วงเสวนาพรรคการเมืองใหม่ นักวิชาการกังขาอดีตคนเดือนตุลา เสนาธิการตัวจริง “นช.แม้ว” กบดานผิดปกติ หวั่นจ้องหาจังหวะจุดชนวนสงครามประชาชน อดีต ส.ว.แนะรัฐบาลระวังประชาชนทนไม่ได้ปะทะแก๊งคนเสื้อแดงแล้วจะเอาไม่อยู่ “สุริยะใส” ปูดเสื้อแดงจ้่างคนว่างงานไปบวชเพื่อให้มาร่วมก่อม็อบป่วน เย้ยม็อบแดงแค่จัดฉากสร้างภาพ เหตุ 3 แนวร่วมแตกยับ
ที่พรรคการเมืองใหม่ (ก.ม.ม.) ถนนพระสุเมรุ ย่านสะพานวันชาติ วันนี้มีการจัดสัมมนาเวทีประชาชนกำหนด (Pepople Forum) ครั้งที่ 7 หัวข้อ “การเมืองไทยข้ามให้พ้นทักษิณได้อย่างไร” มีผู้ร่วมสัมมนาประกอบด้วย นายพิเชฏฐ พัฒนโชติ อดีตรองประธานวุฒิสภา นายสุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการพรรคการเมืองใหม่ รศ.นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนายเธียรธรรม เธียรสิริไชย คนเดือนตุลา คณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต
นายพิเชฏฐกล่าวว่า สถานการณ์การเมืองที่เกิดขึ้นในเดือนเมษายน 2552 กับสถานการณ์ที่จะเกิดในวันที่ 13-14 มี.ค.นี้ มีความแตกต่างในเรื่องของการทำงานของรัฐบาล ประกอบกับประชาชนก็มีบทบาทมากขึ้นจากโพลทุกโพลที่เกิดขึ้นก็เห็นได้ชัดว่าประชาชนตื่นตัวกับสถานการณ์ ขณะที่การประกาศกฎหมายแต่ละฉบับของรัฐก็เป็นเพียงเครื่องมือเพื่อรองรับสถานการณ์เท่านั้น
ทั้งนี้เห็นว่า บทบาทของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในขณะนี้ตกต่ำที่สุด ถ้าจะกลับมาจากดูไบก็จะเป็นเพียงสุขาของคนไทย เหมือนกับกรณีของ “ตั๋งโต๊ะ” ในสามก๊ก ที่ถูกประชาชนบ้วนน้ำลายใส่ ดังนั้นอย่าว่าจะกลับมาอย่างพ้นผิดก็คงจะยาก
นายพิเชฏฐกล่าวว่า รูปบแบบที่คนเสื้อแดงต่อสู้ใน 3-4 วันนี้ จะเป็นครั้งสุดท้ายตามที่อดีตนายกฯประกาศ เพราะจากการต่อสู้ในกระบวนการรัฐสภาและกระบวนการยุติธรรม ที่เขาใช้ความพยายามหลายครั้งทั้งที่เปิดเผยและไม่เปิดเผยไม่ประสบผล ดังนั้นการต่อสู้ครั้งนี้เชื่อว่า จะออกมาเจ๊งและล้มเหลว
“เที่ยวนี้คนเสื้อแดงที่ออกมาจากต่างจังหวัด สิ่งที่ผมเป็นห่วงที่จะมากกว่าทหารออกมาปราบปราม คือ ความขัดแย้งระหว่างเสื้อแดงกับประชาชนทั่วไป อำนาจรัฐและทหารจะเข้าไปจัดการยาก หรือวิธีการใช้รถยนต์แสนคัน เชื่อว่าเป็นวิธีที่ผิดพลาด เพราะรถที่เข้ามาใน กทม.ก็ติดกันอยู่แล้ว หากปิดถนน 3 วันเมื่อไหร่ ถามว่าหากคนจะออกจากบ้าน มีนัดหมายส่วนตัว และไม่ได้ไป เขาออกมาข้างนอกบ้านมาเจอม็อบเสื้อแดง ในอารมณ์ที่เต็มที่ คุยกันไม่รู้เรื่องจะเกิดปัญหา หากมีการตีกัน 1-2 ที่ เชื่อว่าจะลามไปทั่ว จนเป็นการป้องกันที่ยากที่สุด”
