“5 แกนนำพันธมิตรฯ” เปิดใจครบรอบ 4 ปี พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย “สนธิ” ยันจิตวิญญาณพันธมิตรฯ เหมือนเดิม ยันแกนนำไม่แตกแยก ยันถวายฎีกาคดีดา ตอร์ปิโด เพื่อขอความเป็นธรรม ซัดอัยการเร่งคดีตน ไม่ปิดเงียบคดี 3 เกลอป่วนเมือง ถาม “มาร์ค” คดีลอบยิงไปถึงไหนแล้ว "สมเกียรติ" หวังศาลไม่ทำให้ประชาชนผิดหวัง "จำลอง" ถามพวกด่า จะยอมให้เขาล้ม 3 สถาบันหรือ "สมศักดิ์" ชี้หน้าที่ต้องตีงูก่อน "พิภพ" คาดล่าชื่อถอด 102 ส.ส.ชำเรารัฐธรรมนูญ ครบ 20,000 ชื่อในสัปดาห์หน้า "ยะใส" เชื่อ พลังเงียบไม่เพิกเฉย หาก "ทักษิณ" กลับมา
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง 5 แกนนำพันธมิตรฯ เปิดใจครบรอบ 4 ปี พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
วันนี้ (9 ก.พ.) ที่สถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี 5 แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย นำโดยนายสนธิ ลิ้มทองกุล พล.ต.จำลอง ศรีเมือง นายพิภพ ธงไชย นายสมศักดิ์ โกศัยสุข นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ และนายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรฯ ได้เดินทางมาให้สัมภาษณ์ผ่านรายการสภาท่าพระอาทิตย์ เนื่องในโอกาสครบรอบ 4 ปี ของการก่อตั้งพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย โดยนายสนธิกล่าวว่า จิตวิญญาณของพันธมิตรตลอด 4 ปียังเหมือนเดิม ในส่วนของ 5 แกนนำพันธมิตรฯ ยังคงได้พบกันตลอด ส่วนการจะจัดชุมนุมใหญ่เมื่อไหร่นั้น ถ้าเป็นพันธมิตรจริงจิตวิญญาณของพันธมิตรจะบอกเอง ทั้งนี้ ตลอด 4 ปีที่ผ่านมาพวกเราหล่อหลอมความอดทนสูง พันธมิตรเป็นแค่นามธรรมไม่มีสมาชิกและใครก็เป็นได้ แต่ต้องมีจิตวิญญาณ แม้กระทั่งคนในกลุ่มเสื้อแดงบางคน ถ้าเห็นด้วยกับการต่อต้านฉ้อราษฎร์บังหลวง พวกล้มสถาบัน ทวงดินแดนอันเป็นสมบัติชาติคือมา และต้องให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ยอมรับคำพิพากษา ถ้าเห็นด้วยดังนี้ถึงจะใส่เสื้อแดงก็คือพันธมิตรฯ ได้
นายสนธิกล่าวต่อว่า สิ่งที่พันธมิตรฯ ลุกขึ้นต่อสู้เป็นอันตรายต่อสังคมเก่าที่มีแต่การหลับตาข้างเดียวปล่อยให้หยวนๆ กันไป เราคือศัตรูที่ร้ายกาจที่สุดในการหยิบยืมอำนาจมาใช้ในมือ ทั้งนี้สิ่งที่เราสู้คือสิ่งที่คนในสมัยโบราณทำมานานแล้ว และตนมองว่านักการเมืองสมัยก่อนโดยเฉพาะชาวอีสานมีความหนักแน่น ผิดกับเดี๋ยวนี้ที่มีแต่การคอร์รัปชัน ในส่วนของ 5 แกนนำนั้น เราหล่อหลอมกันเป็นหนึ่งและแตกแยกไม่ได้ แต่อาจมีขัดแย้งกันบ้างเพราะบุคคลิกของแต่ละคนที่ต่างกัน ซึ่งตนยอมรับว่าแรกๆ ที่ก่อตั้งพันธมิตรฯ ก็เริ่มมีความระวังตัวต่อกันและกัน แต่พอผ่าน 193 วัน ทุกคนรู้ว่าแต่ละคนมีจิตใจที่บริสุทธิ์ บางทีก็มีหงุดหงิดกันบ้างแต่ก็เหมือนเพื่อนกัน สุดท้ายพอเอาส่วนรวมเป็นตัวตั้งก็จบ และตนยืนยันว่า จากการต่อสู้ไม่มีใครได้อะไรแม้แต่นิดเดียว มีแต่คำสรรเสริญกับคำด่า และคดีที่ติดตัว
ขณะที่กรณีการถวายฎีกาคดีนำคำปราศรัยของ “ดา ตอร์ปิโด” หรือ น.ส.ดารณี ชาญเชิงศิลปกุล มาปราศรัยบนเวทีพันธมิตรฯ นายสนธิกล่าวว่า การถวายฎีกาดังกล่าวไม่ได้เป็นการขอพระราชทานอภัยโทษ แต่เป็นการขอความเป็นธรรม เนื่องจากตนเป็นผู้พูดบนเวทีพันธมิตรฯ เพื่อชี้ให้เห็นว่า มีผู้กล่าวหมิ่นสถาบัน และให้เจ้าหน้าที่ไปดำเนินคดี แต่กลับถูกโดนดำเนินด้วย และโดยตามธรรมเนียมอัยการจะต้องรอพระราชวินิจฉัยก่อนถึงจะสั่งฟ้อง แต่นี่กลับจะทำทันที แต่กรณีของแกนนำ นปช. กลับไม่ทำ
นายสนธิกล่าวอีกว่า ทั้ง 5 แกนนำทุกคนบาดเจ็บหมด เจ็บมากเจ็บน้อยก็แล้วแต่คน ทั้งๆ ที่มีการลอบสังหารเกิดขึ้นกลางเมืองแต่ตำรวจกลับทำอะไรไม่ได้ ทุกวันนี้เห็นตำรวจนั่งหามือปาขี้นายกฯ แต่กลับไม่ทำคดีลอบสังหารตน ส่วนที่มีกระแสข่าวว่าตนหายตัวไปนั้น พวกเราไม่ใช่วีรบุรุษ เราคือชาวบ้านธรรมดา เมื่อมีศึกสงครามก็จับดาบสู้ พอสงบศึกก็กลับไปทำหน้าที่ของตัวเอง ตนไม่ได้หายไปไหน แต่จำเป็นต้องไปรักษาขา และไม่ได้หนีลอบสังหาร เพราะยังไงพวกมันก็ต้องทำ ล่าสุดยังโดนแกนนำเสื้อแดงปล่อยข่าวว่า ทางการลาวไม่ให้ตนเข้าประเทศเพราะไปโกงเขา ทั้งๆ ที่ล่าสุดเจ้าหน้าที่ระดับสูงของลาวยังฝากความคิดถึงมาให้ตน รวมทั้งตนก็ไม่เคยหนีคดี ศาลนัดวันไหนก็ไปพบ
“คดีบุกบ้านป๋า คดีจักรภพหมิ่นสถาบันกลับเงียบ แต่มาถึงคดีสนธิกลับเร่งดำเนินคดีไปหมด อัยการข้างทักษิณก็มี จริงๆ พวกเราถูกใช้ 2 มาตรฐานตลอด โดนยิง ตายเป็นสิบ เจ็บเป็น 100 ขนาด ป.ป.ช.ชี้มูลให้มีความผิด ตร.ยังกลับไม่ให้ผิด ขอฝากถามถึงนายกฯ คดียิงสนธิไปถึงไหนแล้ว” นายสนธิกล่าว
นายสนธิกล่าวต่อว่า พันธมิตรฯ ถูกหล่อหลอมเป็นเหมือนเหล็กไหล อนาคตของเราจะทำงานเพื่อส่วนรวม เราหวังให้ประเทศมีคนบริหารด้วยคนดี ซื่อสัตย์ เสียสละ กล้าหาญ และทำงานเป็น เรายืนยันว่า พันธมิตรฯ จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง และเป็นเหมือนเดิม
ด้านนายสมเกียรติ กล่าวว่า ตนขอคารวะดวงวิญญาณวีรชนที่ร่วมต่อสู้กันมา และขออวยพรให้แกนนำที่ไปอยู่ฝ่ายเสื้อแดงให้โชคดีด้วย ทั้งนี้ 4 ปีที่ผ่านมาของพันธมิตรฯ ถือเป็นพลังที่ก้าวหน้าที่สุด คือพลังด้านศีลธรรม ต่อสู้กับระบอบที่แข็งแรงที่สุดคือ “ระบอบทักษิณ” ที่มีความเบ็ดเสร็จทั้งเสียงในสภาฯ กองทัพ และองค์กรอิสระ แต่การชุมนุมครั้งแรกของพันธมิตรฯ ก็สามารถทำให้พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องยุบสภาฯ และต้องยอมรับว่า ถือพันธมิตรฯ เป็นพลังส่วนที่ก้าวหน้าที่สุดของสังคมเป็นกระแสที่สั่นสะเทือนไปถึงคนไทยทั่วโลก และยืนยันว่าพันธมิตรยังคงคำเดิม คือรักษาชาติ ศาสนา กษัตริย์
