“นช.แม้ว” อยู่ไม่เป็นสุข!! ปากวอนหาเรื่องยืมเวทีเสวนากลุ่มกรุงเทพ 50 ขู่ฟ้องศาลโลก หากไม่ให้ความเป็นธรรม เหิมจัดถึงขั้นบอกบ้านเมืองวุ่นวายทุกวันนี้ ต้นเหตุมาจาก “ผู้มีบารมี” ที่ละเมิดกติกาแอบสั่งการทุกอย่าง ไม่เว้นแม้แต่ให้ “องคมนตรี” เดินสายส่งเงินหนุนพันธมิตรฯ ลั่นปี 53 หากบี้กันให้ตาย บ้านเมืองเละตุ้มเป๊ะ “เรืองไกร” เผยธาตุแท้ร่วมเวทีกดดัน รบ.ยุบสภา อ้างพร้อมตรวจสอบทุกฝ่าย
วันนี้ (22 ก.พ.) เมื่อเวลา 19.20 น. ที่ห้องแกรนด์บอลรูม โรงแรมมิราเคิลแกรนด์ กลุ่มกรุงเทพ 50 พรรคเพื่อไทย ได้จัดเสวนาเรื่อง “ทิศทางประเทศไทยปี 2553” มีวิทยากรประกอบด้วย นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(กลต.) นายคณิน บุญสุวรรณ อดีต ส.ส.ร.2540 นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ เป็นวิทยากรพิเศษวิดีโอลิงค์มาจากต่างประเทศเข้ามาร่วมแบบสดๆ โดยนายอดิศักดิ์ ศรีสม เป็นผู้ดำเนินรายการ
ทันทีที่เปิดการเสวนา พ.ต.ท.ทักษิณได้ทักท้ายแขกที่มาร่วมงาน พร้อมเปิดให้วิทยากรท่านอื่นได้พูดก่อน เพื่อจะได้รับฟัง โดยนายคณินกล่าวเป็นคนแรกมีใจความว่า รัฐบาล 7 เสา ไม่อยากใช้รัฐบาล 4 เสาที่ค้ำรัฐบาลอยู่ ประกอบด้วย 1.สื่อกระแสหลัก 2.ศาล คือ ศาลสูง ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ศาลแผนกคดีเลือกตั้ง ศาลรัฐธรรมนูญ เห็นได้จากคำตัดสินในหลายๆคดี 3.ทหาร 4.องค์กรอิสระ แต่แท้ที่จริงไม่ใช่องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ อีกสามเสาย่อยคือ 1.กลุ่ม 40 ส.ว. 2.พรรคร่วมรัฐบาล 3.กลุ่มพันธมิตรฯ ดังนั้นท่านรู้ตัวว่าอยู่เสาไหนต้องกลับตัวกลับใจ สุดท้ายป๋ากลับบ้านเถอะ
นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา กล่าวตอนหนึ่งว่า คดียึดทรัพย์ที่จะมีขึ้นในวันที่ 26 ก.พ.นี้ ที่มีการฟ้องว่าเงิน 7.6 หมื่นล้านบาทได้มาโดยไม่ชอบ วันนี้กำลังมีปัญหาว่าจะยึดหรือไม่ยึดหรือยึดเพียงบางส่วน ตรงนี้ต้องถามว่าสมมติฐานแห่งมูลค่าเสียหายคิดจากอะไร และถ้าเงิน 7.6 หมื่นล้านบาทวินิจฉัยไม่ถูกแล้วจะยึดนั้น จะมีปัญหาตามมาว่าแล้วจะยึดเงินปันผลในวันนั้นด้วยหรือไม่ ตรงนี้จะทำให้เรื่องยุ่ง เพราะต้องตีความ ถอดสมการ อย่างไรก็ตาม วันนี้เมื่อดูแผนที่ประเทศไทยจะเห็นว่าด้านหนึ่งมีปัญหากับสมเด็จฯ ฮุนเซน นายกฯ กัมพูชา อีกด้านหนึ่งมีปัญหาเรื่องก๊าชกับพม่า ดังนั้นหากจะเอาหุ้นที่ขายให้เทมาเส็กซึ่งเป็นกองทุนจากสิงคโปร์ก็อยากให้คิดด้วยว่าอาจจะเกิดปัญหาได้ เพราะฉะนั้นไม่ว่าวันที่ 26 ก.พ. ผลตัดสินจะออกมาเป็นเช่นไรเรื่องก็จะไม่จบ
