อดีตแม่ทัพภาค 4 ห่วงสถานการณ์การเมือง-ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จี้รัฐบาลต้องเด็ดขาดกล้าตัดสินใจ ไม่เช่นนั้นฝ่ายตรงข้ามอาจนำไปเป็นข้ออ้างตั้ง รัฐปัตตานี ส่วนเครื่องจีที 200 มีดีกว่าไม่มี
พล.อ.กิตติ รัตนฉายา อดีตแม่ทัพภาคที่ 4 ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์การเมืองที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุม และสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่มีแนวโน้มว่าจะรุนแรงมากขึ้นในปีนี้ ว่า รัฐบาลต้องบริหารจัดการปัญหาเหล่านี้ให้ดี เพราะถ้าอำนาจรัฐส่วนกลางถูกท้าทาย ก็อาจเป็นช่องโหว่ที่ผู้ก่อความไม่สงบในพื้นที่ชายแดน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ฉวยโอกาสออกมาก่อเหตุได้ ดังนั้น รัฐบาลต้องกล้าหาญในทุกเรื่อง เพราะตอนนี้ปัญหากำลังรุมเร้า ทั้งเรื่องกองทัพแดง กัมพูชา และสภาฯก็รุกอย่างหนัก รัฐบาลจะอยู่เฉยได้อย่างไร กองทัพต้องทำในสิ่งที่ถูกต้อง และทำตัวเป็นกรรมการฟุตบอลที่พูดได้ว่า ใครผิดกติกา
“ผมอายุ 74 ปี ไม่เคยเห็นบ้านเมืองเราเป็นอย่างนี้มาก่อน มีทหารชั้นนายพลออกไปวุ่นวาย แล้วบอกว่า ผบ.ทบ. และ รมว.กลาโหม มาสั่งไม่ได้ ถึงเวลาแล้วที่ทหารต้องเป็นหลัก ชี้ว่าตรงนั้น ตรงนี้ทำไม่ได้ นครปัตตานี ตั้งไม่ได้นะ กองทัพแดงก็ต้องไม่ได้ อย่าไปกลัว ผมพยายามให้ทหารศึกษาว่าหน้าที่ทหารคืออะไร ทหารต้องมีอุดมการณ์ ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และ ประชาชน ซึ่งเมื่อยึดอุดมการณ์ก็ต้องยึดไปตั้งแต่ร้อยตรี จนตาย อย่างผมยังเป็นราชองครักษ์พิเศษอยู่ แต่บางคนอาจจะลืม พลเอกทั้งหลายที่เคลื่อนไหวทั้งหมดนี่ เป็นราชองครักษ์พิเศษ ยังอยู่กับในหลวง เป็นข้ารองรับพระบาท ต้องคำนึงถึงสิ่งที่สาบานกับพระรูป ร.5 ตอนเป็นนักเรียนนายร้อยฯ ว่าข้าพระพุทธเจ้าจะรักษามรดกพระองค์เจ้าด้วยเลือด และ จิตวิญญาณของทหาร ทหารทั้งหลายต้องแวะไปดูเว็บไซด์ our teacherที่พูดถึงทูลกระหม่อมอาจารย์ จะได้รำลึกถึงสิ่งที่เคยเรียนมา” อดีตแม่ทัพภาคที่ 4 กล่าว
พล.อ.กิตติ ยังมองว่าสถานการณ์ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้จะหนักขึ้นไปอีก ในห้วงระยะเวลา 6 ปีที่ผ่านมามีผู้เสียชีวิตก็ประมาณ 3 -4 พันคน เกือบเท่าสงครามอิรัก ทั้งที่สงครามอิรักเป็นสงครามใหญ่แต่คนตายเท่ากับของเรา ทั้งที่ในส่วนของเราเล็กนิดเดียว ที่สู้กับอาร์เคเคชุดเล็ก ชุด 6-12 คน แต่ยังเอาชนะไม่ได้ ทุกรัฐบาลพูดว่าถูกทางแล้วทำไมปัญหายังไม่จบ คิดว่าในปี 2553 เหตุการณ์จะยังไม่ดีขึ้น เพราะข้อมูลที่ได้มาจากวงในทราบวาว่า