ส่วนที่มีคนกล่าวว่าพันธมิตรฯ ถูกชุบมือเปิบหลังจบการชุมนุมแล้ว นายสมเกียรติ กล่าวว่า ถ้าคิดแบบกรณี 14 ตุลาคม 2516 และพฤษภาทมิฬ คนที่มาครองอำนาจก็ไม่ใช่คนของประชาชน แต่อย่ามองว่าสิ่งที่ได้ทำนั้นสูญเปล่า ถ้ามีการยุบสภาตอนนี้ก็จะมีคนไม่ดีออกมา พันธมิตรฯสู้มา 4 ปี มีปฏิวัติ เสื้อแดงขยายตัว ความแตกแยกเพิ่มขึ้น จาบจ้วงสถาบันเพิ่มขึ้น แต่มีสิ่งที่ดีคือ ประชาชนรู้ว่าได้เสียสละและมีพลังทางศีลธรรมเพิ่มมากขึ้น ซึ่งตนอยากให้ดูพฤติกรรมบางอย่างในขณะนี้ ระหว่างที่เสื้อแดงขยายตัวสยายปีกเพิ่มขึ้น พันธมิตรหดตัวลง แต่รัฐกลับไม่ใช้อำนาจด้านความมั่นคงทำอะไรเลย คนในสภายังพูดเลยว่า หากเลือกตั้งอีกที ประเทศมืดมน ขณะที่ภารกิจในปีที่ 5 ของพันธมิตรฯ ก็ยังคงอยู่ในการทำงานตามสถานการณ์ แต่ในส่วนของพรรคการเมืองใหม่ยังคงไปเร็วไม่ได้ ทั้งนี้ตนยอมรับว่า ตนเห็นคำพิพากษาคดีที่เราต่อสู้มา ทั้งกล้ายาง หวยบนดิน แล้วรู้สึกเหนื่อยล้า ก็ได้แต่หวังว่า องค์กรที่ทำหน้าที่เพื่อบ้านเมืองยังคงอยู่ โดยเฉพาะศาล ที่จะไม่ทำให้ประชาชนผิดหวัง
ขณะที่ พล.ต.จำลอง กล่าวว่า ถ้าพันธมิตรฯไม่ออกมาต่อสู้ ตนเชื่อว่า บ้านเมืองจะแย่กว่านี้ ส่วนเรื่องจิตสำนึกทางการเมืองนั้น เมื่อเขาไม่ทำเราก็ต้องทำ จริงๆแล้ว ถ้าเราไม่ทำเราก็อยู่ได้ แต่เราต้องทำเพราะหลายคนมันไม่ทำ ใครจะคิดยังไงก็ช่างเขา ถ้าเราคิดว่าคนนั้นไม่ทำแล้วเราทำทำไม บ้านเมืองก็จบกัน ขณะที่กรณีดึงพ.ต.ท.ทักษิณ ลงเล่นการเมือง ตอนแรกๆตนเห็น พ.ต.ท.ทักษิณ เขาดี แต่หลังๆเขาเปลี่ยนไป และทันทีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ขายชินคอร์ปให้เทมาเส็ก ตนก็เขียนจดหมายเปิดผนึกถึง พ.ต.ท.ทักษิณเพื่อคัดค้าน ซึ่งตอนที่อยู่พลังธรรมตนเคยบอกว่า นักการเมืองต้องเสียสละ แต่ทักษิณกลับไม่ทำ ทั้งนี้ พล.ต.จำลองยังปฏิเสธว่า ไม่เคยคุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ทางโทรศัพท์หลังจากวันนั้น เพราะตนคิดว่าเขาเปลี่ยนไปแล้ว
พล.ต.จำลอง กล่าวต่อว่า ที่พวกเรามารวมตัวกันก็ไม่ได้อยากเป็นแกนนำ และยังไม่รู้เลยว่าจะได้เป็นหรือเปล่า ส่วนคนที่บอกว่า พันธมิตรฯทำให้มีเสื้อแดง และเกิดความแตกแยก จึงอยากถามว่า ถ้าเรายอมเขา ก็คือปล่อยให้เขาทำลาย 3 สถาบันอย่างนั้นหรือ ซึ่งถ้ารัฐบาลใช้กระบวนการยุติธรรมจัดการทุกอย่างแล้วจะไม่เกิดความวุ่นวายขึ้น แต่ขณะนี้ตนมองว่า รัฐบาลใช้อำนาจอย่างอ่อนแอ ทั้งนี้ยืนยันว่า พลังพันธมิตรไม่น้อยกว่าเดิมแน่นอน พันธมิตรยืนอยู่ได้ เพราะมีเพื่อนดีทุกแห่งหน และตนคิดว่าแข็งแกร่งขึ้นกว่าเก่าด้วยซ้ำ
ด้านนายสมศักดิ์ กล่าวว่า ตนเคยต่อสู้ร่วมกับ พล.ต.จำลอง สมัยพฤษภาทมิฬ ปี 2535 และตนเชื่อว่า คนเนรคุณคนจะไม่เจริญ ทั้งนี้นายสมศักดิ์เปิดเผยด้วยว่า ตนเป็นคนไปชวนพล.ต.จำลอง ระหว่าง พล.ต.จำลองชุมนุมต่อต้านเบียร์ช้างเข้าตลาดหลักทรัพย์ ที่ถ.วิทยุ ส่วนที่ตนเข้าร่วมชุมนุมเพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ ดันขายรัฐวิสาหกิจ ทั้งนี้ยอมรับว่า สมัยที่ชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรฯ ตนเห็นคนดีเยอะมากๆ ถ้าตายนี่ถือว่า ขึ้นสวรรค์แล้ว ขณะที่หน้าที่ของพันธมิตรฯ ถ้ามีงูมาเราต้องตีงูก่อน ส่วนกาจะมาจิกงูกินก็เป็นเรื่องของมัน และตนยังเชื่อมั่นว่า กำลังพันธมิตรยังสามารถจัดการกับคนไม่ดีอยู่ แต่ก็อยู่ที่กิจกรรมของพันธมิตรฯที่จะทำกัน แต่คำพูดที่ว่า กลุ่มเสื้อแดงแข็งแรงขึ้นไม่น่าจะจริง เพราะคนกลุ่มนี้ความชอบธรรมไม่มีแล้ว และคนเริ่มถอยห่าง
นายพิภพ กล่าวถึงการคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า พันธมิตรยังมีจุดมุ่งหมายเดิมคือการคัดค้านการขายชาติ แก้ไขกฏหมายเพื่อประโยชน์ตน ตนเชื่อว่า จุดมุ่งหมายเดิมของการแก้รัฐธรรมนูญต้องอยู่บนธรรมะ แต่คนพวกนั้นไม่แก้เพื่อเช่นนั้น เราจึงได้ตัดสินใจประกาศคัดค้านแก้รธน. จากนั้นเราจึงทำตามช่องทางตามกฏหมาย คือยื่นหนังสือเพื่อเสนอตัวจะขอล่าชื่อถอดถอน 102 ส.ส.ที่เข้าร่วมแก้รัฐธรรมนูญ และตนคาดว่าจะเสร็จครบ 20,000 ชื่อ ภายใน 2 สัปดาห์นี้
ส่วนที่ว่าพลังของทางสังคมลดลงไปหรือไม่ นายพิภพ กล่าวว่า ตนมองว่า ตั้งแต่มีการต่อสู้กันมาในบ้านเมือง พลังเหล่านี้จะไม่หายไปไหน แต่จะถูกส่งต่อและขยายตัวไป ในกลุ่มเสื้อแดงเองก็มีพลังส่วนนี้อยู่ ซึ่งถ้าคนพวกนี้ตัดเรื่องของพ.ต.ท.ทักษิณออกไป พวกนี้ก็จะร่วมสร้างสังคมที่ดีได้ และช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่เหมาะที่สุดนำไปสู่สังคมแห่งการเปลี่ยนแปลง กำกับความรุนแรงภายใต้ฝีมือ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยภาครัฐ ทหาร และประชาชน ซึ่งถ้าผ่านเดือนมีนาคมไปได้ จะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นแน่ แต่ทั้งนี้ศาล และอัยการ จะต้องมีมาตรฐานเดียวคือความยุติธรรม ต้องอธิบายต่อสังคมได้ ถึงจะยุติความรุนแรงได้ โดยที่ไม่มีประชาชนเข้าร่วม ส่วนพวกที่จงใจทำรุนแรงก็ต้องให้รัฐจัดการ
นายสุริยะใส กล่าวเสริมว่า ตอนนี้เราเชื่อใจใครไม่ได้นอกจากพลังพันธมิตรฯ ถ้าเราเชื่อมั่นพลังแบบนี้เราไม่ต้องกลัว และตนเชื่อว่า พลังเงียบจะไม่เพิกเฉยต่อการกลับมาของ พ.ต.ท.ทักษิณ
รายละเอียด 5 แกนนำพันธมิตรฯในรายการสภาท่าพระอาทิตย์
กมลพร - สวัสดีค่ะขอต้อนรับคุณผู้ชมและคุณผู้ฟังเข้าสู่รายการสภาท่าพระอาทิตย์ วันนี้วันอังคารที่ 9 กุมภาพันธ์ 2553 อยู่กับกมลพร วรกุล ในสภาท่าพระอาทิตย์ วันนี้เรามีแขกสำคัญเยอะเลยทีเดียว มาสวัสดีพร้อมๆ กันเสียก่อนคุณผู้ชมจะได้ไม่ตกใจ เพราะว่าวันนี้ทั้ง 5 แกนนำ และผู้ประสานงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย อยู่กับเราในสภาท่าพระอาทิตย์ สวัสดีค่ะ
5 แกนนำ - สวัสดีครับ
กมลพร - เห็นมานั่งในรายการ 5 คน มีหนาวๆ ร้อนๆ เหมือนกันนะคะ มาอยู่กันแบบนี้ ต้องให้พี่ใสชี้แจงแล้วล่ะค่ะว่าทำไมทั้ง 5 ท่าน รวมถึงพี่ใสมาออกรายการนี้