“ปัญหาถามต่อว่า ถ้ายึดตรงนี้ เงินปันผลตรงนั้นช่วงเดียวกัน ณ วันนั้นอีก 6 พันล้านจะเอาด้วยไหม ถ้าถือว่าไม่ชอบ … แล้วถ้าบอกว่าตรงนี้ไม่ชอบก็แสดงว่างบฯ ของชินคอร์ปไม่ถูก ตลาดหลักทรัพย์เดี่ยวท่านกิตติรัตน์ (ณ ระนอง) น่าจะวิเคราะห์ต่อว่าแล้วงบการเงินของบริษัทในตลาดเหล่านั้นจะเป็นอย่างไร เอไอเอส ไทยคม ... ” นายเรืองไกรกล่าว
ทั้งนี้ นายเรืองไกรได้พยายามปกป้อง พ.ต.ท.ทักษิณกรณีแปรสัญญาสัมปทานโทรคมนาคม โดยการแปรส่วนหนึ่งของส่วนแบ่งรายได้ให้เป็นภาษีสรรพสามิตเพื่อเอื้อให้กับบริษัทของตัวเอง แต่กลับไม่กล่าวถึง การปกปิดบัญชีทรัพย์สินของ พ.ต.ท.ทักษิณ และครอบครัว รวมถึงไม่ได้กล่าวถึงความผิดในกรณีการแจ้งบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จแต่อย่างใด
จนกระทั่งเวลา 20.40 น. พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯกล่าวตอนหนึ่งมีใจความว่า วันนี้อยู่ในช่วงสบายๆของชีวิตบ้าง เพราะไม่ได้ผูกเนคไท ต้องขอโทษด้วย จากนั้นได้เล่าย้อนถึงการปฏิวัติเสร็จในช่วงวันที่ 19 ก.ย. 2549 โดยมี พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกฯ จนสร้างความไม่มั่นใจถึงการลงทุน รวมถึงการยึดสนามบินด้วย นักลงทุนมองว่าการเมืองไทยเล่นกันแรง โดยไม่สนใจเศรษฐกิจพัง และเข้าเขตมาที่กระบวนการยุติธรรม โดยไม่สนใจว่าจะพัง หากประเทศไทยยังไม่มีความนิ่งในเรื่องเหล่านี้ นักลงทุนต่างชาติก็ไม่เชื่อมั่น รวมถึงรัฐบาลแคร์เอ็นจีโอมากเกินไปจากปัญหามาบตาพุด นอกจากนี้ยังรวมถึงการทำเอฟทีเอที่ทำให้นายกฯถูกมองว่าไม่มีภาวะผู้นำ เพราะต้องขออนุญาตจากรัฐสภาฯ เสียก่อน ส่วนโครงการเมกะโปรเจ็คต์ของรัฐบาลที่ใช้เงิน 1.43 ล้านล้านบาท เอามาจากโครงการที่ตนคิดจะทำตอนนั้น และได้เชิญต่างชาติมาพูดคุยแล้วตกลงที่จะมาลงทุนด้วย โดยเราจะชำระเงินเมื่อโครงการเสร็จ ซึ่งจะเอาเศรษฐกิจที่ดีขึ้นในอนาคตจากการลงทุนชำระ
พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า บ้านเราที่มันยุ่งมาถึงทุกวันนี้หากจะมองว่าในปี 2553 จะเป็นอย่างไรต้องมองย้อนกลับไปเสียก่อน ก่อนจะดับทุกข์ต้องรู้ตนเหตุทำให้เกิดทุกข์ก่อน ซึ่งทุกข์เกิดจากการไม่เดินตามกติกา กติกาถูกละเมิดจากผู้ที่มีบารมีสูงคนเดียว แอบสั่งการทุกเรื่อง เริ่มจากทำให้พรรคการเมืองบอยคอตเลือกตั้ง เปรียบทหารเป็นม้าที่ไม่ต้องฟังจ็อกกี้ บีบ กกต.