ด้าน นายเธียรธรรมกล่าวว่า ที่ผ่านมา พ.ต.ท.ทักษิณ ให้ความหวังกับทหารส่วนหนึ่งที่หวังจะทำกรณีพิเศษให้กับเขา แต่ทหารส่วนนี้ก็คงไม่กล้าเสี่ยง เพราะทหารเหล่านี้เริ่มเข้าสู่ระบบ ดังนั้น กองกำลังเหล่านี้เชื่อว่าคงไม่มี ขณะที่กองกำลังซึ่งตนเป็นห่วง และอาจจะเกิดในวันที่ 14-15 มี.ค. กลุ่มคนที่ตนเคยรู้จักจะปรากฏตัว เพราะคนอย่าง พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ.แดง ก็คงเป็นกลุ่มที่มีกำลังไม่จริง
“ผมเป็นห่วงคนที่มีกำลังจริงๆ เงียบหายไปไหน ผมไม่เห็นหน้าหรือเห็นข่าว คนอย่างนายภูมิธรรม (เวชยชัย) หมอมิ้ง(นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช) หรือนายเกรียงกมล (เลาหะไพโรจน์) ที่เป็นนักวางแผน เป็นเสนาธิการให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ พวกนี้กลับเงียบ คนเหล่านี้เราอ่านใจเขาไม่ถูก แต่เรารู้ใจรู้ทางกันว่า สงครามประชาชนจะเป็นเรื่องที่เขาหวัง เขาไม่หวังพึ่งทหาร อย่างไรก็ตาม การสร้างสถานการณ์ เพื่อนำไปสู่การเพี่ยงพล้ำของรัฐบาลเพียงนิดเดียว เพื่อที่เขาต้องการให้นำไปสู่สงครามประชาชน”
นายเธียรธรรมกล่าวว่า เขาต้องการดูว่าใครจะเริ่มก่อน โดยจะมีคนยั่วยุให้เกิดความปั่นป่วน ไม่ใช้กองกำลัง แต่จะเป็นคนที่เขาจัดไว้อย่างเป็นระบบ คนเหล่านี้เคยปกป้องคุ้มครองพรรคไทยรักไทย ปกป้องคุ้มครอง พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน เป็นคนที่ฝึกการทำงานใต้ดินมาทั้งหมด ตนจึงเชื่อว่าคนพวกนี้จะถูกนำมาใช้ เช่นเดียวกับการปกป้องชาวนาชาวไร่ในอดีตในช่วงการต่อสู้กับทหารในอดีต
ทั้งนี้ เชื่อว่าคนเสื้อแดงเขาก็ไม่ต้องการรัฐประหารจากทหาร เขาต้องการให้เกิดสงครามประชาชน เพราะทหารที่รัฐประหาร จะอ้างเพื่อจัดการกับพวกป่วนเมือง แต่จะถูกโยงไปว่าไม่มีความชอบธรรมที่จัดการกับรัฐบาลที่มาจากความชอบธรรม ดังนั้น ถ้าทหารออกมาคนเสื้อแดงก็จะถือโอกาสออกมาขย่ม ก็จะกลายว่าไปเข้าทาง พ.ต.ท.ทักษิณที่ต้องการความยืดเยื้อ
นายเธียรธรรมกล่าวว่า การยับยั้งสถานการณ์ครั้งนี้ ตนไม่มั่นใจว่านายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงได้เตรียมการเท่าไร เพราะถ้าไปจัดการด้วยความรุนแรงหรือด้วยความไม่ถูกต้อง ก็จะกลายเป็นการเชื่อมต่อที่จะปลุกปั่นได้มากขึ้นอีก โดยเฉพาะในพื้นที่ จ.สมุทรปราการ จ.สมุทสาคร จะมีการเรียกกำลังเพิ่มได้อีกมาก ดังนั้นฉากแรกของคนเสื้อแดงก็คือละคร ฉากที่สองคือการต่อสู้เพื่อให้ดูว่าใครเพียงพล้ำ ฉากที่สามคือ จะเกิดการเรียกก๊อกสองออกมา
นายเธียรธรรมกล่าวว่า ขณะที่การเมืองไทยจะข้ามให้พ้น พ.ต.ท.ทักษิณได้อย่างไรนั้น อยู่ที่นักการเมือง โดยเฉพาะการให้ความเป็นธรรมในชนบท จะทำได้โดยใคร เนื่องจากรัฐบาลขณะนี้ก็ไม่สามารถเดินทางไปต่างจังหวัดได้ ขณะเดียวกันก็ไม่สามารถที่จะแก้ไขปัญหาต่างๆได้ การรักษาความสงบก็เป็นเพียงชั่วคราว ขณะเดียวกันการที่ไม่มีนโยบายที่โดดเด่น จึงไม่ได้ให้ความหวังที่จะเข้าไปสู่ใจประชาชน โดยการมองข้าม พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะขณะนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ถูกมองเป็นหัวหน้าซาตาน เป็นเพียงตัวอย่างสมมติ