สุริยะใส - จริงๆ 2-3 วันนี้ก็มีการหารือกันว่า ในโอกาสที่เราครบรอบ 4 ปี หลายคนอาจจำไม่ได้ จริงๆ คือวันนี้เป็นวันที่มีการประกาศตั้งพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เมื่อ 4 ปีที่แล้ว 9 กุมภาฯ 49 นัดชุมนุมครั้งแรกคือ 11 กุมภาฯ 49 ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า เพราะฉะนั้นนัยสำคัญของวันนี้ก็เป็นวันประวัติศาสตร์วันหนึ่ง และ 5 แกนนำได้มาอยู่กันพร้อมหน้า ผมก็คิดว่าน่าจะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้เหลียวหลังแลหน้า โดยเฉพาะสถานการณ์ที่มันติดหล่มต่อเนื่องมา 3 ปี จะไปข้างหน้าอย่างไร ผมคิดว่าวันนี้หลายคนคงรอคอย เสียดายที่เราไม่ได้ประชาสัมพันธ์ล่วงหน้า เพราะนี่ก็เพิ่งกลับมาจากตรังหลายท่าน คุณสนธิก็อยู่ต่างประเทศด้วย ก็เลยคิดว่าเป็นโอกาสดีที่จะได้ฟังแกนนำวิเคราะห์ ผมอยากให้มองปัจจุบันและข้างหน้ามากกว่า น้องเก๋ เพราะเราสรุปบทเรียน ผ่านรายการ อ.สมเกียรติ วันพฤหัสฯ ก็ใช้เป็นเวทีสรุปบทเรียน อยากให้มองปัจจุบันและข้างหน้า และก็ทราบว่าทางคุณสนธิ สักพักก็ต้องไปธุระต่อ แล้ว อ.สมเกียรติ เบรค 2 ก็อยู่กับเราไม่ได้ ก็เลยคิดว่าจะฟังมุมมองทางพี่สนธิกับ อ.สมเกียรติก่อน 3 ท่านก็อาจจะเป็นช่วงหลัง ว่ามองปัจจุบันและข้างหน้าอย่างไร กับอนาคตและบทบาทของพี่น้องพันธมิตรฯ
กมลพร - ต้องถามคุณสนธิแล้วค่ะ เพราะว่าหลายคน ถ้าเป็นนักข่าววันนี้นั่งดู ASTV อยู่ เห็นทั้ง 5 ท่านมานั่งด้วยกันแบบนี้ สถานการณ์มันอาจจะดูตึงเครียดถึงขนาดต้องมีการประชุม วอร์มอัพ หรือว่ามีการเตรียมความพร้อมในการจะออกมาต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ คือชุมนุมใหญ่อีกหรือเปล่า ถึงมารวมกันแบบนี้
สนธิ - จิตวิญญาณของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยมันได้เกิดแล้ว เพราะฉะนั้นแล้วการที่จะมาเจอกัน ธรรมดาแล้วมันก็ผิดปกติอยู่แล้ว แต่ว่าการมาเจอกันบางครั้งเราไม่มีอะไรเลย อย่างท่านจำลอง พี่ลองนี่ก็จะมาดูแลเรื่องปุ๋ย อ.สมเกียรติ ก็แวะมาตลอดเวลา พี่สมศักดิ์เองก็ เนื่องจากพรรคการเมืองใหม่อยู่แถวๆ นี้ ก็แวะมาเยี่ยม พี่พิภพก็เหมือนกัน เพราะฉะนั้นแล้วการพบกับพวกเรา จะพบกันต่างกรรมต่างวาระตลอดเวลา แต่ในบางครั้งเราก็จะมานั่งเจอกันเพื่อวิเคราะห์สถานการณ์ การชุมนุมใหญ่หรือไม่ชุมนุมใหญ่ จริงๆ แล้วผมอยากจะพูดอย่างนี้ว่า ถ้าเป็นพันธมิตรฯ จริงและมีจิตวิญญาณ สัญชาติญาณจะบอกเอง จริงๆ แล้วแทบจะไม่ต้องให้ 5 แกนนำมาประกาศเลย เขารู้ว่าถึงเวลาแล้ว คือเขาจะรู้ด้วยตัวเขาเอง
4 ปีที่ผ่านมานี้ มันได้หล่อหลอมอะไรเข้ามาเยอะมาก สิ่งที่หล่อหลอมมากที่สุดก็คือว่า ความอดทน ผมคิดว่าแกนนำพันธมิตรฯ ตลอดจนพันธมิตรฯ ทั้งหลายนั้นมีความอดทนสูง ในขณะซึ่ง 4 ปีได้พัฒนาไปเยอะ พันธมิตรฯ นี่เป็นนามธรรมนะ ไม่ได้มีสมาชิก ถ้าใครยกมือบอกผมก็เป็นพันธมิตรฯ เขาก็เป็นได้ แต่คำว่าพันธมิตรฯ ที่แท้จริง ที่มีจิตวิญญาณก็คือว่า มีความรู้สึกต่อปัญหาชาติบ้านเมือง ต่อกรณีการฉ้อราษฎร์บังหลวงอย่างไร ต่อกรณีของปราสาทเขาพระวิหารอย่างไร ต่อกรณีของการจ้องที่ล้มเจ้าอย่างไร ต่อกรณีของการที่จะสร้างชาติบ้านเมืองให้ดีขึ้น ต่อกรณีของนักการเมืองเลวๆ อย่างไร ถ้ามีเหมือนกับสิ่งซึ่งพวกเราต่อสู้กันมาตลอด เขาก็เป็นพันธมิตรฯ แม้กระทั่งพวกฝ่ายตรงกันข้าม สมมติพวกเสื้อแดงบางคนเกิดวันหนึ่งลุกขึ้นมาบอกว่า ผมเห็นด้วย คือผมเคยพูดตลอดเวลา คุณเก๋ และผมคิดว่าทั้งพี่ลอง ที่พิภพ พี่สมศักดิ์ และ อ.สมเกียรติ ก็เห็นด้วย ถามว่า 1.เราต่อต้านการฉ้อราษฎร์บังหลวงไหม เห็นด้วยไหม เห็นด้วย เห็นด้วยไหมว่าประเทศชาติจะต้องมีสถาบันกษัตริย์ แล้วก็อย่าไปจาบจ้วง ยังคงพระราชอำนาจอยู่ เห็นด้วยไหม เห็นด้วยสอง แล้ว 3.เห็นด้วยไหมว่าเราต้องเรียกดินแดนของเราคืน เขาพระวิหาร ที่เขมรรุกเข้ามา เห็นด้วยไหม เห็นด้วย 4.เห็นด้วยไหมว่าถ้าคุณทักษิณเมื่อได้รับคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วต้องเคารพในกฎหมาย เห็นด้วยไหม เห็นด้วย 5.เห็นด้วยไหมว่าต้องไม่แก้รัฐธรรมนูญเพื่อให้คนซึ่งต้องคำพิพากษา คุณทักษิณพ้นผิด เห็นด้วย ถ้าเห็นด้วย อยู่ที่ไหนในทั่วแคว้นแดนไทยก็คือพันธมิตรฯ ถึงแม้จะใส่เสื้อแดงวันนี้ ถ้าเห็นด้วยใน 5 ข้อนี้ก็ต้องใช่
ทีนี้ ปัญหาสำคัญของพันธมิตรฯ ที่เจอก็คือว่า เนื่องจากสิ่งซึ่งพันธมิตรฯ ยืนมันเป็นอันตรายต่อโครงสร้างเก่า โครงสร้างทางการเมืองเก่า โครงสร้างทางธุรกิจเก่า โครงสร้างทางสังคมเก่า สังคมเก่าคือสังคมการหลับตาข้างหนึ่ง เอ้า! หยวนน่า ช่างมันนะ ปล่อยกันไป นี่น้องผม น้องผมทำผิด ไม่เป็นไร แก้ไขได้ เพราะฉะนั้นแล้วพวกเรา โดยที่พวกเราไม่รู้ตัว แต่ตอนนี้ก็รู้กันหมดแล้ว เราคือศัตรูที่ร้ายกาจที่สุดของคนที่ต้องการที่จะยืมอำนาจในมือ แล้วมาใช้วิธีเดิมๆ ในการปกครองชาติบ้านเมือง พวกเราก็เลยกลายเป็นศัตรูหมายเลข 1 ของพวกเขา ทั้งๆ ที่สิ่งซึ่งพวกเราสู้มันก็คือสิ่งซึ่งคนโบราณเขาทำกันมาตั้งนานแล้ว ใช่ไหม
คนไทยสมัยโบราณไม่โกงคนนะ คนไทยในสมัยโบราณ ผมเห็นข้าราชการสมัยโบราณ เดี๋ยวคุณ ผมอยากฝากคำถามให้คุณเก๋ลองถามพี่ลองดู ว่าทหารสมัยโบราณเขาเป็นอย่างไร เขาคิดอย่างไร ถามพี่พิภพดูว่าสมัยพี่พิภพเด็กๆ คุณพ่อ คุณแม่ สิ่งแวดล้อมเป็นอย่างไร เขาไม่คดโกงกัน เขาค้าขายกัน เขาขายกันซื่อตรง ตรงไปตรงมา เขาไม่โกงกัน สมัยก่อนปัญหาแรงงานไม่มีนะ เพราะนายจ้างกับลูกจ้างมีความเอื้ออาทรกัน นักการเมืองสมัยโบราณ นักการเมืองที่ดีๆ นักการเมืองที่ซื่อสัตย์ยุติธรรม อย่างเช่นคุณเตียง ศิริขันธ์ ทองพูน อรรถขันธ์ ซึ่งน่าประหลาดใจนักการเมืองซึ่งอุดมการณ์ที่หนักแน่น ซื่อสัตย์ กล้าหาญที่สุด กลายเป็นนักการเมืองภาคอีสาน แต่วันนี้นักการเมืองภาคอีสานกลายเป็นนักการเมืองที่คอร์รัปชั่นมากที่สุด เพราะฉะนั้นสิ่งซึ่งเราเรียกร้องนี่ไม่ใช่ของใหม่นะ แต่มันเป็นของเก่าซึ่งเขาลืมไปนานแล้ว ความผูกพันของเรา 5 คน รวมทั้งคุณสุริยะใส มันลึกซึ้งเกินกว่าที่อะไรจะมาทำให้แตกแยกได้ ถามว่าเราเคยมีความเห็นขัดแย้งกันไหม มี หลายคน บุคลิกแต่ละคนไม่เหมือนกัน บุคลิกพี่พิภพนี่นักวิชาการ บุคลิกพี่สมศักดิ์นี่แรงงาน พี่สมศักดิ์นี่ขาลุย บุคลิกพี่ลองนี่ ถึงไหนถึงกันถ้าเป็นเรื่องถูกต้อง ถ้ามีธรรมนำหน้าแล้วพี่ลองตายเป็นตาย บุคลิก อ.สมเกียรติ คนจน บุคลิกของผมคือสื่อมวลชน เพราะฉะนั้น 4-5 บุคลิกนี้มาหลอมรวมกัน แล้วกลายเป็นพลังอันหนึ่ง เชื่อผมคุณกมลพร ไม่มีใครทำให้แตกแยกได้
