ปธ.ศาลปกครองสูงสุด ระบุบ้านเมืองเลยจุดของการมีเหตุผล ยอมรับวงการผู้พิพากษา รู้สึกตกใจ หลังมีคำตัดสินคดียึดทรัพย์แล้วแต่เรื่องไม่จบ ยันรายละเอียดในคำวินิจฉัยก็ระบุถึงเหตุผลชัดเจนแล้ว ไม่ใช่เรื่องที่ตุลาการต้องออกมาอธิบายอีก ชี้ไม่เคยมีคดีถูกยึดทรัพย์แล้วนำไปฟ้องศาลโลก เรียกร้องให้ทุกฝ่ายมีสติและทำหน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุด ให้คำมั่นหลังเกษียณไม่เล่นการเมืองเด็ดขาด
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง นายอักขราทร จุฬารัตน ให้สัมภาษณ์
วันนี้ (3 มี.ค.) สำนักงานศาลปกครองได้จัดงานแถลงข่าว เนื่องในโอกาสครบรอบ 9 ปี ศาลปกครอง โดย นายอักขราทร จุฬารัตน ประธานศาลปกครองสูงสุด กล่าวว่า กว่าที่ศาลปกครองจะโตมาถึงขนาดนี้ ผ่านการพัฒนามาอย่างยาวนาน แนวโน้มคดีที่จะเข้าสู่การพิจารณาของศาลจากนี้ คงไม่ต่างไปจากที่ผ่านมา ซึ่งการดำเนินกระบวนการพิจารณาได้พยายามเร่งให้รวดเร็ว และสร้างความเชื่อมั่นให้กับสังคมถึงความน่าเชื่อถือของคำพิพากษา
ทั้งนี้ คดีที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม ผลประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ และเศรษฐกิจของชาติ ทางศาลได้ยึดมั่นในกฎหมาย เพราะเชื่อว่าจะทำให้เกิดความเป็นธรรมให้กับคนในสังคม หากการวินิจฉัยทำให้เกิดความสมดุลได้ โดยเฉพาะคดีสิ่งแวดล้อมของมาบตาพุด ที่ไม่ใช่คดีเดียวที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม เคยมีคดีอื่นๆมาแล้ว การจะตัดสินอะไรต้องดูทั้งสังคม วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม และต้องดูระหว่างสิทธิของเอกชนที่กฎหมายรับรองกับประโยชน์สาธารณะด้วย
“การตัดสินคดีเช่นนี้ต้องยึดมั่นกฎหมาย ถือกฎหมายเป็นหลักเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม เพราะแน่นอนว่าคนที่เขียนกฎหมายย่อมเห็นปัญหารอบด้านอยู่แล้ว การที่เราตัดสินเช่นนี้ไม่ได้ รังแกนักลงทุนเพื่อเอาใจชาวบ้าน เพราะเราเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ ต้องวางตัวอยู่ในความถูกต้อง ไม่คิดเอาใจใคร ต้องยึดกฎหมาย ทำให้เกิดสมดุล ส่วนการแก้ปัญหานั้น หากพร้อมใจกันแก้ปัญหาก็ไม่เหนือบ่ากว่าแรง ถ้าเราทำสิ่งที่ควรจะทำก็แก้ไขปัญหาได้ไม่ยาก เรื่องนี้ง่ายกว่าที่คิดเยอะ นอกจากนี้ เท่าที่คุยกับหลายคน ก็มีเสียงตอบรับค่อนข้างดี มีแต่พวกเราเท่านั้นที่มองแปลกๆ เพราะโครงการแบบนี้ไปทำที่บ้านเขาก็คงไม่ได้”
