นายกฯ อภิสิทธิ์ เปิดห้องที่ทำเนียบ เชิญสื่อทีวี-หนังสือพิมพ์ ซักถาม พร้อมบันทึกรายการเชื่อมั่นประเทศไทย เชื่อหลังศาลมีคำสั่งยึดทรัพย์ “ทักษิณ” ยังจะมีการเคลื่อนไหวต่อเนื่อง แต่มั่นใจไม่รุนแรง เผยให้กระทรวงไอซีทีเล็งเอาผิด “นช.แม้ว” เพิ่ม คดีแก้สัญญาสัมปทาน แปลงภาษีสรรพสามิต
เมื่อเวลา 13.00 น. วันนี้ (27ก.พ.) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้บันทึกเทปรายการ “เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์” โดยเปิดโอกาสให้สื่อโทรทัศน์ และหนังสือพิมพ์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ จำนวนประมาณ 30 คนได้มีโอกาสสอบถามถึงสถานการณ์บ้านเมืองในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นเวลาราว 3 ชั่วโมง โดยเฉพาะประเด็นสำคัญภายหลังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้มีคำสั่งยึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้านของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่มีพฤติกรรมร่ำรวยผิดปรกติ
นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงสถานการณ์การเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงหลังคำพิพากษายึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่าคงจะต้องมีการประเมินสถานการณ์เป็นระยะ เพราะแน่นอนที่สุดคำพิพากษาของศาลออกมาอย่าไรย่อมมีคนที่ไม่พอใจหรือพอใจ แต่เรายังยืนยันในระบบของเราให้ความเชื่อถือกระบวนการยุติธรรม และอยากเรียกร้องให้ทุกฝ่ายยอมรับคำพิพากษา แต่อย่างไรก็ตามเราคาดการว่าการเคลื่อนไหวทางการเมืองยังคงจะมีอย่างต่อเนื่อง แต่ในส่วนของรัฐบาลยังยืนอยู่ในจุดเดิมคือเป็นสิ่งที่ทำได้ ส่วนการเคลื่อนไหวอะไรที่นอกเหนือจากกฎหมายก็เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะต้องดูแลให้เกิดขึ้น ฉะนั้นในขณะนี้เราคงอยู่ในช่วงของการประเมินสถานการณ์ กลไกต่างๆ ที่รัฐบาลได้วางไว้ เช่น คณะกรรมการติดตามเฝ้าระวังสถานการณ์ยังคงทำงานอย่างต่อเนื่อง และอาศัยการทำงานด้านความมั่นคง ด้านการข่าวและหน่วยงานต่างๆเพื่อปรับแผนให้เป็นไปตามความเหมาะสม
“ผมคิดว่าสถานการณ์หลังจากนี้ไปอาจจะไม่ได้ต่างจากก่อนวันศุกร์ที่ 26 ก.พ.ที่ผ่านมามากนัก เพราะคงมีหลายกลุ่มคนคงจะมีต้องการเคลื่อนไหวทางการเมือง ซึ่งเป้าหมายของเขามีหลายเรื่อง เช่นการเรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภา ซึ่งเงื่อนไขเหล่านี้ยังไม่ได้หมดไป เพียงแต่จะแรง เบา มากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับว่ามีประชาชน มีมวลชนเข้าร่วมมากน้อยแค่ไหน ส่วนคนกลุ่มเล็กๆ ซึ่งแสดงท่าทีที่จะมีปัญหาว่าจะใช้ความรุนแรงรัฐบาลก็มีหน้าที่ติดตามดูแล” นายกรัฐมนตรีกล่าว