ผมยอมรับว่าตอนแรกๆ ที่เราเริ่มกันเมื่อประมาณปี 48 ปลายปี 48 ต้นปี 49 ช่วงนั้นเรามีความระวังตัวซึ่งกันและกัน เพราะยังไม่รู้จัก ยังไม่รู้จักก็ระวัง บางคนก็ระวังพี่ลอง พี่ลองก็ระวังพี่พิภพ พี่พิภพก็ระวังผม มันระวังกันไปหมดเลย แต่พอผ่าน 48-49-50-51-52 ที่สำคัญที่สุดคือผ่าน 193 วันไปแล้ว ทุกคนรู้ซึ้งว่าทั้ง 4 คน 5 คน มีจิตใจที่บริสุทธิ์ มันเป็นเรื่องธรรมดา บางทีทำอะไรแล้วก็หงุดหงิดกันบ้าง แต่มันก็เหมือนคบกันเป็นเพื่อน แต่ในที่สุดแล้ว ก็คือว่า เฮ้ย! เขาจิตบริสุทธิ์ 2.อุดมการณ์เหมือนกัน 3.จริงๆ แล้วถึงที่สุดแล้วพอเอาส่วนรวมเป็นตัวตั้ง คุณกมลพรต้องจำไว้ ผมเป็นคนพูดตลอดเวลา ว่าปัญหาชาติบ้านเมืองเป็นปัญหาที่แก้ง่ายที่สุด แล้วพันธมิตรฯ ทำไมถึงมีแนวทางที่ชัดเจนกว่าคนอื่น เพราะอะไร เพราะเราเอาส่วนรวมเป็นตัวตั้ง ถ้าคุณไม่เอาส่วนร่วมเป็นตัวตั้ง เอาส่วนตัว เอาผลประโยชน์ส่วนตัว เอาผลประโยชน์พี่น้อง เอาผลประโยชน์พรรคพวก เอาผลประโยชน์เพื่อนฝูง เป็นตัวตั้ง ส่วนร่วมพังทลาย เรายอมไม่ได้ แล้วทำไมเราอยู่ได้ทุกวันนี้ เพราะว่าเราเอาส่วนรวมเป็นตัวตั้งตลอดเวลา ถามว่าพี่พิภพได้อะไร พี่สมศักดิ์ได้อะไร พี่ลองได้อะไร อ.สมเกียรติ ได้อะไร ผมได้อะไร ไม่มีใครได้อะไรทั้งสิ้นเลย ไม่มี ไม่มีใครได้อะไรแม้แต่นิดเดียว ทั้งลาภ ทั้งยศ มีทั้งคำสรรเสริญและคำด่า ของธรรมดา พวกเราต้องมีน้ำอดน้ำทนตลอดเวลา แล้วต้องอดทน พวกเรานี่โดนไปกี่คดี ผมนี่โดนอัยการกำลังจะสั่งฟ้อง คดีที่ผมไปชี้ให้เห็นว่ายัยดา ตอร์ปิโด หมิ่นฯ แล้วตำรวจไม่ทำ ผมไปชี้ให้ตำรวจจับผู้ร้าย แต่อัยการไม่ดูเจตนาตรงนี้ แล้วทั้งๆ ที่ทำหนังสือถวายฎีกา ที่ถวายฎีกาไม่ได้ขออภัยโทษ ขอความเป็นธรรม ผมยังไม่ได้ถูกดำเนินคดี เพราะฉะนั้นผมมีสิทธิ์ขอความเป็นธรรมได้ ถูกไหมครับ ก็กลายเป็นว่าอัยการกำลังจะพิจารณว่าจะสั่งฟ้อง/ไม่ฟ้อง โดยตามธรรมเนียมปฏิบัติ อัยการควรจะต้องรอให้ข้างบนมีพระราชวินิจฉัยมาก่อน ถึงจะตัดสินใจจะสั่งฟ้อง/ไม่ฟ้อง นี่เกิดบ้าอะไรขึ้นมาไม่รู้ จะสั่งฟ้อง แล้วเสร็จเรียบร้อยก็ถามว่าไอ้ที่พวก 3 เกลอหัวขวดที่ยืนอยู่หน้าสำนักงานอัยการสูงสุด ไอ้พวกนั้นคือคดีที่อัยการจะต้องสั่งฟ้องทั้งนั้น ทำไมอัยการไม่รีบสั่งฟ้อง นี่ยกตัวอย่างให้ฟังง่ายๆ เพราะฉะนั้นเมื่อเราพึ่งตำรวจไม่ได้ และวันนี้เราก็พึ่งอัยการก็ไม่ได้ ศาลก็พึ่งได้บ้าง ไม่หมด
เพราะฉะนั้นแล้วพวกเรา 5 คน เปรียบเสมือนคนที่ยืนแล้วก็ชูธงโต้กระแสทวนจริงๆ บาดเจ็บกันทุกคน มีใครไม่บาดเจ็บ พี่ลองก็บาดเจ็บ พี่สมศักดิ์ก็บาดเจ็บ อ.สมเกียรติ ผม สุริยะใส พี่พิภพ ทุกคนบาดเจ็บ แต่ทุกคนคิดถึงส่วนรวมเป็นตัวตั้ง เมื่อคิดถึงส่วนรวมเป็นตัวตั้ง เจ็บแค่นี้มันจะเป็นไรไป เจ็บน้อย เจ็บมาก เมื่อกี้ยังคุยกันเลย ว่าตอนนี้มีขบวนการที่จะมาลอบสังหารพวกแกนนำ พี่พิภพเอย พี่สมศักดิ์เอย พี่ลองเอย อ.สมเกียรติ โดนหมด ผมก็โดนหมด แต่ทุกคนก็มีมติเป็นเอกฉันท์ว่ากรณีผม ผมมีสิทธิ์พิเศษที่จะต้องถูกถล่มด้วยอาวุธสงคราม สิทธิ์พิเศษที่พวกเขามีมติเป็นเอกฉันท์ยกให้ผมคนเดียว พวกนี้ไม่ต้องการสิทธิ์พิเศษใดๆ ทั้งสิ้น
คุณเก๋ เราเอาเรื่องความอำมหิตมากลายเป็นเรื่องขบขันไป จริงๆ มันไม่ได้เป็นเรื่องขบขันนะ คุณปล่อยให้คนฆ่าคนทั้งเมือง ถล่ม รุมฆ่า ตำรวจทำอะไรไม่ได้ วันนี้ตำรวจทำอะไรรู้ไหม นั่งประชุมกันอยู่ ทั้งกรม หาคนปาขี้ใส่บ้านนายกฯ แต่คนที่ยิงถล่มผม 200 กว่านัด ตำรวจนั่งเฉยๆ หาไม่เจอ นี่ไง แล้วอย่างนี้เราไม่เรียกว่าจิตวิญญาณพันธมิตรฯ ได้อย่างไร นี่คือจิตวิญญาณพันธมิตรฯ
กมลพร - คุณสนธิคะ เดี๋ยวคุณสนธิจะต้องไป มีคำถามหนึ่งที่คาใจแล้วกลายเป็นข่าวลือ คือ 1. คุณสนธิช่วงนี้ไม่มีใครเห็น ไปๆ มาๆ หรือว่ารักษาตัว ขอคำชี้แจงที่ชัดๆ ว่า 1.หนีคดีใช่ไหม 2.หลบการลอบสังหารใช่หรือไม่
สนธิ - เอาอย่างนี้คุณเก๋ คุณแอน-จินดารัตน์ ถามผมวันรายงานแอน-จินดารัตน์ แล้วผมสามารถตอบแทนทั้ง 5 คนได้ พวกเราไม่ใช่วีรบุรุษ ไม่เคยคิดจะเป็น พวกเราคือชาวบ้านธรรมดา เมื่อมีศึกสงครามมา พวกเราก็จับดาบสู้ เมื่อศึกสงครามซาไป พวกเราหันกลับไปจับจอบจับเสียม ทำไร่ไถนา เหมือนเดิม พี่พิภพกลับไปเป็นคนซึ่งทำงานกับเด็ก พี่สมศักดิ์มาในบทบาทของรองหัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ พี่ลองมาดูแลปุ๋ย ดูแลโรงเรียนผู้นำ อ.สมเกียรติ ก็ทำหน้าที่ในสภา ผมก็ทำหน้าที่หัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ ผมหายไปไหนล่ะ วันเปิดพรรคการเมืองใหม่ผมก็อยู่ ใช่ไหม แต่ผมจำเป็นต้องไปรักษาขาผม ผมก็ไปๆ มาๆ ผมไปๆ มาๆ ไอ้การหนีลอบสังหารนี่ผมไม่ได้หนีหรอก เพราะผมรู้ว่าหนียังไงมันก็ต้องลอบสังหารอยู่แล้ว เป็นเพียงแต่ผมระวังตัวมากขึ้นเท่านั้นเอง ไม่ได้หายไปไหนเลย เพราะฉะนั้นแล้วอย่าไปฟังคำพูดที่โกหก วันนี้พวกเรานี่โดนใส่ความ โดนใส่ร้าย ใส่ร้ายป้ายสี ก็ขนาดมันไปยืนหน้าสำนักงานอัยการสูงสุด มันยังบอกว่าลาวห้ามไม่ให้ผมเข้าประเทศ เพราะผมไปโกงประเทศลาว ผมยังนึกไม่ออกว่าผมไปโกงประเทศลาวที่ไหน
เมื่อเร็วๆ นี้มีคนกลับมาจากปักเซ หลวงพระบาง บอกว่าท่านสมสะหวาด ฝากความคิดถึงมาถึงผม บอกคิดถึง เอ๊ะ! ถ้าผมเป็นคนซึ่งลาวไม่ให้เข้าประเทศ เขาจะฝากความคิดถึงมาถึงผมได้อย่างไร เพราะฉะนั้นแล้วพวกแกนนำเสื้อแดงโกหกตลบแตลงได้ทุกเรื่อง นี่ก็คือความอดทนของพวกเราอย่างหนึ่งที่พวกเราต้องอดทน พวกเราอดทนหมด โดนกันทุกคน โดนคนละตั้งไม่รู้กี่ดอก พี่ลองนี่โดนเรื่องสันติอโศกหนัก อ.สมเกียรติ ก็โดน สุดแล้วแต่ต่างกรรมต่างวาระ ตามบทบาท เพราะฉะนั้นแล้วไม่ได้หนีหายไปไหนเลย แต่จำเป็นต้องไปรักษาตัวในบางครั้ง ไม่ได้หนีคดี ผมจะหนีคดีทำไม ศาลนัดวันไหนผมไม่เคยพลาด ทุกคดีผมมีประกันตัวหมด ไม่เคยมีเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่เคยมี มีแต่ว่าเมื่อไหร่อัยการถึงจะดำเนินคดีกับพวกที่อัยการรับเรื่องไว้ทั้งหมดแล้ว ไม่ว่าคดีบุกบ้านป๋า ยังเงียบ คดีจักรภพ เพ็ญแข
กมลพร - หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