ให้ลาออก ถ้าไม่ออกจะถูกจำคุก แทรกแซงกระบวนการยุติธรรม ให้องคมนตรีเดินสาย เสริมกำลังเงินให้พันธมิตรฯ ให้พันธมิตรฯ และทหารยึดสนามบิน จนมาถึงยุบพรรคพลังประชาชน ทั้งหมดเกิดจากความไม่พอใจหรือโกรธตนจากเรื่องอะไรก็ไม่รู้ ทั้งที่จริงๆ แล้วตนเป็นคนพูดง่าย พูดดีๆ ก็จบ จริงๆ แล้วเรื่องนี้คลี่คลายได้ และให้กลไกต่างๆเดินต่อไปได้ แต่หากบีบให้ตายมันไม่ตายหรอก ตรงนี้แหละคือปัญหาที่น่ากลัว เพราะไปทำลายระบบยุติธรรม ระบบเศรษฐกิจ ระบบกฎหมาย สิ่งเหล่านี้น่ากลัว รัฐบาลพูดถึงแต่เรื่องกฎหมาย ทั้งที่ต้องพูดถึงการบังคับกฎหมายด้วย รัฐบาลต้องเข้าใจมิติแห่งความยุติธรรม แต่รัฐบาลกลับชิงความได้เปรียบทางการเมือง เพราะไม่มีนาทีทองไหนอีกแล้วที่จะได้เป็นรัฐบาลแบบนี้
พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวด้วยว่า ขณะนี้วิกฤตเศรษฐกิจต้องแก้ให้เป็น เพราะโลกจะฉุดเรา เราจะฉุดโลกไม่ได้ และหากยังกินบุญเก่าเหมือนกับรถยนต์ถ้าเครื่องดับ แต่ไม่แตะเบรกรถก็ยังไม่หยุด แต่จะไถลแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับโมเมนตัม ทั้งนี้สมัยรัฐบาลผมได้ซ่อมประเทศไปเรียบร้อยแล้ว วันนี้ถ้าถามกลับไปจะทำอะไรก็ต้องไปซ่อม แต่ไม่ต้องซ่อมทั้งหมด นักธุรกิจไทยโตไม่พอที่จะเป็นนักรบทางเศรษฐกิจให้ประเทศ และวันนี้ยังเป็นการรบกันภายในประเทศ ส่วนความแตกแยกของสีเหลือง สีแดงนั้น หากไม่ปรองดองเกิดขึ้น คงแย่กว่านี้เยอะ ทางที่ดีที่สุดต้องสร้างความปรองดองของคนในชาติ คนที่แอบสั่งการต้องเลิกสั่งการ และพูดคุยกัน อย่าคิดเอาชนะคะคานกัน ไม่มีใครแพะ ใครชนะ นอกจากประเทศชาติที่แพ้เหมือนพระราชดำรัสของในหลวงที่เคยตรัสไว้
ผู้ดำเนินรายการถามว่าอีก 4 วันถึงคดียึดทรัพย์ ยังกินข้าว 3 มื้อ และหลับสบายหรือไม่ พ.ต.ท.ทักษิณ ตอบว่า หลับสบาย ผมเป็นคนไม่อยู่กับเรื่องใดเรื่องหนึ่งมากเกินไป และยังมั่นใจว่าผู้พิพากษาส่วนใหญ่เป็นคนดี รักในสถาบันยุติธรรม ผมและครอบครัวไม่ได้ทำอะไรผิด ที่สำคัญทรัพย์สินของครอบครัวมีมาก่อนเป็นนายกฯ เมื่อมั่นใจว่าไม่ได้ทำอะไรผิด จึงมั่นใจทุกอย่างน่าจะมีความยุติธรรมเกิดขึ้น หากมีการผิดเพี้ยนก็เตรียมทางออกของผมไว้แล้ว ได้มีการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญในต่างประเทศไว้บ้าง หากไม่ได้รับความยุติธรรมก็จะเสาะแสวงหาไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็ตาม หากไม่ได้รับความยุติธรรมการต่อสู้ไม่เลิกลาแน่ เพราะถ้ารังแก กลั่นแกล้งเป็นสิ่งที่ผมรับไม่ได้ อย่างไรก็ตามเชื่อว่าคนเสื้อแดงรักสันติ ไม่เคยมีอาวุธ ไม่เคยคิดต่อสู้ ยกเว้นรัฐบาลสั่งให้คนปลอมเข้าไป เหมือนเหตุการณ์ที่พัทยา หากเป็นแบบนั้นอีกไม่รู้เหมือนกัน รัฐบาลมีเอ็ม 16 แต่พอถึงเวลาก็บอกไม่มีอะไร ดังนั้นหากรัฐบาลรักสันติด้วยก็ไม่น่าจะมีอะไร