เมื่อถามว่า รัฐบาลจะฉวยโอกาสจังหวะนี้ใช้มาตรการเชิงรุกทำความเข้าใจกับคนที่เขายังเข้าใจ 50-50 ในคำตัดสินคดียึดทรัพย์ เพื่อให้สถานการณ์เบาลงหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า คงไม่ใช่เรื่องการฉวยโอกาสหรือทำอะไร แต่คิดว่าเป็นเรื่องสำคัญที่พี่น้องประชาชนจะต้องรับรู้รับทราบข้อเท็จจริงตามที่ศาลวินิจฉัย แต่ศาลได้เป็นหน่วยงานลักษณะที่จะมาตอบโต้ ดังนั้นสิ่งหนึ่งที่จะให้ความเป็นธรรมกับศาลคือการเอาคำวินิจฉัยมาแจกแจงให้ประชาชนรับรู้ รับทราบ
สำหรับผลสืบเนื่องจากคำพิพากษานั้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ส่วนที่หนึ่งหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรง ถ้ามีคำวินิจฉัยว่าได้รับความเสียหายเขาก็จะต้องดำเนินการไป ส่วนที่สองคงต้องให้ฝ่ายกฎหมายของรัฐบาลในการให้คำแนะนำกับหน่วยงานต่างๆ ว่าขั้นตอนในการดำเนินการหรือผลกระทบสืบเนื่องจากคำพิพากษามีอะไรบ้าง เพื่อรักษาประโยชน์
เมื่อถามว่า การเมืองหลังคำพิพากษามันควรจะเป็นไปในทิศทางใด นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ยังยืนยันโดยเชื่อว่าคนส่วนใหญ่ของประเทศต้องการที่จะเห็นบ้านเมืองเกิดความสงบสุขและเปิดโอกาสให้ต่างๆ ฝ่ายต่างทำหน้าที่ ในส่วนของรัฐบาลมีหน้าที่บริหารงานนโยบายด้านเศรษฐกิจ สังคมและด้านอื่นๆ ขณะเดียวกัน ฝ่ายค้านหรือผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลก็สามารถที่จะใช้ช่องทางการตรวจสอบได้ตลอดเวลา ขณะนี้เป็นที่เข้าใจว่าจะมีการยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ ฉะนั้นน่าจะเปิดโอกาสให้กระบวนการในสภาฯ ทำหน้าที่ในการตรวจสอบไม่ว่าจะเป็นประเด็นเรื่องนโยบาย การทุจริต เพื่อนำข้อเท็จจริงต่างๆ มาเปิดเผย และ ส.ส.จะใช้ดุลพินิจในการตัดสินใจทางการเมืองต่อไป หากระบบเป็นเช่นนี้จะทำให้เกิดความเชื่อมั่นว่าประเทศของเรากลับเข้าสู่ภาวะปกติแม้จะมีการชุมนุมเคลื่อนไหว หากดำเนินการโดยความสงบ สันติ ไม่มีปัญหาอะไร ก็ไม่เป็นไร แต่สิ่งที่ผ่านมาที่ทำให้คนไม่สบายใจคือยังมีกลุ่มบุคคลบางกลุ่มพูดถึงความรุนแรง ซึ่งไม่มีความจำเป็นต้องพูดเลย เพราะรัฐบาลยืนยันไม่ใช้ความรุนแรง ไม่ไปขวาง เพราะไม้มีเหตุผลอะไรที่รัฐบาลจะไปขัดขวาง เพราะรัฐบาลต้องการบริหารบ้านเมืองให้เดินไปข้างหน้า ถ้ารัฐบาลไปทำความรุนแรงเสียเอง ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะย้อนกลับมาทำให้การบริหารบ้านเมืองไม่ประสบผลสำเร็จ ดังนั้นยืนยันว่าตนจะตั้งใจเดินหน้าทำงานตามปกติ ที่ผ่านมาแม้หลายคนใจจดใจจ่อรอผลคำพิพากษาในวันที่ 26 ก.พ.ที่ผ่านมา แต่ตนก็ปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ
ผู้สื่อข่าวคนหนึ่งถามว่า ดูเหมือนนายกฯ จะตั้งความหวังการทำงานในกลไกของสภา แต่ประชุมสภาฯ ทีไรล่มทุกที การแก้ไขรัฐธรรมนูญดูจะทำได้ยากในเวลาอันใกล้ ความสมานฉันท์ ความสงบสุขของคนในชาติจะเกิดได้อย่างไร นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ความสมานฉันท์จะเกิดขึ้นหรือไม่ ทุกฝ่ายต้องยอมรับบางสิ่งบางอย่างร่วมกัน ถ้าเรียกร้องให้ยุบสภาตนไม่ขัดข้อง หากทุกฝ่ายตกลงกันได้ว่ากติกาที่จะใช้ในการเลือกตั้งเป็นกติกาที่จะยอมรับได้ และต้องยอมรับว่าที่มีการประท้วงต่างๆ นานาก็มีการอ้างไม่พอใจกติกา แต่พอตกลงกันจะแก้กติกา ฝ่ายค้านกลับถอนตัวเอง ฉะนั้น หากยุบสภาแล้วเลือกตั้งกลับมาในสถานการณ์เดิมก็จะเป็นปัญหาอีก แต่หากแก้ไขรัฐธรรมนูญประเด็นหนึ่งประเด็นใดที่หลายฝ่ายไม่เห็นด้วยก็ไม่ได้นำไปสู่ความสมานฉันท์ เช่นเดียวกันเรื่องการเลือกตั้งก็ให้กระบวนการประชาธิปไตยทำงาน ถ้าเรายังมีบุคคลที่เคลื่อนไหวในลักษณะเสี่ยงต่อการให้เกิดความรุนแรงแล้วยุบสภาฯ ไปเลือกตั้ง พรรคการเมืองไปหาเสียงก็มีแต่ความรุนแรง ก็จะมีแต่การทำลายประชาธิปไตย
“ที่ผ่านมาผมเคยตั้งไว้ 3 เงื่อนไข ขณะนี้เรื่องเศรษฐกิจถือเป็นเงื่อนไขที่ไม่เป็นปัญหาแล้ว การฟื้นตัวเศรษฐกิจไม่น่าได้รับผลกระทบถ้าจะมีการเลือกตั้ง แต่อีกสองเรื่องต้องตกลงกันคือเรื่องรัฐธรรมนูญกับเรื่องการหยุดใช้ความรุนแรง ถ้าเป็นไปไม่ได้เราก็ต้องเดินหน้าบริหารบ้านเมืองต่อไป และโดยรวมผมเชื่อว่าคนจำนวนมากขึ้นๆ ต้องการเห็นบ้านเมืองกลับเข้าสู่ภาวะปกติ และรัฐบาลได้พิสูจน์ให้เห็นแม้เป็นรัฐบาลที่มีอำนาจในมือ ก็ไม่ได้ใช้อำนาจไปกลั่นแกล้งใคร แต่ใช้อำนาจบนพื้นฐานที่ทุกฝ่ายสามารถตรวจสอบได้ เรื่องปล่อยคงไม่มี”นายกรัฐมนตรีกล่าว
เมื่อถามว่า ในส่วนของรัฐบาลจะดำเนินการอย่างไรกับผลของคำพิพากษายึดทรัพย์ดังกล่าว นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ให้ดำเนินการตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งศาลได้พูดชัดเจนหน้าที่นายกรัฐมนตรี หากหน่วยงานไหนมีปัญหาอะไรอย่างไร นายกฯ ในฐานะผู้บังคับบัญชาไม่สามารถหนีความรับผิดชอบได้ แต่ตนยืนยันว่าจะไม่ละเว้นการปฏิบัติหน้าทื่ ขณะเดียวกันต้องการให้หน่วยงานและฝ่ายกฎหมายคืออัยการเป็นผู้สรุปมากกว่าตนเป็นผู้สรุป เพราะไม่งั้นจะถูกตีความว่าเป็นเรื่องการดำเนินการกลั่นแกล้งกันทางการเมือง ที่สำคัญตนไม่ได้เป็นคู่กรณีกับใคร ตนมีหน้าที่รักษาผลประโยชน์ส่วนรวม และยืนยันว่าตนรักษาประโยชน์แผ่นดินโดยยึดคำพิพากษา แต่คนที่จะตอบได้ว่าใครจะต้องไปดำเนินการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายกับใครอย่างไร ทั้งเรื่องอาญาและแพ่ง เป็นตัวอัยการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเหล่านั้นโดยตรง แต่ถ้าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ทำก็ต้องเป็นความรับผิดชอบของตนเองที่จะเข้าไปดำเนินการบนมาตรฐานความเสมอภาค อย่างไรก็ตามบางเรื่องที่ศาลตัดสินก็เป็นคดีอยู่แล้ว เช่น กรณีของธนาคารส่งออก-นำเข้า ภาษีสรรพสามิต กรณีการแก้ไขสัญญาสัมปทานต่างๆ ครม.ได้มอบหมายให้ทางกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศไปดำเนินการแล้วก่อนหน้านี้ เดือนหน้าทางกระทรวงจะเสนอและรายงานมา