สนธิ - หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ อัยการไม่ดำเนินการอะไรเลยที่จะส่งหนังสือไปให้กับเขมร บอกว่าได้ข่าวว่าอยู่ที่เขมรช่วยส่งตัวกลับ อย่างน้อยการแสดงออกก็ไม่มี แต่พอมาถึงคดีสนธิพรึบพรับทันที แล้วพวกที่ไปประท้วงที่หน้าอัยการสูงสุด พวกหน้าด้าน ทำไมไม่บอก อัยการเร่งดำเนินคดีผมด้วย ทุกคนมีคดีหมด อยู่ที่อัยการสูงสุดทั้งนั้น ไล่ไปเลยทุกคน ตั้งแต่นายตู่-จตุพร นายวีระ มุสิกพงศ์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นายสุพร (อัตถาวงศ์) มีคดีหมดทุกคนแต่ทำไมไม่ดำเนินคดี แล้วทำไมอัยการถึงไม่รีบเร่ง มารีบเร่งเฉพาะของผม อัยการที่อยู่ข้างทักษิณก็มีไม่น้อย ผมถึงฝากไปที่อัยการ ว่าถ้าคุณจะดำรงความยุติธรรมแล้วกับพวกผม จริงๆ แล้วคนที่ถูกใช้ 2 มาตรฐาน คือพวกเรา ไม่ใช่พวกเสื้อแดงหรอก ไม่ใช่พวกเสื้อแดง พวกเราไม่เคยทำความรุนแรงเกิดขึ้นในสังคม พวกเราโดนยิง โดนยิง ตายกันเป็นสิบ บาดเจ็บ พิการเป็นสิบๆ บาดเจ็บเป็นร้อยๆ ขนาด ป.ป.ช.ชี้มูลว่าผิด ยังตะแบงหาเรื่องว่าไม่ผิดอีก ใคร 2 มาตรฐาน ผมถามซิ ใคร 2 มาตรฐาน ผมฝากไปถึงท่านอัยการสูงสุด ผมฝากไปถึงท่านนายกฯ ว่าคดีของผมที่ยิงผม 200 กว่านัดเงียบไปแล้ว ทุกคนมัวแต่ไปคลำว่าอึก้อนนั้นมันมาจากอาหารประเภทใด แล้วมันเหม็นแค่ไหน ขว้างอึใส่บ้านนายกฯ เป็นเรื่องราวที่ตำรวจทุกคนต้องเดือดร้อนกันหมดทั้งประเทศ แต่ยิงสนธิ 200 กว่านัด ไม่มีใครเดือดร้อนเลยแม้แต่นิดเดียว ผมก็เลยฝากเอาไว้ แต่นี่คือจิตวิญญาณพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เรารู้เราไม่ได้รับความเป็นธรรม แต่เรารู้เราสู้ในสิ่งที่ถูกต้อง และจิตวิญญาณนี้มันถูกหล่อหลอมมาจนกระทั่งมันเป็นเหมือนเหล็กไหล แล้วผมเชื่อว่าจิตวิญญาณนี้จะเดินต่อไป
ถ้าคุณถามผมอนาคตคืออะไร อนาคตพวกเรา 5 คนชัดเจน เพื่อส่วนรวม เพื่อส่วนรวมสั้นๆ ง่ายๆ เราหวังว่าประเทศไทยจะมีคนที่บริหารประเทศที่มีความซื่อสัตย์ มีความกล้าหาญ แล้วก็ทำงานเป็น เสียสละ เผอิญโชคร้ายมันเป็นคำขวัญของพรรคการเมืองใหม่ แต่นี่คือสิ่งซึ่งพวกเราต้องการ แล้วพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ก็เป็นคนซื่อสัตย์ เสียสละ กล้าหาญ แล้วทุกคนทำงานเป็น เพราะฉะนั้นมองอนาคต เราก็หวังว่าประเทศชาติจะไปได้โดยมีคนดีที่มีความเสียสละ ซื่อสัตย์ กล้าหาญ และทำงานเป็น เข้ามาบริหารประเทศชาติ นั่นคืออนาคตที่ผมมอง แล้วพวกเรา ผมมั่นใจ ไม่ว่าจะแก่ตัวอย่างไรก็ตาม ผ่านไปอีกกี่ปี พวกเราไม่มีวันเปลี่ยนแปลง เหมือนเดิมครับ
กมลพร - นั่นเป็นคำชี้แจงของคุณสนธิ ลิ้มทองกุล เดี๋ยวคุณสนธิต้องไปธุระ สวัสดีคุณสนธิไว้ตรงนี้นะคะ ขอบคุณค่ะ ช่วงนี้เราจะพักกันก่อนสักครู่ เดี๋ยวช่วงหน้ากลับมาติดตามมุมมองของแกนนำท่านอื่นๆ กันต่อ พักกันสักครู่ค่ะ
ช่วงที่ 2
กมลพร - กลับมาช่วงที่ 2 ของรายการสภาท่าพระอาทิตย์ ผู้ดำเนินรายการอีกท่านคือ คุณโสภณ องค์การ กลับมาแล้วค่ะ สวัสดีค่ะพี่โส
โสภณ - สวัสดีครับ
กมลพร - เมื่อกี้คนแน่นไปนิดนึงคุณโสภณเลยนั่งรออยู่ข้างนอก เดี๋ยวเราจะมาคุยกับ อ.สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ กันต่อ อาจารย์บอกว่ามีข้อมูล มีบทสรุปของอาจารย์มาแล้วสักนิดหนึ่งก่อนที่เราจะมาคุยกันต่อ
สมเกียรติ - ผมต้องขอคารวะวีรชน 7 ตุลา แล้วก็เพื่อนของผมที่สละชีพไปในงาน คือ สุวิทย์ วัดหนู 4 ปี ผมรำลึกถึงพวกท่านเสมอในการก่อตั้งพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แล้วก็ขออวยพรให้แกนนำที่อยู่ฝ่ายเสื้อแดงโชคดี ในวันนั้นเราประชุมกันหลายคน เราย้อนหลังบรรยากาศเราก็ต้องคุยกันว่า ขออวยพรให้โชคดี
ผมอยากจะเรียนอย่างนี้ครับ 4 ปีของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ถ้าเราพูดไม่อธิบายเหตุการณ์ พูดเชิงน้ำหนัก เราจะพบว่า พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเป็นพลังที่ก้าวหน้าที่สุดในสังคม ผมใช้ศัพท์ในวันนั้นว่า “พลังทางศีลธรรม” เข้าใจว่าเป็นคนแรก ขออนุญาตใช้คำว่าเป็นคนแรกที่ใช้ในการปราศรัย พลังทางศีลธรรมได้ตื่นขึ้นแล้วต่อสู้กับส่วนที่แข็งแรงที่สุดในประเทศ คือ ระบอบทักษิณ ระบอบทักษิณไม่ธรรมดานะ เลือกตั้งแล้วเป็นรัฐบาลชุดเดียวที่ครองอำนาจ 4 ปีครบถ้วน ครั้งต่อมาเลือกตั้งได้ 377 เสียง ดูว่าจะครอบครองอย่างเบ็ดเสร็จ และความเบ็ดเสร็จนี่คุมได้ทั้งกองทัพและตำรวจ ตำรวจเกือบ 100% กองทัพครึ่งหนึ่ง แล้วก็พลังอื่นๆ แม้แต่ศาลรัฐธรรมนูญยังถูกครอบงำได้เลย เราถือว่าสังคมไทยมีพระสยามเทวาธิราชจริงๆ เมื่อสังคมเลวร้ายไปทางเดียวกันหมด มันจะมีสิ่งที่จุติขึ้น กำเนิดขึ้น ก็คือ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย มันจึงเป็นพลังทางศีลธรรมที่เริ่มก่อตัวอย่างช้าๆ แต่มั่นคง การเรียกชุมนุมในครั้งแรก 11 กุมภาพันธ์ คนประมาณ 200,00-400,000 คน แล้วแต่สายตาใครจะมอง มันได้สั่นสะเทือนไปเพียง 10 กว่าวันต้องยุบสภาเลย มันไม่ได้มีแรงกดดันในสภาว่าให้ยุบสภา แล้วไม่มีแรงกดดันที่ระบอบทักษิณครอบงำอยู่เลยว่า ต้องยุบสภา แต่มันเป็นพลังทางศีลธรรมที่ตื่นขึ้นนับแสนๆ คน พอนัดชุมนุมใหญ่ที่ท้องสนามหลวง มันจึงเป็นปรากฏการณ์ที่ทั่วโลกยอมรับว่า ในวันนี้พลังที่บริสุทธิ์ที่สุด พลังที่มีอุดมการณ์ที่สุดของชาติได้กำเนิดและประกาศตัวแล้ว
เพราะฉะนั้นพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในฐานะทางประวัติศาสตร์ของมันจึงมี 2 ด้าน ด้านหนึ่งก็คือ การประกาศตัวอย่างเปิดเผยของพลังส่วนก้าวหน้าที่สุด หลอมรวมทุกภาคส่วนเลย ไม่รู้จบสิ้น กระแสสนับสนุนไม่ขาดสาย จนบางคนเรียกว่า บัญญัติศัพท์ว่า พ่อยกแม่ยก กำเนิดเพลงแม่ยกพันธมิตรฯ แล้วกระแสนี้ไม่ธรรมดา มันไม่สั่นสะเทือนเฉพาะในประเทศไทย มันสั่นสะเทือนคนไทยทั่วโลก โดยเฉพาะที่สหรัฐอเมริกาต้องถูกตราไว้ในประวัติศาสตร์ ที่ยุโรป ที่ผมไปมา 4-5 ประเทศ และที่ออสเตรเลีย ฮ่องกง ญี่ปุ่น และอื่นๆ