มีตั้งกองกำลังทหารหลักเต็มรูปแบบ พัฒนาจากการเคลื่อนไหวโดยใช้คอมมานโดแบบเมื่อก่อน ในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน ที่ผ่านมา เด็ก และ เยาวชน ออกจากหมู่บ้านไปฝึกในค่ายฝึกในป่า มีฐานปฏิบัติการเพื่อเพิ่มเติมกำลังให้อาร์เคเค ที่ถูกปราบปรามไป กำลังส่วนใหญ่จะจัดตั้งเป็นกองทัพอัสการ์ (ASKAR)แปลว่า ทหารเขียว ซึ่งเป็นทหารหลัก จำนวนเพิ่มมากกว่า 2 พันคน ต่อไปคาดว่าจะเข้าโจมตีหน่วยทหาร ซุ่มโจมตีมากขึ้น ได้ผลมากขึ้น สรุปคือต้องแรงขึ้น แต่จำนวนครั้งอาจจะน้อยลง
อดีตแม่ทัพภาคที่ 4 กล่าวว่า รัฐบาล และกองทัพต้องบริหารจัดการในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้ดี ไม่เช่นนั้นจะถูกหยิบยกไปโจมตี รวมถึงใช้ช่องว่างดังกล่าวเพื่อเป็นข้ออ้างในการหนุนเรื่อง รัฐปัตตานี ซึ่งเรื่องนี้มีการต่อสู้ทั้งขบวนการ และ ต่อสู้ด้านการเมืองระหว่างพรรคประชาธิปัตย์ กับ เพื่อไทย โดยมี แนวคิดของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ นำทาง ซึ่งตรงนี้รัฐบาลต้องยอมรับ และ ทบทวนตัวเอง อย่าพูดแต่วลีสวย ว่าสถานการณ์จะยุติใน 99 วัน หรือใช้การเมืองนำการทหาร แต่ต้องกล้าที่จะปฏิบัติ ในขณะที่ทหารเองก็ต้องทบทวนตัวเองว่าทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีหรือยัง สำหรับแนวคิดเรื่องเจรจา ถือเป็นแนวทางสันติวิธีที่เป็นทางออกของปัญหา ซึ่งการดำเนินการทำได้ทั้งทางลับและเปิดเผย
ส่วนกรณีที่มีการวิจารณ์ว่าการจัดซื้ออุปกรณ์ในการแก้ไขปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะเครื่องจีที 200 ไม่โปร่งใสจะกระทบต่อความเชื่อมั่นในการปฏิบัติหน้าที่ของทหารหรือไม่นั้น พล.อ.กิตติ กล่าวว่า เท่าที่สอบถามหน่วย ทราบว่ามีอุปกรณ์ดังกล่าวไว้ดีกว่าไม่มี แต่การทำงานอาจเป็นความลับที่คนยังไม่รู้ ซึ่งถือเป็นคุณสมบัติที่พิเศษที่ดี แต่ที่เป็นจุดอ่อนคือราคาแพง อาจจะมีการคอรัปชั่นขึ้น เพราะกระทรวงที่ดูแล ก็มีกระทรวงกลาโหมโดยกองทัพบก กระทรวงยุติธรรม กระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยกองทัพบกจัดซื้อแพงที่สุด ทำไมอุปกรณ์ประเภทเดียวราคาจึงต่างกัน ก็เลยเกิดข้อสงสัยว่า สำหรับ บอลลูน หรือ เรือเหาะนั้น ตนทราบว่าใช้ในสงครามอ่าว ในทะเลทรายไว้ตรวจการณ์รถถัง แต่ที่มาใช้ประโยชน์ในภาคใต้มีคำถามว่าคุ้มค่าหรือไม่ เพราะพื้นที่เป็นสวนยางพารา มีฝนตก และหากไปโดนจรวดยิงจะคุ้มค่าหรือไม่ อีกทั้งมีข้อครหาว่า ไม่การส่งมอบช้ากว่ากำหนด ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้คนสงสัย ว่าจะมีสิ่งที่ไม่ถูกต้อง จึงมีการวิเคราะห์และมองว่าไม่ควรซื้อเพราะแพง น่าจะไปซื้อเครื่องดักจับความถี่โทรศัพท์ ที่มีแค่สองเครื่องในปัจจุบัน