นายอักขราทรยังกล่าวถึงอนาคตศาลปกครองว่า ก็ต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ตนไม่ค่อยห่วงพนักงานศาลเพราะสังคมจับตามองการทำงานอยู่ หน้าที่ของเราคือให้ความยุติธรรม ถือเป็นบุญกุศลกว่าปล่อยนกปล่อยปลา แต่ในรูปแบบหากเราพิจารณาให้ถูกต้องรวดเร็วและยุติธรรม และดำรงจุดมุ่งหมายเรื่องความสุจริตได้ตนก็ไม่กังวล ขณะที่เรื่องการสร้างความเชื่อมั่นต่อประชาชนนั้น ตนมองว่าต้องซื่อสัตย์ และด้วยองคาพยพของศาลเป็นที่ถูกจับจ้องและถูกวิจารณ์ได้ตามที่กฎหมายกำหนด ถือเป็นเรื่องดี ขณะที่การทำงานในรูปองค์คณะทำให้ความเป็นอัตตาของตุลาการไม่แก่กล้าเกินไป ซึ่งเรื่องของอัตตาสังคมไทยมีสูง คิดว่าสิ่งที่ตัวเองคิดและพูดอยู่ถูกต้องตลอดเวลา หากลดลงได้สังคมไทยก็จะดีขึ้น
ผู้สื่อข่าวถามว่า มองกรณีที่ศาลถูกโจมตีว่าสองมาตรฐานซึ่งอาจส่งผลต่อความไม่เชื่อมั่นระบบศาลในอนาคตหรือไม่ นายอักขราทรกล่าวว่า ปัญหาเกิดจากองค์ความรู้ไม่ถึงระดับ เมื่อก่อนเราก็พูดเรื่องนิติรัฐ ก็จำขี้ปากฝรั่งมา ต่อมาก็ใช้คำว่าตุลาการภิวัฒน์ ที่จริงไม่มีอะไรเลย เพราะเป็นการตีความปกติของตุลาการต่อกฎหมายมหาชน มาถึงวันนี้ก็ใช้คำว่าสองมาตรฐาน
“แต่ผมมองว่าปัญหาของวันนี้คือไม่มีการบังคับใช้กฎหมาย และก็ไปอ้างกันเปล่าๆ ปลี้ๆ ตรงนี้น่าห่วง รวมทั้งจริงๆ มันอาจจะเลยจุดของการมีเหตุมีผลจนใครๆ ก็พูดว่าอะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด แต่เราก็ไม่อยากให้มันเกิดขึ้น ซึ่งที่พูดกันว่ารักชาติก็อยากจะถามว่าเราทำอะไรที่ทำให้ชาติไม่ล่มจมบ้าง ถ้าทำได้จะช่วย แต่หากเราไปทำตามกระแสก็จะเละ ลงทะเลกันหมด อย่างหนังสือพิมพ์ เห็นว่ามีอิทธิพลสูงมากต่อความคิดของประชาชน และต้องไม่ใส่ความเห็นไปพร้อมกับเนื้อข่าว แต่หนังสือพิมพ์ก็ควรที่จะแสดงความรับผิดชอบด้วยการมีความเห็นของตัวเองที่จะบอกกับประชาชนว่าสิ่งนี้ถูกหรือผิด”
เมื่อถามต่อว่า สถานการณ์ในขณะนี้ศาลจะเข้ามาช่วยได้อย่างไร นายอักขราทรกล่าวว่า ศาลมีข้อจำกัดที่ไม่สามารถจะหยิบเรื่องขึ้นมาพิจารณาเองได้ สิ่งที่ทำได้คือเมื่อมีเรื่องเกิดขึ้นก็ควรได้รับการพิจารณาในมาตรฐานเดียวกัน ทำอย่างตรงไปตรงมาและรวดเร็ว และจบได้ในเวลาที่เหมาะสม เป็นธรรม ซึ่งที่ผ่านมาเป็นอย่างนี้ แต่เดี๋ยวนี้กลายเป็นว่าพอศาลตัดสินมันไม่จบ ในวงการผู้พิพากษาก็มองกันว่าตรงนี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร
นายอักขราทรยังกล่าวถึงการไม่ยอมรับคำพิพากษายึดทรัพย์บางส่วนของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และกลุ่มคนเสื้อแดงว่า คดีนี้จบแล้วเมื่อศาลพิพากษาส่วนที่จะไปยื่นศาลโลก ตนไม่เคยเห็น ไม่เคยมีประวัติ แต่หากจะอุทธรณ์ภายใน 30 วันหรือไม่ เป็นอีกเรื่องหนึ่ง การไม่ยอมรับคำตัดสิน เรื่องนี้ทางสำนักงานศาลยุติธรรมก็ได้ชี้แจงแล้ว เมื่อศาลตัดสินแล้วก็ต้องยอมรับ
นายอักขราทรปฏิเสธที่จะกล่าวถึงการที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และคนเสื้อแดงไม่ยอมรับคำตัดสินของศาลฎีกา โดยระบุว่า ก็ว่ากันไปตามกฎหมาย การจะถอดถอนก็เป็นสิทธิที่จะทำได้ และเห็นในคำพิพากษาก็ระบุถึงเหตุผลชัดเจนแล้ว ไม่ใช่เรื่องที่ตุลาการต้องออกมาอธิบายว่าที่พิพากษาไปมีเหตุผลอย่างไร ส่วนการที่เขาจะอุทธรณ์ถ้ามีช่องทางกฎหมายก็ทำไป ที่ว่าจะยื่นศาลโลก ตนก็ไม่เคยเห็น ไม่เคยมีประวัติ แต่ไม่คิดว่าการไม่ยอมรับจะมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในระบบศาล เพราะไม่เชื่อศาลจะเชื่อใครเรื่องนี้คงเป็นระยะหนึ่ง เมื่อถึงเวลาเรื่องคงจบลงได้ อยากให้ทุกคนตั้งสติและถ้ารักชาติก็ต้องคิดว่าทำอย่างไรจะบรรลุการรักชาตินั้นได้ เช่น ตนเองมีหน้าที่อะไรก็จะทำให้เต็มที่
สำหรับที่พรรคเพื่อไทยตั้งข้อสังเกตว่าศาลนำประกาศ คปค.มาใช้ในการวินิจฉัยพิพากษาไม่ถูกต้องนั้น นายอักขราทรกล่าวว่า เรื่องนี้ต้องไปถามนักวิชาการว่าปฏิวัติหมายถึงอะไร ถ้าสำเร็จหมายถึงอะไร ถ้าไม่สำเร็จต้องติดคุกอย่างไร และปฏิวัติแล้วถูกต้องตลอดไปหรือไม่ สิ่งเหล่านี้ทางวิชาการมีคำอธิบายอย่างชัดเจนแล้ว ส่วนที่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ระบุมีผู้บงการอยู่เบื้องหลัง ขอไม่ให้ความเห็น และยังคิดไม่ออก
นายอักขราทรกล่าวว่า หลังจากที่ตนจะเกษียณในเดือน ต.ค.นี้ ยังไม่ได้คิดว่าจะทำอะไร แต่คงจะหาความสุขส่วนตัวที่พึงมี แต่ทั้งนี้ก็จะไม่ละทิ้งบ้านเมือง ส่วนที่เคยมีชื่อเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีนั้น ตนไม่รู้สึกอะไร เพราะไม่ได้คิดหรือตั้งความหวังที่จะเป็น ตำแหน่งดังกล่าวเป็นตำแหน่งสำคัญไม่ใช่เรื่องพูดเล่นๆ คนอยากเป็นมีเยอะ แต่ต้องดูว่าเป็นได้หรือไม่ เพราะคนที่จะเป็นได้ต้องอยู่ในระดับ state man ที่คิดถึงเรื่องประโยชน์ส่วนรวมและมีทีมเวิร์กที่ดี ส่วนเรื่องจะเล่นการเมืองหรือไม่ ยืนยันว่าหลังหมดวาระในปีนี้จะไม่เล่นการเมืองอย่างเด็ดขาด