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าไม่ใช่ครั้งสุดท้ายในการต่อสู้กับซาตานนักการเมือง เชื่อว่า หากมองแนวรบของนักการเมือง เช่น 1.กลุ่มนักวิชาการที่พูดเพื่อความเปลี่ยนแปลง 2.กลุ่มคนที่ทำเพื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ และพร้อมที่จะกลับมาทำงานให้กับคนใหม่หรือการต่อสู้ครั้งใหม่ เชื่อว่าจะยังมีทักษิณ 2, 3, 4, 5 อยู่ หากนักการเมืองหวังเพียงเพื่อประโยชน์ส่วนตัวยังอยู่
“หากนักการเมือง ยังพร้อมที่จะสร้างหัวหน้าตัวใหม่เข้ามาทดแทน และพร้อมที่จะเข้ามาร่วมมืออีก หากมีใครที่แตกต่างจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ก็มีความเป็นไปได้ ตนมองพวกนี้ยังหวังที่จะเอาเงินนำหน้า เพราะเครือข่ายเหล่านี้ยังดำรงอยู่ ที่ถือเป็นธรรมชาติของนักการเมืองว่า เมื่อเรียกแล้งเงินต้องมาถึงจะมีการต่อสู้”
นายสุริยะใสกล่าวว่า การต่อสู้ของคนเสื้อแดงขณะนี้ ถึงขั้นมีการจ้างวานชาวบ้านที่ว่างงานไปบวชเพื่อมาร่วมชุมนุมกับคนเสื้อแดง และมีการเตรียมการมาก่อนหน้านี้ เช่นเดียวกับ “ม็อบฮอลลีวูด” จัดฉากสร้างภาพมาให้น่ากลัว เช่นเดียวกับที่นายจักรภพ เพ็ญแข เขียนบทความเอาไว้ ขณะเดียวกัน ในวันที่ 12-14 มี.ค.นี้จะมีการเปลี่ยนแปลงของแนวรบของคนเสื้อแดง
แนวรบที่ 1 จากข่าวความขัดแย้งในพรรคเพื่อไทย กรณีข่าวความไม่พอใจของการเงินที่นำมาเคลื่อนไหว ขณะเดียวกันการตัดสินใจในการดำเนินการของ ส.ส. ก็ไม่พอใจที่ต้องมาเดินตามหลังแกนนำอย่างสามเกลอ ทั้งนี้ เชื่อว่าจะมีการสร้างกองบัญชาการของคนเสื้อแดงใหม่ ในกรณีที่รัฐบาลเข้าไปจัดการกับสถานีโทรทัศน์พีทีวีที่ถูกตัดสัญญาณ และยังเชื่อว่าจะมีการจัดระเบียบของคนเสื้อแดงใหม่ เพราะยังไม่ตกผลึกว่าใครมีอำนาจในการนำอย่างเบ็ดเสร็จ
แนวรบที่ 2 ด้านมวลชนที่ไม่มีเอกภาพ เนื่องจาก นปช.มีข้อเรียกร้องที่สูงขึ้น โดยเฉพาะการสร้างการนำ ที่จะเริ่มจากนายวีระ มุสิกพงศ์ และสามเกลอ และเชื่อว่าการนำจะจบ ที่นายสุรชัย แซ่ด่าน เพราะหากทำไม่ได้จะเกิดผลเสียด้านความเชื่อมั่น
“เพราะธงที่ชักไว้สูงเกินไป ไม่มีน้ำหนักเพียงพอ การเคลื่อนไหวก็ไปไกลจากสิทธิเสรีภาพ จะกลายเป็นว่า ไปเข้าข่ายเป็นกบฏต่อราชอาณาจักร เป็นภัยต่อคาวมมั่นคง ตามมาตรา 68 ของรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะการเดินขบวนต่อต้านคำพิพากษา ที่เข้าข่ายเป็นภัยต่อความมั่นคง ขณะเดียวกันการต่อสู้ในพื้นที่ 9-10 จุด ที่คนเสื้อแดงประกาศ เห็นว่า หากสถานีโทรทัศน์พีทีวี หรือวิทยุชุมชนถูกตัดสัญญาณ และมวลชนที่มาจากต่างจังหวัดไม่มีการเชื่อมโยงกัน หากนำไปสู่การปะทะกับพลังเงียบ เกรงว่าจะมีปัญหา ดังนั้นแกนนำน่าที่จะต้องคิดให้ดี เนื่องจากภาระนำคนมาง่าย แต่ภาระพาคนกลับยากเพราะไม่มีอะไรสำคัญกว่าชีวิตคนที่นำมาต่อสู้