ผู้ดำเนินรายการถามต่อว่า หากไม่ได้รับความยุติธรรมจะไปฟ้องศาลโลก มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นไปไม่ได้ พ.ต.ท.ทักษิณตอบว่าคนพิการไม่ได้เปิดตำราดูก็เลยไม่เข้าใจ บางคนบอกว่าเป็นเรื่องรัฐต่อรัฐ แต่ความจริงไม่ใช่มันเป็นเรื่องของอินเตอร์ชันแนล คอร์ส ออฟ จัสติส (ไอซีโอเจ) โดยเคยมีกรณีตัวอย่างเช่น มีดาโต๊ะชาวมาเลเซีย เป็นประชาชนคนธรรมดา ยื่นฟ้องรัฐบาลมาเลเซีย ซึ่งไอซีโอเจตัดสินให้รัฐบาลมาเลเซียชดใช้เป็นเงิน 2.5พันล้านเหรียญดอลลาร์
จากนั้นผู้ดำเนินรายการได้ให้วิทยาการที่มาร่วมบรรยายได้พูดถึงความรู้สึกที่ พ.ต.ท.ทักษิณบรรยายไป โดยนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา ได้พูดไปสักระยะหนึ่ง ผู้ดำเนินรายการก็ตัดบทว่าถามจริงๆ นายเรืองไกร สีเหลือง หรือสีแดง ผู้ที่มารับฟังถึงส่งเสียงและปรบมือกันลั่นห้อง โดยนายเรืองไกรได้มองเน็คไทที่สีแดงลายของตัวเองแล้วชูขึ้นมานิดหนึ่งแล้วยิ้มก่อนกล่าวว่า ตนอยู่บนหลักและจุดของตน ไม่เคยทะเลาะกับสิ่งที่ไม่ใช่วิชาการ ไม่ได้จบโรงเรียนเนติจากโรงเรียนหนึ่งและต้องตีกับอีกโรงเรียนหนึ่ง ต่อมาผู้ดำเนินรายการได้ถามถึงคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาท นายเรืองไกรบอกว่า มีข้อสงสัยกันเยอะ เท่าที่ไปค้นคำพิพากษาศาลฎีกาว่าก็ไม่พบมีการตัดสินคดีแบบลักษณะวัวไปกินอ้อย คือ เอาวัวไปทั้งตัวแล้วจะต้องเอาวัวทั้งตัวมาฆ่า ซึ่งหนึ่งในผู้พิพากษาศาลฏีกาที่ตัดสินเรื่องนี้ คือนายนาม ยิ้มแย้ม อดีตประธาน คตส. ที่ตนจะนำมาเปิดเผยและวิเคราะห์ในเร็วๆ นี้
นอกจากนี้ ในช่วงของการถาม-ตอบ นายเรืองไกรยังแสดงความเห็นสอดคล้องกับผู้ร่วมเสวนาด้วยว่า เพื่อให้ความขัดแย้งในประเทศบรรเทาเบาบางลงและประเทศสามารถเดินหน้าต่อไป รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีต้องยอมถอยด้วยการประกาศยุบสภาด้วย
ต่อมาเวลา 21.45 น. พ.ต.ท.ทักษิณ ได้กล่าวว่า ทางออกวันนี้ต้องนิรโทษกรรมทุกฝ่าย ทุกคนต้องหันหน้าเข้าหากัน และเริ่มต้นกันใหม่ ที่ผ่านมาเจ็บคนละหน่อย ก็ขอให้เห็นแก่บ้านเมืองร่วมกัน แต่ไม่ใช่เองยอมถูกยึดทรัพย์ ยอมถูกติกคุกเถอะ แบบนั้นไม่ใช่ปรองดอง งานครองราช 60 ปีในหลวงตนเป็นคนไปขอพระบรมราชานุญาต งานฉลองครบ 60 ปีถวาย ทำด้วยความจงรักภักดี แต่หลังจากนั้น 3 เดือน กลายเป็นคนไม่จงรักภักดีได้อย่างไร วันนี้ถอยคนละก้าวสองก้าวบ้านเมืองจะกลับสู่ภาวะปกติได้ แต่หากบี้ให้ตายปี 2553 จะเป็นปีแห่งความเละตุ้มเป๊ะ