เกาะกระแส
โดย...ก้อนกรวด
00 ด้วยความเคารพ และไม่ได้มีเจตนาชี้นำศาล แต่ช่วยไม่ได้ที่คดียึดทรัพย์ 76,000 ล้านบาท ของ ทักษิณ ชินวัตร และศาลฎีกาฯ นัดตัดสินในวันที่ 26 ก.พ. ซึ่งทั้งตัวบุคคลที่เป็นจำเลย หรือผู้ถูกร้อง รวมไปถึงจำนวนเงินมหาศาล ทำให้มีความน่าสนใจ และชวนติดตาม เวลานี้สังคมก็ได้ทำนาย และวิจารณ์กันขรมว่า จะยึดหรือไม่ยึด หรือถ้ายึดแล้วจะยึดแค่บางส่วน หรือทั้งหมด
00 สิ่งที่ต้องพิจารณาก็คือ การยึดทรัพย์นั้นมาจากสาเหตุอะไร ประการหนึ่ง ก็คือก็ต้องพิสูจน์ให้ได้ก่อนว่า เงินจำนวนนั้นเป็นของทักษิณทั้งหมดหรือไม่ และได้มาจากการโกง จากการใช้นโยบายที่มีผลประโยชน์ทับซ้อน ถ้าเป็นแบบนี้ก็ต้องยึดทั้งก้อน แต่ถ้าพิสูจน์ได้ว่า มีเงินอีกบางส่วนไม่ใช่ของเขา ก็ชอบแล้วที่จะต้องคืนไป
00 ข้อเปรียบเทียบให้เห็นอีกประการหนึ่งก็คือ เงินที่สมมุติว่า “นาย ก.” หามาได้ก่อนหน้า และเงินจำนวนเงินที่ได้มาภายหลังที่พบการกระทำผิดแล้ว อย่างนี้จะยึดรวมหรือยึดบางส่วน ยกตัวอย่าง คดียาเสพติดเวลายึดทรัพย์เขาก็ไม่ได้แยกยึด ไม่ได้แยกว่าเงินและทรัพย์สินที่หามาได้ก่อนค้ายาบ้า และหลังค้ายาบ้า เวลายึดก็จะยึดทั้งหมด ดังนั้นในกรณีของทักษิณ ถ้าพบว่ามีการกระทำผิด ก็สมควรยึดทั้งหมดหรือไม่ก็ลองคิดเอาเอง ยกเว้นพิสูจน์ได้ว่าไม่ใช่เงินของเขาทั้งหมด !!
00 ก็ต้องบอกว่า “อำมหิต” จริงๆ สำหรับผู้บังคับบัญชาของหน่วยงานไม่ว่าจะเป็นฝ่ายทหารหรือพลเรือน ที่ยังยืนยันจะใช้เครื่องตรวจจับวัตถุระเบิด และสารเสพติด จีที 200 ต่อ ทั้งที่ผลการพิสูจน์ของกระทรวงวิทยาศาสตร์ ที่มี คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช เป็นประธาน ซึ่งแต่งตั้งโดยคณะรัฐมนตรี สรุปผลออกมาแล้วว่า ประสิทธิภาพ “ห่วยแตก” วิธีการทำงานไม่ต่างกับไม้ที่ใช้ในพิธี “ล้างป่าช้า” แต่ก็ยังดึงดันให้เจ้าหน้าที่กันต่อไป แทนที่หากไม่เชื่อมั่นในผลพิสูจน์ก็น่าจะมีการร้องขอให้พิสูจน์เพิ่มเติม กลายเป็นว่าคนที่เสี่ยงก็คือ เจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อย ไม่ใช่คนสั่ง ที่สำคัญมันยังมีผลต่อการละเมิดสิทธิ์ของประชาชนที่ถูกควบคุมตัวไปสอบสวน เมื่อถูกเครื่องบ้าๆนี่ชี้ไปที่ตัว แล้วก็บอกว่ามีสารเสพติด หรือสารวัตถุระเบิด
00 เมื่อยังดึงดันเดินหน้าต่อ มันก็ทำให้สงสัยว่ามีเจตนาปกปิดความไม่ชอบมาพากล หรือความผิดของตัวเองหรือไม่ โดยเฉพาะในเรื่องของการจัดซื้อ ที่แต่ละหน่วยงานซื้อมาในราคาไม่เท่ากัน ตั้งแต่ 4-5 แสนบาท ไปจนถึง 1.6 ล้านบาท ต่อเครื่อง ต้องมีรายการสุมหัวกันแหกตา “แด๊กค่าหัวคิว” นอกเหนือจากการใช้เครื่องมือดังกล่าวสำหรับการยัดข้อหาเป็นภัยความมั่นคงให้กับชาวบ้าน ซึ่งเชื่อว่าจะต้องมีการ “ฟ้องร้อง”ตามมาแน่นอน ก็ต้องพิสูจน์ความกล้าหาญอีกยกสำหรับ นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ว่าจะเอาจริงแค่ไหน หลังจากทำได้ดีน่าชื่นชมสำหรับการยืดอก แถลงผลการพิสูจน์อย่างตรงไปตรงมา มาแล้ว
00 ผ่านมาเกือบค่อนเดือนแล้วพรรคเพื่อไทยของ ทักษิณ ยังไม่สามารถกำหนดวันสำหรับกรยื่นซักฟอกรัฐบาลทั้งคณะ มิหนำซ้ำข้างในยังแบ่งข้างฟัดกันมั่วไปหมด ทั้งระดับลูกพี่ลงมายันลูกน้องปลายแถว ก่อนหน้านี้ฟาก “เป็ดเหลิม” อัดกับ “เจ๊หน่อย” แย่งกันเป็นใหญ่ในพื้นที่กทม. ต่อมาก็ยังฮึ่มฮั่มกันมาอย่างต่อเนื่อง สภาพในพรรคเวลานี้จึงไร้ระบบ ไม่มีใครยอมใครจนเละ
00 จากสภาพที่ไร้หัว และไร้คนที่มีศักยภาพ มีอิทธิพลในการนำ ทำให้ เฉลิม อยู่บำรุง มีอาการเคลิ้มฝันไปไกลว่า ตัวเองเด่นไม่มีใครเทียบจึงต้องคิดการใหญ่ขอฝันเป็นนายกฯ ก่อนตายซักรอบ จึงกดดันกับ “แม้ว” ขออนุมัติให้ใส่ชื่อตัวเองเป็นนายกฯ คนใหม่แนบไปกับญัตติซักฟอกรัฐบาล แต่จะด้วยเหตุผลที่กลัวว่าจะมีเสียง “ยี้” ย้อนกลับมาดังกระหึ่มหรือเปล่า จึงได้รีรอ จนต้องพ่ายแพ้เกมในสภาอีกด้าน เฮ้อ กลุ้มจริงวุ้ย !!