พล.อ.กิตติ รัตนฉายา อดีตแม่ทัพภาคที่ 4 ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์การเมืองที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุม และสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่มีแนวโน้มว่าจะรุนแรงมากขึ้นในปีนี้ ว่า รัฐบาลต้องบริหารจัดการปัญหาเหล่านี้ให้ดี เพราะถ้าอำนาจรัฐส่วนกลางถูกท้าทาย ก็อาจเป็นช่องโหว่ที่ผู้ก่อความไม่สงบในพื้นที่ชายแดน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ฉวยโอกาสออกมาก่อเหตุได้ ดังนั้น รัฐบาลต้องกล้าหาญในทุกเรื่อง เพราะตอนนี้ปัญหากำลังรุมเร้า ทั้งเรื่องกองทัพแดง กัมพูชา และสภาฯก็รุกอย่างหนัก รัฐบาลจะอยู่เฉยได้อย่างไร กองทัพต้องทำในสิ่งที่ถูกต้อง และทำตัวเป็นกรรมการฟุตบอลที่พูดได้ว่า ใครผิดกติกา
“ผมอายุ 74 ปี ไม่เคยเห็นบ้านเมืองเราเป็นอย่างนี้มาก่อน มีทหารชั้นนายพลออกไปวุ่นวาย แล้วบอกว่า ผบ.ทบ. และ รมว.กลาโหม มาสั่งไม่ได้ ถึงเวลาแล้วที่ทหารต้องเป็นหลัก ชี้ว่าตรงนั้น ตรงนี้ทำไม่ได้ นครปัตตานี ตั้งไม่ได้นะ กองทัพแดงก็ต้องไม่ได้ อย่าไปกลัว ผมพยายามให้ทหารศึกษาว่าหน้าที่ทหารคืออะไร ทหารต้องมีอุดมการณ์ ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และ ประชาชน ซึ่งเมื่อยึดอุดมการณ์ก็ต้องยึดไปตั้งแต่ร้อยตรี จนตาย อย่างผมยังเป็นราชองครักษ์พิเศษอยู่ แต่บางคนอาจจะลืม พลเอกทั้งหลายที่เคลื่อนไหวทั้งหมดนี่ เป็นราชองครักษ์พิเศษ ยังอยู่กับในหลวง เป็นข้ารองรับพระบาท ต้องคำนึงถึงสิ่งที่สาบานกับพระรูป ร.5 ตอนเป็นนักเรียนนายร้อยฯ ว่าข้าพระพุทธเจ้าจะรักษามรดกพระองค์เจ้าด้วยเลือด และ จิตวิญญาณของทหาร ทหารทั้งหลายต้องแวะไปดูเว็บไซด์ our teacherที่พูดถึงทูลกระหม่อมอาจารย์ จะได้รำลึกถึงสิ่งที่เคยเรียนมา” อดีตแม่ทัพภาคที่ 4 กล่าว
พล.อ.กิตติ ยังมองว่าสถานการณ์ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้จะหนักขึ้นไปอีก ในห้วงระยะเวลา 6 ปีที่ผ่านมามีผู้เสียชีวิตก็ประมาณ 3 -4 พันคน เกือบเท่าสงครามอิรัก ทั้งที่สงครามอิรักเป็นสงครามใหญ่แต่คนตายเท่ากับของเรา ทั้งที่ในส่วนของเราเล็กนิดเดียว ที่สู้กับอาร์เคเคชุดเล็ก ชุด 6-12 คน แต่ยังเอาชนะไม่ได้ ทุกรัฐบาลพูดว่าถูกทางแล้วทำไมปัญหายังไม่จบ คิดว่าในปี 2553 เหตุการณ์จะยังไม่ดีขึ้น เพราะข้อมูลที่ได้มาจากวงในทราบวาว่า มีตั้งกองกำลังทหารหลักเต็มรูปแบบ พัฒนาจากการเคลื่อนไหวโดยใช้คอมมานโดแบบเมื่อก่อน ในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน ที่ผ่านมา เด็ก และ เยาวชน ออกจากหมู่บ้านไปฝึกในค่ายฝึกในป่า มีฐานปฏิบัติการเพื่อเพิ่มเติมกำลังให้อาร์เคเค ที่ถูกปราบปรามไป กำลังส่วนใหญ่จะจัดตั้งเป็นกองทัพอัสการ์ (ASKAR)แปลว่า ทหารเขียว ซึ่งเป็นทหารหลัก จำนวนเพิ่มมากกว่า 2 พันคน ต่อไปคาดว่าจะเข้าโจมตีหน่วยทหาร ซุ่มโจมตีมากขึ้น ได้ผลมากขึ้น สรุปคือต้องแรงขึ้น แต่จำนวนครั้งอาจจะน้อยลง
อดีตแม่ทัพภาคที่ 4 กล่าวว่า รัฐบาล และกองทัพต้องบริหารจัดการในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้ดี ไม่เช่นนั้นจะถูกหยิบยกไปโจมตี รวมถึงใช้ช่องว่างดังกล่าวเพื่อเป็นข้ออ้างในการหนุนเรื่อง รัฐปัตตานี ซึ่งเรื่องนี้มีการต่อสู้ทั้งขบวนการ และ ต่อสู้ด้านการเมืองระหว่างพรรคประชาธิปัตย์ กับ เพื่อไทย โดยมี แนวคิดของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ นำทาง ซึ่งตรงนี้รัฐบาลต้องยอมรับ และ ทบทวนตัวเอง อย่าพูดแต่วลีสวย ว่าสถานการณ์จะยุติใน 99 วัน หรือใช้การเมืองนำการทหาร แต่ต้องกล้าที่จะปฏิบัติ ในขณะที่ทหารเองก็ต้องทบทวนตัวเองว่าทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีหรือยัง สำหรับแนวคิดเรื่องเจรจา ถือเป็นแนวทางสันติวิธีที่เป็นทางออกของปัญหา ซึ่งการดำเนินการทำได้ทั้งทางลับและเปิดเผย
ส่วนกรณีที่มีการวิจารณ์ว่าการจัดซื้ออุปกรณ์ในการแก้ไขปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะเครื่องจีที 200 ไม่โปร่งใสจะกระทบต่อความเชื่อมั่นในการปฏิบัติหน้าที่ของทหารหรือไม่นั้น พล.อ.กิตติ กล่าวว่า เท่าที่สอบถามหน่วย ทราบว่ามีอุปกรณ์ดังกล่าวไว้ดีกว่าไม่มี แต่การทำงานอาจเป็นความลับที่คนยังไม่รู้ ซึ่งถือเป็นคุณสมบัติที่พิเศษที่ดี แต่ที่เป็นจุดอ่อนคือราคาแพง อาจจะมีการคอรัปชั่นขึ้น เพราะกระทรวงที่ดูแล ก็มีกระทรวงกลาโหมโดยกองทัพบก กระทรวงยุติธรรม กระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยกองทัพบกจัดซื้อแพงที่สุด ทำไมอุปกรณ์ประเภทเดียวราคาจึงต่างกัน ก็เลยเกิดข้อสงสัยว่า สำหรับ บอลลูน หรือ เรือเหาะนั้น ตนทราบว่าใช้ในสงครามอ่าว ในทะเลทรายไว้ตรวจการณ์รถถัง แต่ที่มาใช้ประโยชน์ในภาคใต้มีคำถามว่าคุ้มค่าหรือไม่ เพราะพื้นที่เป็นสวนยางพารา มีฝนตก และหากไปโดนจรวดยิงจะคุ้มค่าหรือไม่ อีกทั้งมีข้อครหาว่า ไม่การส่งมอบช้ากว่ากำหนด ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้คนสงสัย ว่าจะมีสิ่งที่ไม่ถูกต้อง จึงมีการวิเคราะห์และมองว่าไม่ควรซื้อเพราะแพง น่าจะไปซื้อเครื่องดักจับความถี่โทรศัพท์ ที่มีแค่สองเครื่องในปัจจุบัน