และอันที่ 2 มันไม่ใช่พลังการตื่นตัวธรรมดา แต่มันเป็นพลังที่มี ผมขออนุญาตยืมศัพท์ของ ท่านมหาจำลองใช้ ดำรงความมุ่งหมายเดิม ดำรงความมุ่งหมายเดิม ก็คือ คำประกาศ อุดมการณ์ชุดแรกและชุดสุดท้าย หมายความว่า ชุดแรกและชุดสุดท้ายมันมีชุดเดียว คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ภาษาของคุณสนธิใช้ว่า เอาส่วนรวมเป็นตัวตั้ง เพราะชาติไม่ใช่เรื่องส่วนตัวแล้ว ศาสนาก็ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว พระมหากษัตริย์ก็ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวแล้ว เพราะฉะนั้นพลังนี้จึงเป็นพลังที่ผมอธิบายในการปราศรัย และเป็นคำที่อาจจะเรียกว่า วาทกรรม ก็ได้ ผมใช้คำว่า “ก็แล่วแต๊” หมายถึงว่า สังคมไทยมันชินกับเรื่องที่ไม่ใช่ธุระของตัวไม่มายุ่ง แล้วคำว่า ก็แล่วแต๊ มันเป็นศัพท์มีความหมายในการแยกแยะผู้คนด้วยว่า สังคมที่ก็แล้วแต๊จำนวนมาก สังคมที่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐ และสถาบันหลักก็จำนวนมาก และสถาบันที่เอางานเอาการก็จำนวนมาก
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จึงเป็นสถาบันที่เอางานเอาการ แล้วรู้สึกภาระจะไม่สิ้นสุดด้วย ผมดูแล้วมันใหญ่ เพราะว่าชาติมันถูกกลืนกินมา แล้วคุณูปการ แล้วน้ำหนักที่ผมวางไว้ตอนนี้สูงสุดก็คือ น้ำหนักที่ ทำให้คนในสังคมนับสิบๆ ล้านคน หรือสูงกว่านั้นขึ้นไป ยอมรับว่า ความสำคัญ หรือใจกลางของชาติมันอยู่ที่ไหน ใจกลางของชาติอยู่ที่พระมหากษัตริย์ ใจกลางของชาติอยู่ที่การคอร์รัปชั่น แตะต้องไม่ได้ แล้วใจกลางของชาติอยู่ที่ผลประโยชน์ของชาติ เขาพระวิหาร เป็นตัวอย่างเดียวนะ แล้วใจกลางของชาติอยู่ที่รัฐธรรมนูญ ไม่น่าเชื่อเลย เรายกฐานะของรัฐธรรมนูญเป็นใจกลางของชาติ ถึงประกาศว่า ใครแตะต้องรัฐธรรมนูญที่พยายามจะจัดระเบียบธรรมะ ธรรมะจัดระเบียบใหม่ จะต้องฝ่าด่านพันธมิตรฯ ไปก่อน เพราะฉะนั้นการที่เราจะหล่อหลอมคนให้เข้าใจใจกลางของชาติ ใจกลางของชาติมันเป็นเรื่องใหญ่มาก มันจะต้องผ่านการหล่อหลอม 1. มหาวิทยาลัยราชดำเนิน 2. การชุมนุมดาวกระจาย 3.193 วัน 4. การประกาศจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่ มันหลอมทั้งนั้นเลย กิจกรรมพวกนี้เป็นกิจกรรมของพันธมิตรฯ ไม่ใช่ไปปิดล้อมอย่างเดียว
ผมจึงถือว่าในวันนี้อยากจะให้พวกเราเข้าใจฐานะทางประวัติศาสตร์ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และสิ่งที่จะก้าวต่อไป ถามว่าเราได้อะไร ผมว่าที่ผมภูมิใจมากที่สุด ก็คือ ได้พบพี่น้องพลังทางศีลธรรมที่เกาะเกี่ยวกันทั้งสังคม ไปทางไหนรู้สึกว่าจะเข้มแข็งมากขึ้น มีเครือข่ายทั่วประเทศ อันที่ 2 ผมได้ใจกลางของชาติ ทุกคนวิเคราะห์ปัญหาของชาติออก พอหนังสือล้มเจ้าฯ ออกมาเท่านั้นแหละ ทุกคนอยากอ่าน เพราะใจกลางของชาติถูกบันทึกไว้แล้ว ไม่มีใครเขียนเรื่องศึกการแก้รัฐธรรมนูญ อันที่ 3 ที่เราได้คือ เราได้สิ่งพะรุงพะรังในชีวิตเรา ก็คือคดีติดตัวมานับร้อยคดี สิ่งนี้ต้องพูดกันสักหน่อยว่า ชีวิตเราก็ยากลำบากเหมือนกัน แต่นี่คือสิ่งที่เราต้องพิสูจน์ตัวเองว่า ความยากลำบากของเราถ้าส่วนรวมเรายอม พวกเราจึงไม่หนีคดีเลย แล้วก็รู้สึกภาคภูมิใจมาก วันนี้แม้จะมาพูดเรื่อง 4 ปีสั้นไปสักหน่อย แต่ก็เห็นว่าเราได้วีรชนที่เสียสละไป นึกถึงผู้เสียสละแต่ละคน ญาติของเขา แม่ของเขา พี่น้องของเขา เรารู้สึกเศร้าใจ แต่เมื่อเราเห็นสังคมค่อยๆ ก่อตัวดีขึ้น มันเลยทำให้น้ำหนักตรงนี้เราไปวางที่ส่วนรวมก็ไม่มีปัญหาอะไร
โสภณ - อาจารย์มีคำถามที่จะถาม ซึ่งเดี๋ยวคำถามนี้ อีก 3 ท่านอาจจะตอบ รวมทั้งคุณสุริยะใสด้วยนะครับคือว่า สิ่งที่ต่อสู้มา 4 ปี มีทั้งการบาดเจ็บล้มตาย มีการเปลี่ยนแปลงทางสังคม มีการปลูกฝังจิตวิญญาณ เป็นการพิสูจน์ให้รู้ว่า อย่างน้อยที่สุดก็มีคนดีกลุ่มหนึ่งเป็นสิบๆ ล้านคน ที่มีจิตสำนึกทางการเมืองที่ดีอยู่ แต่ว่าผลที่ตามมาคือว่า โอกาสของความดีที่จะเข้ามาบริหารบ้านเมืองนั้นยังไม่มี แล้วเกือบจะมองไม่เห็นเส้นทางซ้ำไป เพราะว่าดุลในอำนาจมันจะเป็นแบบนี้ แต่ในความรู้สึกของพันธมิตรฯ ที่เป็นมานั้น เหมือนกับว่า สิ่งที่ทำมานั้นเหมือนกับเป็นการตีงูให้กากิน นั้นแหละเป็นลักษณะที่ถูกชุบมือเปิบ โดยกลุ่มผู้ฉวยโอกาสทางการเมืองหรือไม่
สมเกียรติ - เออ.. ประเด็นนี้ถ้าเราคิดแบบ 14 ตุลาฯ และพฤษภาทมิฬหมายความว่า คนที่ได้มาครองอำนาจก็ไม่ใช่คนของประชาชน จะเรียกว่า ตีงูให้กากิน ชุบมือเปิบ หรือว่า อย่างไรก็แล้วแต่ แต่ถ้าเรามองภาระหน้าที่ระยะยาว เพื่อผลส่วนรวม เราจะเอาตรงนี้มาเป็นพลัง ทำให้เราเศร้าใจไม่ได้ เช่น เราโค่นล้มรัฐบาล 1 ไปนะครับ ในสมัย รสช.พล.ต.จำลองเป็นแกนนำ แล้วได้รัฐบาลบุฟเฟ่ต์คาบิเนตเข้ามา มันชั่วร้ายพอๆ กันนะครับ แต่เราจะไปเสียใจว่าเป็นการสูญเปล่าไม่ได้ พี่น้องประชาชนจะรู้สึกเสียใจ แต่เรากำลังบอกว่า สังคมอุดมธรรม สังคมอุดมปัญญา สังคมที่มีความหมายในเชิงยุติธรรม และคนจนได้มีโอกาสชีวิตดีขึ้น สิ่งแวดล้อมดีขึ้น มันจะเกิดขึ้นได้ แต่ถ้าเรามองในยามนี้ ผมเรียนคุณโสภณและคุณเก๋ตรงๆ เลย หากยุบสภาตอนนี้ผลการเลือกตั้งของเราเป็นลมหมดเลยนะครับ ในทางสภาท่าพระอาทิตย์จะเศร้ากันหมดเลย แต่งชุดดำมาออกรายการได้เลยว่า พลังชั่วร้ายในสังคมยังเต็มแผ่นดินอยู่นะครับ แล้วจะทำให้เราท้อถอยไม่ได้ คล้ายๆ ว่านักสู้ๆ มา 4 ปี และจะทำให้สังคมดีขึ้นทันทีมันเป็นไปไม่ได้ เพียงแต่ว่าเราสร้างขบวนการของประชาธิปไตย ที่เราว่า หน่ออ่อนของประชาธิปไตยให้เกิดขึ้นเป็นสังคม เราเชื่อว่า วันหนึ่งมันจะสำเร็จ ส่วนปรัชญาของชาวอโศกบอกว่า สักวันหนึ่งตลอดเวลาเลย สักวันหนึ่งดอกไม้จะบานบ้าง สักวันหนึ่งอะไรบ้าง เพราะว่าถ้าเราไม่มีสักวันหนึ่ง เราจะบอกว่าโอ้โหสูญเปล่าจริงๆ พอมาสรุปโอ้โหได้ 100 คดี สู้มาเกือบตายได้ 100 คดี มันไม่ได้ไง
เราจึงสรุปบอกว่า ผมดูนะครับ วิเคราะห์ซัก 3 ข้อ 1.พันธมิตรฯ สู้มา 4 ปี เสื้อแดงหดตัวหรือขยายตัว ตอบทันทีเลยขยายตัวนะครับ มีรัฐบาลปัจจุบันและรัฐบาลในอดีต ไม่ต้องทำอะไรเลย เอาประกาศ คมช.4 ข้อ 5 ข้อมา หนึ่งความแตกแยกในชาติ ลดลงไหม ... เพิ่มขึ้น เสื้อแดงหดตัวไหม ... เพิ่มขึ้น การจาบจ้วงลดลง ... เพิ่มขึ้นนะครับ มันไม่มีซักข้อเลย ไอ้นี่เอาประกาศคณะปฏิวัติมาเลย เหตุผลสำคัญในการล้มกระดาน เรามาประเมินตรงนี้ มันไม่มีอะไรดีขึ้นเลย ดีขึ้นคืออะไรรู้ไหม ... ประชาชนรู้ว่า อันไหนเป็นภัยภยันตรายต่อประเทศ ดีตรงจิตใจ ดีตรงพลังทางศีลธรรม ดีที่รู้ว่าตนเองทำดี ดีที่ตนเองรู้ว่าได้เสียสละอุ้มชูเอเอสทีวีให้อยู่รอด และจะไม่ให้เอเอสทีวีจอดับ ดีที่ได้มาชุมนุมเรื่องรัฐธรรมนูญ ดีที่ได้มาชุมนุมตั้งพรรคการเมือง ดีที่ได้มาสดุดีวีรชน ดีกลับไปถามว่า เสื้อแดงลดลงไหม ... ไม่เลย ชีวิตดีขึ้นไหม ... ไม่เลย แต่ดีที่จิตใจยังไง ผมกำลังทำร้ายคนในประเทศนะ