แนวรบที่ 3 นายทหารอย่าง พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ หรือ พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี ก็เริ่มถอยออกจากการต่อสู้ของ พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะการเรียกร้องที่กระทบกับคำพิพากษาศาล พล.อ.ชวลิตก็คงไม่ปรารถนา และไม่พร้อมที่จะเล่น เพราะธงแบบนี้คนเหล่านี้มองเพียงว่าจะต้องใช้วิธีพิเศษ ตนเชื่อว่าคนอย่าง พ.ต.ท.ทักษิณคงไม่กล้าพอที่ตายเป็นตาย เจ๊งเป็นเจ๊ง ถ้าจะสู้หมดหน้าตัก ทำไมถึงให้ลูกเมียออกนอกประเทศ ตรงนี้เป็นการหลอกใช้ประชาชนหรือไม่
“เชื่อแนวรบทั้งหมด พ.ต.ท.ทักษิณ จะคุมไม่ได้ จนนำไปสู่การปล่อยข่าวลือ และมีกระบวนการปล่อยข่าว ให้เลือกข้าง พ.ต.ท.ทักษิณ จนมีความสับสน ดังนั้น เชื่อว่าแนวรบของคนเสื้อแดงจะแตกในเร็วๆ นี้”
นายสุริยะใสกล่าวว่า กรณีที่ นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส ระบุว่า “ประเทศไทยจอดอยู่ที่ขบวนนี้นานเกินไป” หากจะวิเคราะห์จะเห็นว่า ที่เกิดขึ้นเพราะคนครึ่งคันรถไม่ยอมซื้อตั๋ว กลับทำตัวเป็นโจรขโมย และพกพาเชื่อโรคมายังรถคันนี้ ส่วนคนที่ไม่อยากนั่งร่วมด้วย เลยไปฟ้องนายสถานีให้ช่วยชำระล้างรถคันนี้ เห็นได้จากสังคมไทยยังอยู่กับภัยคุกคาม และหน้าเสียดายที่คนขับรถใหม่ ไม่จัดการกับรถแต่กลับเข้ามาฉวยโอกาสขโมยของในรถไฟคันนี้ ชาวบ้านที่เห็นเขาก็เลยไปช่วยกันล้างทำความสะอาดรถไฟกันเอง
“สังคมไทยอยู่ในจุดเปลี่ยน ดังนั้น สถานการณ์ทางประวัติศาสตร์ ต้องคิดใหม่ว่าเราจะเดินไปทางไหนซ้ายหรือขวา เมื่อไม่เชื่อถือความร่วมมือก็จะไม่เกิดขึ้น ถ้าใครไปบอกว่า ธุระไม่ใช่ เป็นเพียงเรื่องของนายสนธิ (ลิ้มทองกุล) กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ถือว่าน่าเสียดายและเสียใจโดยเฉพาะคนที่ขึ้นรถที่จอดในสถานีที่ชื่อทักษิณนานเกินไปนั่นเอง ดังนั้น การที่จะให้สังคมไทยออกดอกออกผลที่งดงาม เราควรช่วยกันสร้างโอกาสและเปิดทางใหม่ให้กับการเมืองแบบใหม่”
รศ.นพ.ตุลย์ กล่าวว่า การข้ามให้พ้นทักษิณได้นั้น ต้องการแก้สมการจากปัญหาตัวทักษิณ เราต้องดูว่าประชาชนที่เขาอยู่ได้เพราะมีคนรักทักษิณ ถ้าเกิดเราจะแก้สมการให้ได้ คือเราจะต้องดูว่าอะไรที่ทำให้เกิด และให้คนค่อยๆ ดึง ออกมาว่าเขารักเพราะอะไร เช่นคนที่เขาเลือกทักษิณ ไม่ใช้เพราะเขายึดติดกับสิ่งที่ไม่โกง จนมีคำว่ารวยแล้วไม่โกง แต่ครั้งนี้เราพิสูจน์แล้วว่า ไม่ใช่
“ดังนั้นจะดึงสมการนี้ออกมาอย่างไร สิ่งสำคัญที่สุด คือ จะต้องรู้ว่าเขาเอาอะไรมาให้และประชาชนกระโจนเข้ามาเอาอะไร เราต้องดูว่าจะดับไฟตรงนี้เพราะอะไร คือหาน้ำที่สะอาด ดีกว่าไปให้เขา ซึ่งตรงนี้ก็เป็นหน้าที่ของคนที่รับผิดชอบ ขณะเดียวกันเชื่อว่าใน 3-4 วันนี้ ผมก็แค่ขอภาวนาว่า โลกขี้เหนียวของ พ.ต.ท.ทักษิณ จะทำลายเขาเอง”