี้ไม่ต้องพูดกันมากแล้วน่าจะรู้กันดีว่าใครนิสัยอย่างไร ใครดีใครชั่ว ทำร้ายบ้านเมือง และกำลังทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการโดยไม่สนใจว่าคนที่อยู่ข้างหลังจะต้องมีชะตากรรมหรือฉิบหายวายป่วงอย่างไร

นาทีนี้สังคมน่าจะตัดสินใจได้แล้วว่า ทักษิณ ชินวัตร เป็นคนอย่างไร ดี หรือ ชั่ว!!


อย่างไรก็ดี ยังมีบางคนยังลังเล เนื่องจากยังไม่มีสติปัญญาแยกแยะอะไรได้ด้วยตัวเองมากนัก หรือฟังแต่ข้อมูลกรอกหูจากฝ่ายทักษิณ และคนเสื้อแดงที่กรอกหูแต่เรื่องเท็จ บิดเบือนโกหกซ้ำๆจนหลงคิดไปว่าเป็นเรื่องจริง หรือฟังข้อมูลจากสื่อประเภทที่หลับหูหลับตา “เป็นกลาง” โดยอ้างว่าต้องฟังทุกฝ่าย เช่น ให้ฝ่ายทักษิณ-เสื้อแดงพูดที รัฐบาลพูดที นักวิชาการพูดทีจนทำให้ชาวบ้านสับสนเวียนหัวไม่รู้ว่าฝ่ายไหนพูดจริงพูดเท็จ จนทำให้ปัญหาลุกลามมาจนถึงบัดนี้

แม้ว่าในหลักการอาจจะใช้ได้ แต่ในสภาพที่บ้านเมืองกำลังวุ่นวายกำลังต่อสู้กับมหาโจรเจ้าเล่ห์มีทุกอย่างพร้อมสรรพ แทนที่จะชี้ถูกชี้ผิดให้สังคมได้รับรู้ว่าความถูกต้องอยู่ตรงไหน เพื่อคลายความสับสน ตรงกันข้ามกลับยิ่งทำให้เข้าใจผิดมากขึ้นไปอีก

ความเป็นกลางบางครั้งอาจใช้ดีกับสังคมที่ผ่านประสบการณ์การเรียนรู้ และสามารถรับข้อมูลได้อย่างเปิดกว้างและมีบรรยากาศประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ไม่ใช่จอมปลอมที่เน้นแต่เฉพาะการเลือกตั้งและ มีสภาเป็นสัญลักษณ์เท่านั้น

สำหรับพฤติกรรมและคำพูด ทักษิณ นั้นมาถึงวันนี้ทุกฝ่ายที่ติดตามการเคลื่อนไหวแบบรู้ทันมาตั้งแต่ต้นน่าจะเข้าดีแล้วว่าเจตนาที่แท้จริงของเขาต้องการสิ่งใด หากไม่ใช่ต้องการทรัพย์สินที่ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษายึดไปจำนวน 4.63 หมื่นล้านบาทเมื่อวันที่ 26 ก.พ.ที่ผ่านมา ต้องการให้นิรโทษกรรมความผิดทั้งหมด และยังรวมไปถึงต้องการกลับมามีอำนาจอีกรอบเท่านั้น

ที่ผ่านมาเขามักจะหยิบยกเอาประเด็นประชาธิปไตยมาแอบอ้าง โดยอ้างว่าตัวเองและพรรคไทยรักไทยในขณะนั้นมาจากการเลือกตั้ง ทั้งที่เมื่อวันที่ 30 พ.ค.2550 ศาลรัฐธรรมนูญได้พิพากษายุบพรรคไทยรักไทย และตัดสิทธิ์ทางการเมืองกรรมการบริหารรวม 111 คน ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ ทักษิณ โดยเหตุผลในคำพิพากษาระบุว่า พรรคไทยรักไทยภายใต้การนำของของเขาเป็นภัยต่อความมั่นคงและเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข

ต่อมาเมื่อถูกดำเนินคดีในข้อทุจริตมากมายหลายคดี และที่ผ่านมาเห็นว่าพรรคพลังประชาชนของตัวเองที่เซ้งมาใหม่หลังจากพรรคไทยรักไทยถูกยุบชนะการเลือกตั้งได้เป็นรัฐบาลและกุมอำนาจรัฐก็กลับเข้าประเทศก้มลงกราบแผ่นดินอีกครั้งมาสู้คดีในคดีทุจริตการซื้อที่ดินรัชดาภิเษก แต่เมื่อเห็นท่าไม่ดีเห็นว่าไม่สามารถแก้ต่างให้รอดพ้นความผิดไปได้จึงต้องเผ่นหนีอีกครั้งและเมื่อถูกศาลตัดสินจำคุก 2 ปี ก็โจมตีศาลว่าเป็นกระบวนการ “ยุติความเป็นธรรม” และก่อนหน้านั้นก็มีความพยายามติดสินบนศาล ซึ่งหากจำกันได้ก็คือกรณี “ถุงขนม 2 ล้าน” และทนายความของเขาก็ถูกสั่งจำคุกไป 6 เดือน และถูกถอนใบอนุญาตวิชาชีพชั่วคราว