ส่วนเงิน 46,373 ล้านบาทที่ศาลฏีกาพิพากษายึดให้ตกเป็นของแผ่นดินนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตรงนี้อาจจะนำไปสู่การลดกู้เงิน ที่รัฐบาลเคยวางแผนไว้ ซึ่งการขออนุมัติกู้เงินจำนวน 4 แสนล้านของรัฐบาลที่ยังค้างอยู่ในชั้นกรรมาธิการของสภาฯ เป็นการขอกู้เต็มเพดาน แต่เราไม่จำเป็นต้องใช้ทั้งหมดก็ได้หากมีเงินจัดเก็นส่วนอื่นเข้ามาเพิ่มเติม
นอกจากนี้ นายอภิสิทธิ์ยังกล่าวถึงการชุมนุมในวันที่ 14 มี.ค.นี้ของกลุ่มคนเสื้อแดงว่า หน้าที่ของรัฐบาล คือ การดูแลให้การชุมนุมเกิดความเรียบร้อย โดยไม่มีการตั้งธงว่าจะเป็นศัตรูหรือเพื่อหวังเผด็จศึก กับกลุ่มผู้ชุมนุม ซึ่งจะยึดกฎหมายเป็นหลัก หากมีการละเมิดก็ต้องดำเนินการ ทั้งนี้ไม่รู้สึกแปลกใจที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ออกมาเรียกร้องให้การต่อสู้ เพราะผู้ที่เสียประโยชน์ย่อมที่จะไม่พอใจ ซึ่งหาก พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่มีหลักฐานว่า มีการเรียกรับสินบนของศาล ก็ควรที่จะยอมรับคำตัดสิน แต่หากมีหลักฐานก็สามารถฟ้องร้องดำเนินคดี หรือ ยื่นอุทธรณ์ได้ตามขั้นตอนของกฎหมาย
อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า จะมีการแปลคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญา ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นภาษาอังกฤษเพื่อชี้แจงทำความเข้าใจกับต่างประเทศ ส่วนกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณจะฟ้องศาลโลก หรืออุทธรณ์ ถือว่าเป็นสิทธิ์
ทั้งนี้ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า รัฐบาลจะเดินหน้าบริหารประเทศต่อไป ซึ่งที่ผ่านมากว่า 1 ปี สามารถสร้างภาพลักษณ์ในสายนานาชาติ และเชื่อว่าหากทุกคนร่วมมือกันจะสร้างความเชื่อมั่น และทำให้ประเทศกลับสู่ภาวะปกติ ส่วนการยุบสภาไม่ใช่การแก้ไขปัญหา ส่วนการแก้ไขรัฐธรรมนูญปล่อยให้เป็นกระบวนการรัฐสภา
นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า หลังจากการยึดทรัพย์จำนวนดังกล่าวแล้ว ถือเป็นรายได้ที่จัดเก็บเกินเป้าหมายที่คาดไว้ ซึ่งรัฐบาลจะนำไปใช้ในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน โดยไม่มีความจำเป็นต้องกู้เงินเพิ่มตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการทบทวนยกเลิกบางมาตรการ อาทิ น้ำประปาฟรี รถไฟและรถโดยสารฟรี เพื่อให้การกระตุ้นเศรษฐกิจกลับเข้าสู่ระบบปกติ
สำหรับประเด็นเรื่องการแก้ไขสัญญาสัมปทาน ของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลมีเป้าหมายแก้ไขสัญญาสัมปทานจริง เพื่อให้เกิดการแข่งขันอย่างเสรี และมีสิทธิในสัญญาเท่าเทียมกัน ซึ่งได้หารือกับกระทรวงการคลังในการเสนอแผนแล้ว โดยเร็วๆ นี้จะหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงไอซีที โดยคาดว่าจะนำเรื่องเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้เร็วๆ นี้