กมลพร - ตื่นตัวเรื่องการเมืองมากขึ้น
จำลอง - เดี๋ยวๆ ผมขอแย่งพูดบ้าง ที่คุณโสภณตั้งคำถามเป็นคำถามดีมากนะครับ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เห็นอะไร มันแก้ไขปัญหาเป็นขั้นเป็นตอน อย่างที่อาจารย์สมเกียรติว่า ถ้าเราไม่ทำ คือ ถ้าพันธมิตรฯ ไม่ออกมาสู้ ป่านนี้บ้านเมืองแย่กว่านี้อีกเยอะ อย่างชนิดที่เทียบกันไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นที่ทำมาดีแล้ว ถ้าขืนไม่ทำแย่มากเลย ถูกต้องไหมอาจารย์
โสภณ - พอหรือยัง ที่จะปลุกสิ่งที่เรียกว่า พลังเงียบ เพราะว่าพลังเงียบมันเงียบเหมือนเดิม และดีไม่ดีบางครั้งออกมาส่งเสียงว่า รำคาญด้วย ทำไม่มีเหลือง มีแดง มีน้ำเงิน มีชมพู มีสารพัดอย่าง ประเด็นนี้มันไม่พอจะปลุกพลังเงียบให้เห็นว่า กระแสความต้องการ หรือว่าประเทศชาติ ควรจะส่วนร่วมของประชาชนมากกว่านั้นไง พลังเงียบที่ว่า จะเงียบเหมือนกัน และจะเป็นพลังที่เงียบซึ่งไม่รู้จะไปทางไหน และทำให้คนที่นึกต่อสู้ส่วนหนึ่งมองบอกว่า เอะ! ทำไมสิ่งที่คนเหล่านั้นเขาไม่ห่วงบ้านเมืองบ้างหรือไม่ ทั้งๆ ที่เขาเป็นอีกชีวิตหนึ่งในแผ่นดินนี้
สมเกียรติ - อันนี้ผมขออนุญาตก่อน เราดูพฤติกรรมของสถาบัน 3 สถาบัน 1.การเมืองภาคประชาชนทัพพันธมิตร ทำงานสุดชีวิตเลย เสียสละชีวิต แกนนำถูกลอบสังหาร ทำไปเท่าที่ศักยภาพตนเองมีอยู่ 2.เสื้อแดงสถาบันเสื้อแดงที่ว่า รักไทยใหม่ ทำไปอันนี้สยายปีก 3.คนที่น่าจะทำสุดคือ รัฐบาล อำนาจรัฐอ่อนแอ และไม่มีแผนในการสร้างความมั่นคงแห่งรัฐเลย แก้ไขไปวันๆ เมื่อความสมดุลทางอำนาจมันเกิด 3 จุด เวลาคุณโสภณจะออกรายการที ก็ไปซัดเสื้อแดงทีหนึ่ง และซัดรัฐทีหนึ่ง เพราะ 2 องค์กรนี้ ที่เราเรียกว่า สถาบันค้ำจุนอำนาจใหม่ในประเทศไทย ที่ให้มันดำรงอยู่ได้คือว่า มันทำหน้าที่หลักอยู่อันเดียว มันหนักอึ้งเลย เราต้องยอมรับว่า พันธมิตรหนักอึ้งนะ กว่าจะออกมติอะไรได้ มันเป็นเรื่องใหญ่มาก จะกระทบกระเทือนความรู้สึกของผู้คนไหม พอจะสู้เขาได้ไหม ไม่ใช่เป็นมติที่เหลวไหล ออกไปต้องเคลื่อนไหวได้ แต่รัฐทำอะไร รัฐทำอะไร อำนาจรัฐน่ะ ที่ใช้งบประมาณปีหนึ่ง 20 แสนล้าน 20 แสนล้านทำอะไร สถาบันเสื้อแดงไปไกลแล้ว เครือข่ายเต็มไปหมดเลย มีการถึงขั้นฝึกโรงเรียนการเมืองการทหารแล้ว มีเป้าหมายสูงสุด มีการออกแบบสำแดงพลัง ของเราเดี๋ยวนี้หดตัวลงเหลือพิธีครบรอบเท่านั้นเอง
พิธีครบรอบ 7 ตุลาฯ เราก็มารำลึกทีหนึ่ง สดุดีวีรชน พอครบ 4 ปี เราก็มาโต๊ะกลมกันครั้งหนึ่ง กิจกรรมที่มันสร้างไปข้างหน้ามันยังไม่แข็งแรงพอที่จะไปต่อกรกับอำนาจชั่วร้ายในสังคม ในขณะเดียวกันอำนาจรัฐไร้พลังและไร้ศักยภาพที่จะก่อตัวขึ้นมาแข็งแรงพอที่จะทำให้ดุลของรัฐมันสร้างความหวังพอเลือกตั้งใหม่ เพราะฉะนั้นคนในสภาตอนนี้พูดอย่างไร รู้ไหมคนในสภา ในฐานะที่ผมอยู่ในสภา เลือกตั้งอีกทีประเทศมืดมน หาทางออกไม่ได้แล้ว เพราะฉะนั้นเราจึงต้องวิเคราะห์รัฐสภาให้น้อยลง วิเคราะห์พลังประชาชนมากขึ้น วิเคราะห์ว่าเราจะก่อตัวอย่างไร เราจะออกแบบ วางแผนไปสู่ความมุ่งหมายเดิมอย่างไร อันนี้เป็นภาระใหญ่ในปีที่ 5 ของพันธมิตรฯ ที่จะก้าวเดินต่อไป เดี๋ยวนี้เรามาจับเรื่องเล็กๆ ก็เกือบดับแล้ว ดับเรื่องแก้รัฐธรรมนูญ กับถอดถอน หาชื่อคน แค่ถอดถอน เราเรียกว่าเราทำตามสถานการณ์แต่มิได้ออกแบบประเทศไทยใหม่ ให้เป็นประเทศที่สามารถต่อกรกับความชั่วร้ายได้ เพราะฉะนั้นภาระหน้าที่ของ 5 แกนนำตอนนี้ก็คือว่า ยังอยู่ในการทำงาน ยังอยู่ในสถานการณ์อยู่ พอแยกส่วนหนึ่งไปตั้งพรรคการเมือง พรรคการเมืองนี้ก็ดำเนินการไปอย่างแข็งแรง แต่มันไปเร็วไม่ได้ ผมดูพลังแล้วมันค่อนข้างจะมืดมนสักหน่อย แต่ในปีที่ 5 เราก็มีกำลังใจขึ้น คือผมก็ไม่รู้จะไปไหนแล้ว มีที่อยู่ 2 แห่ง แห่งแรกก็ไปอยู่ในคุก แห่งที่ 2 ก็คืออยู่ข้างนอกคุกแล้วทำให้มีความหมายที่สุดต่อประเทศชาติ สังคมของเรา
จำลอง - สรุปก็คือที่คุณโสภณถาม ก็คือยังไม่พอ ต้องทำต่อ แล้วอย่าไปท้อ
โสภณ - คำตอบของ อ.สมเกียรติ บ่งชี้ชัดเจนว่า ก็ต้องมีการรณรงค์ต่อไป ทั้งทางสาธารณะ จะไปอยู่บนถนนหรือเปล่านั่นอีกเรื่องหนึ่ง ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ทางการเมือง แต่ถ้ามองย้อนอีกทีหนึ่ง ก็คือว่าสิ่งที่เกิดขึ้นทุกวันนี้ สังคมไทยเคยมักจะมองว่าผู้นำที่เป็น Elite เป็นผู้นำสังคมชั้นสูง กลับมีความสุขกับสิ่งที่เขามีอยู่แล้ว โดยที่ไม่มีความรู้สึกรับผิดชอบต่อประชาชนระดับกลางลงมา ระดับล่างลงมา คือเขามีความสุขกับสิ่งที่เขามีอยู่ แล้วก็พยายามจะกอบโกยสิ่งที่เขามีอยู่แล้วให้เพิ่มยิ่งขึ้น แต่จิตสำนึกทางการเมืองของการมีส่วนร่วมทางการเมือง เราจะเห็นคนสำคัญหลายคนบอกว่าไม่อยากเข้าไปยุ่งกับการเมือง ไม่อยากเปลืองตัว คนเหล่านั้นได้เปรียบทุกอย่างทางสังคม แล้วก็ปล่อยให้คนอย่างอาจารย์ คนอย่างแกนนำพันธมิตรฯ คนอย่างชาวบ้านทั่วๆ ไปต้องไปเสี่ยงกับการรณรงค์แล้วถูกฆ่า ถูกฟัน มันก็ทำให้คิดว่า ตกลงประเทศไทยของเราจะต้องถูกขับเคลื่อนโดยประชาชนที่มีโอกาสน้อยทางสังคม หรือว่าผู้ที่มีผลประโยชน์อยู่แล้ว และพยายามปกป้องผลประโยชน์ของตัวเอง โดยที่ไม่คำนึงถึงว่าผลที่ตามมา คือความล่มสลายของโครงสร้างของแผ่นดิน