ขณะเดียวกัน หลังจากถูกศาลจำคุกเป็นเวลา 2 ปี นอกจากเขาไม่ยอมรับในคำพิพากษาเฉกเช่นคนอื่นแล้ว ยังมีการกล่าวหา บิดเบือนต่างๆนานา เช่น เช่น บอกว่า “ผัวเซ็นชื่อ เมียซื้อ” ทำไมต้องมีความผิดและถูกจำคุกด้วย กล่าวทำนองว่าไม่ได้รับความยุติธรรม ทั้งที่ในความเป็นจริงมีข้อกฎหมายห้ามไม่ให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองไปมีผลประโยชน์ทับซ้อน ซึ่งขณะนั้น ทักษิณ เป็นนายกฯ และเป็นประธานกองทุนฟื้นฟูฯโดยตำแหน่ง ซึ่งถือว่าผิดกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวกับกฎหมาย ป.ป.ช.มาตรา 100 ขณะที่ พจมาน ชินวัตร(ในขณะนั้น) ไม่ได้เป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง กฎหมายไม่ได้ครอบคลุมจึงไม่ต้องได้รับความผิด

ล่าสุด เมื่อถูกศาลฎีกาฯ พิพากษายึดทรัพย์จำนวน 4.63 หมื่นล้านบาทก็กล่าวหาบิดเบือน “ถูกปล้น” และกล่าวหาว่าศาลถูก “ชักใย” ทั้งที่ผ่านมาตัวเองได้มีการใช้ทีมทนายความและพยานจำนวนมากเข้ามาเบิกความต่อสู้คดีอย่างเต็มที่แต่ฟังไม่ขึ้น และศาลก็ตัดสินไปตามพยายนหลักฐานและจากการใต่สวนหาข้อเท็จจริงตามขั้นตอนก่อนที่ตัดสินยึดทรัพย์ ซึ่งก่อนหน้านี้ ทักษิณ ก็ยังยืนยันกับปากเองว่าจะยอมรับในคำตัดสิน แต่เมื่อผลออกมาเป็นตรงกันข้ามก็คลุ้มคลั่งโวยวาย

นอกจากนี้ สิ่งที่ ทักษิณ กับพวกมักชอบนำมาอ้างก็คือรัฐบาลที่นำโดย อภิสิทธิ์ ไม่ชอบธรรม ไม่เป็นประชาธิปไตย ทั้งที่โดยข้อเท็จจริงก็เป็นสภาชุดเดียวกัน กับที่โหวตเลือก สมัคร สุนทรเวช และสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายกฯ “หุ่นเชิด” ไปก่อนหน้า แต่พอเปลี่ยนมาเป็น อภิสิทธิ์ ก็ดันบอกไม่เป็นประชาธิปไตย ทั้งที่พรรคเพื่อไทยก็ดันเสนอชื่อ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก จากพรรคเพื่อแผ่นดิน ที่ผ่าซีกเหลือ ส.ส.ไม่ถึง 15 เสียงมาร่วมยกมือให้แต่ก็แพ้

แม้ว่าในการเจรจาก่อนการฟอร์มรัฐบาลอาจจมีแท็กติกลูกเล่น หรือมีสีเขียวมาร่วมกดดันก็ตาม แต่ทุกอย่างก็ต้องผ่านสภาที่ตัวเองก็เข้าร่วมในการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญปี 2550 มาจนถึงเข้าไปโหวตเลือกนายกฯ ซึ่งรังเกียจรัฐธรรมนูญ รวมไปถึงเห็นว่าการการเลือกนายกฯคนปัจจุบันมาโดยมิชอบ ซึ่งหากมีความเห็นอย่างนั้นทำไม่ไม่บอยคอตตั้งแต่แรกเพื่อยืนหยัดในหลักการ แต่นี่กลับไปโหวตแข่งกับเขาเนื่องจากมั่นใจว่าจะชนะ พอแพ้ก็มาพาลโวยวายว่าไม่เป็นประชาธิปไตย

ทักษิณ เป็นหัวหน้าขบวนการ “ล้มเจ้า” ตัวจริง ที่ผ่านมามีทั้งคำพูดและพฤติกรรมมีเจตนาจาบจ้วงให้ร้ายและไม่เคารพสถาบันพระมหากษัตริย์ มีปรากฏเป็นหลักฐานให้เห็นชัดเจน และในการชุมนุมของคนเสื้อแดงในสังกัดของเขาก็มีเจตนาที่ต้องการข่มขู่หรือยั่วยุในเชิงสัญลักษณ์อย่างจงใจ เช่น การมีแผนการให้ผู้ชุมนุมบางส่วนล่องเรือมาขึ้นที่ “ท่าพระจันทร์” ที่อยู่ติดกับโรงพยาบาลศิริราช ขณะที่พระเจ้าอยู่หัวทรงประทับอยู่ที่นั่น

และที่น่าสังเกตก็คือ ก่อนการชุมนุมใหญ่ของคนเสื้อแดงและมีสัญญาณว่าจะเกิดเหตุรุนแรงทุกครั้ง คนในครอบครัวของเขาทั้งลูกและเมียรวมไปถึงญาติพี่น้องใกล้ชิดต่างเดินทางออกนอกประเทศเพื่อเอาตัวรอดทุกครั้งไม่ว่าจะเป็นช่วงเดือนเมษายน และในการชุมนุมที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันนี้ (12 มี.ค.) สวนทางกับกับพูดที่บอกว่าสู้เพื่อความยุติธรรมและประชาธิปไตย และยึดแนวทางอหิงสา ยึดแนวทางมหาตมคานธี แต่กลับแอบอยู่ในที่ปลอดภัย ยุให้ชาวบ้านที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ออกมารับกรรม

ดังนั้น เมื่อไล่เรียงมาตั้งแต่ต้นและเลือกมาเท่าที่จำได้ ก็น่าจะตัดสินใจได้แล้วว่า ทักษิณ ชินวัตร ดีหรือเลวอย่างไร เมื่อได้คำตอบแล้วก็สมควรเลือกว่าจะยืนข้างไหน เพราะในกรณีนี้ไม่มีคำว่า “เป็นกลาง” เป็นอันขาด!!
กำลังโหลดความคิดเห็น