จำลอง - เมื่อเขาไม่ทำ เราก็ต้องทำ ถ้าเขาไม่ทำแล้วเรายังเฉย โอ้! เขาอยู่ดีกินดี เราก็เอาบ้างสิ อย่างพวกเรานี่ไม่ได้สิ้นไร้ไม้ตอก ไม่ใช่คนเร่ร่อนนอนกลางถนนนะ เที่ยวไปนอนถนนโน้นถนนนี้อยู่เรื่อย ไม่ใช่ เรามีหลักแหล่ง เรามีฐานะ เราอยู่ได้อย่างสบายแล้ว วันหนึ่งๆ เราไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น แล้วไม่มีอะไรมากระทบกระเทือนเรา เพราะเราไม่มีแผล แต่เราต้องทำเนื่องจากอีกหลายคนมันไม่ทำ ถ้าพระเจ้าตาก ถ้าพระนเรศวรและไพร่พลนึกถึงอย่างนี้ ทำไมเขานอนอยู่สบายๆ ทำไมเราจะต้องออกมาสู้หัวจะกุดแขนจะขาด ก็ต้องยอม ก็เพราะมีคนอย่างนี้บ้านเมืองถึงอยู่ได้ไง เพราะฉะนั้นลืมซะ ช่างเขา เขาคิดอย่างไรก็ช่างเขา แต่มันเป็นหน้าที่ของเราใช่ไหม ที่เราเกิดมาในแผ่นดินนี้ เราต้องพยายามช่วยกัน ถ้ามิฉะนั้นบ้านเมืองรอดมาไม่ได้ถึงวันนี้ ถ้าเรานึกว่าคนโน้นก็สบาย คนนี้ก็ไม่เอาไหน เขาก็ได้อะไรต่อมาเยอะแยะ แล้วเราล่ะ ชาวบ้านธรรมดา ออกมาทำไม ถ้าอย่างนั้นจบ
สมเกียรติ - คือเราต่อสู้มา 4 ปี มันก็ขมวดปม เป็นเรื่อง เรื่องราวที่ชั่วร้าย ภาษากฎหมายเรียกว่าคดี กองเป็นคดีที่ 1 คดีที่ 2 คดีที่ 3 คดีที่ 4 ไปเรื่อยๆ กลไกพวกเราก็ทำงาน กลไก คตส.ก็ทำงาน กองมาเป็นคดีๆ พอเสนอไปสู่ศาล ด้วยความเคารพต่อศาลนะครับ เรารู้สึกเหนื่อยล้า นี่บอกท่านศาลตรงๆ เลย เหนื่อยล้า พอกองมาเป็นคดีแล้วส่งไป 26 กุมภาฯ นี่ส่งไปอีก เดิมพันประเทศเลย 76,000 ล้าน พอเราเห็นว่าเราต่อสู้จนกวาดต้อนเป็นกลุ่มก้อน เป็นเรื่องเป็นราว ความชั่วร้าย นี่หลุมดำที่ 1 นี่หลุมดำที่ 2 นี่หลุมดำที่ 3 ตอนนี้หลุมดำที่ 3 คดีที่ 3 กล้ายางพารา หลุมดำที่ 1 อันนี้หลุมดำที่ 2 อันนี้หลุมดำที่ 3 ตอนนี้หลุมดำที่ 3 คดีที่ 3 กล้ายางพารา หลุมดำที่ 1 ไปแล้ว หวย ไปแล้วหลุมดำที่ 2 หลุมดำที่ 3 76,000 ล้าน เดิมพันประเทศ 26 ก.พ. ถ้าถามว่า ผมเหนื่อยล้าไหมเมื่อเห็นผล ผมพูดตรงๆ เลย ผมเหนื่อยล้า แต่ว่ามันต้องต่อสู้ต่อไป เพราะสถาบันนี้เราจะไปโค่นล้มมันไม่ได้ พังทลายสถาบันนี้ เราจะไม่ทำเหมือนบางคนที่ด่ากราดสถาบันยุติธรรม
เพราะฉะนั้นเราจึงหวังว่า ในปีที่ 5 จึงหวังว่า องค์กรที่ทำหน้าที่เพื่อชาติบ้านเมืองจะต้องคงอยู่ ไม่ยกเว้นศาล จะต้องทำอะไรที่ ผมไม่อยากพูดมาก ทำให้ ผมใช้คำพูดของ ศาสตราจารย์จรัญ ภักดีธนากุล ที่ประชุม 3 ศาล หลังจากมีกระแสพระราชดำรัส 25 เมษายน 49 แล้วท่านจรัญ ภักดีธนากุล มาพูดแล้วผมยังตัดคลิปปิ้งหนังสือพิมพ์ไว้เลย แล้วเขียนบทความในเนชั่นสุดสัปดาห์ด้วยว่า "ศาลจะไม่ทำให้ประชาชนผิดหวัง ขอได้ติดตามคำพิพากษาที่กำลังทยอยมาต่อไป" ผมยังจำคำนี้ได้เสมอว่า ผู้พิพากษาคนหนึ่งที่เป็นความหวังของชาติ ในตอนนั้นท่านดำรงตำแหน่งเลขาธิการศาลฎีกา ผมยังจำได้เสมอ ถ้าองค์กรเหล่านี้ไม่สามารถจัดการหลุมดำได้ คุณโสภณ กับคุณเก๋ และพันธมิตรฯ จะต้องต่อสู้กับหลุมดำอีก นี่ก็คือความรู้สึกท้อบ้าง ในปีที่ 5 ที่มันจะเกิดขึ้น แล้วจะเป็นสิ่งพะรุงพะรังในศาลหมดเลย ไม่ว่าจะเป็นคดีที่พม่า คดีอะไรทุกอย่าง ผมจึงอยากจะกล่าวตรงนี้ให้ครอบคลุม ไม่ใช่วิพากษ์วิจารณ์แต่ตำรวจ อัยการ แล้วก็ทหาร มันต้องวิจารณ์ทุกองค์กร แต่วิจารณ์ด้วยพื้นฐานจริงใจ และด้วยความเคารพ โดยเฉพาะศาลนะครับ
กมลพร - ช่วงนี้คงจะต้องพักกันสักครู่ เดี๋ยว อ.สมเกียรติ จะต้องไปทำหน้าที่ ส.ส.ในสภา ต้องไปต่อสู้กันต่อไป แต่ว่าช่วงหน้าเราจะกลับมาคุยกับแกนนำที่เหลืออยู่ ในมุมมองอื่นๆ ต่อไป สักครู่หนึ่งค่ะ
ช่วงที่ 3
กมลพร - กลับมาติดตามช่วงสุดท้ายของรายการสภาท่าพระอาทิตย์นะคะ ตอนนี้เรายังอยู่กับ 3 แกนนำที่เหลือ และ 1 ผู้ประสานงานค่ะ
โสภณ - ถาม เมื่อกี้ อ.สมเกียรติเรียกมหาฯ ใช่ไหม เรียกมหาตามก็แล้วกัน ก็คือว่าทางลุงจำลองก็แล้วกัน มีชีวิตเหมือนกับว่า บาปยังล้างไม่หมด เพราะว่าปล่อยปีศาจออกจากขวดมาแล้วก็ยังไม่สามารถ ...
กมลพร - เรียกลงหม้อคืนยังไม่ได้
โสภณ - เอาปีศาจลงไปในขวดอย่างเดิมไม่ได้ ก็คือปีศาจที่ยังหลอกหลอนทุกวันนี้ รู้สึกจิตสำนึก ภารกิจยังไม่เสร็จสิ้นอยู่หรือเปล่า เข้าใจที่ผมถามใช่ไหม
จำลอง - ใช่ครับ ใช่ๆๆ เราต้องยอมรับนะครับว่า ไม่ใช่เฉพาะผมคนเดียวที่เป็นจำเลย ที่ไปสนับสนุนทักษิณเขา หลายคนเป็นจำเลยทั้งนั้นล่ะ สนับสนุนน้อยหรือมากแตกต่างกัน เพราะตอนนั้นเขาดีนี่ ตอนแรกๆ เขาดีใช่หรือเปล่า แต่ตอนหลังๆ มาเขาเปลี่ยนไป เมื่อเปลี่ยนไปแล้วผมก็เห็นว่ามันเป็นภารกิจของผมด้วย เราจะมาถือว่าเขาเป็นน้องเราไม่ได้ เล่นพวก นั่งยิ้มเฉยๆ โดยที่เราไม่ทุกข์ไม่ร้อน ไม่ได้ ผมถึงเขียนจดหมาย คุณโสภณคงทราบนะครับ ทันทีที่เขาขายชินคอร์ปให้กับเทมาเส็ก ผมออกจดหมายรักฉบับที่ 1 เลย จาก “จำลองถึงน้องทักษิณ” ฉบับที่ 1 เมื่อวันที่ 30 มกราฯ ก่อนที่จะตั้งพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนะ ผมยืนยันกับคุณโสภณ คุณเก๋ เลยว่า พวกเราที่มานี่ไม่ได้อยากจะมาเป็นแกนนำนะ เรายังไม่รู้เลย บางคนยังไม่รู้เลยจะตั้งหรือเปล่า แล้วเราก็ไม่เคยคิดว่าเขาจะตั้งหรอกนะ เมื่อเป็นเช่นนี้ผมถึงออกจดหมายเตือนไป ซึ่งเป็นจดหมายเปิดผนึก ก็เอาไปออกกันเยอะแยะไปหมด ลงวันที่ 30 มกราฯ ผมบอก 1.ไม่ควรเทหุ้นออกขาย ก็ฐานะตัวเองดีอยู่ อยู่ดีๆ ผู้นำของรัฐบาลเทขายหมดเลย แสดงว่าบ้านเมืองเป็นยังไง 2.ถ้าจะขายทำไมไม่ขายคนไทย
เพราะว่า ผมเขียนบอกว่าทักษิณก็รู้อยู่แล้ว ผมเป็นแกนนำนะในการต่อต้านรัฐบาลก่อนนู้น ... ไม่ให้ขายหุ้นบางจากให้ต่างชาติ เพราะตอนนั้นเขาจะขายหมดเลย ทั้ง ปตท. การบินไทย แล้วก็การไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ แต่บางจากเป็นด่านหน้า ถ้าเราต้านอยู่ เขาก็ลังเล เขาก็ไม่ขาย เราสามารถต้านได้อยู่ ทำไมไม่ขายคนไทย ขายคนไทยที่บอกไม่มีอำนาจซื้อ ไม่จริง โกหก ดูจากการขายหุ้นการไฟฟ้า โรงไฟฟ้าราชบุรี แล้วก็ผลิตให้กับประชาชนคนไทย 17 นาที 33 วินาที พอขายหุ้น ปตท.ตอนนี้ยังด่ากันไม่จบเลย 1 นาที 7 วินาที ทำไมคุณไม่ทำ นี่สองแล้วนะ 1.ไม่ควรเทขายหมด 2.ถ้าเทขายหมด ทำไมไม่ขายคนไทย แล้ว 3.ทำไมถึงไม่เสียภาษี นี่ผมบอกตอนที่อยู่พลังธรรมกับเรา ที่ผมไปชวนมาอยู่พลังธรรมกับเรา ผมบอกว่านักการเมืองต้องเสียสละ ถ้าไม่เสียสละอย่าเป็นนักการเมือง ไม่ว่าคุณจะรวยจะจนอย่างไรก็ตามแต่ ซื่อสัตย์ยังไม่พอ ของเขาไม่เอา ของเราไม่ให้ นี่ซื่อใช่หรือเปล่า ไม่พอครับ ของเขาไม่เอา ของเราก็ต้องให้ คุณบอกไม่เสียภาษีเพราะว่าเล่นแร่แปรธาตุมา ผมอุตส่าห์ไปนั่งคำนวณนะ นั่งคำนวณถามเขาว่าถ้าเสียภาษีจะต้องเสียเท่าไร จากคนโน้นคนนี้ ผมคำนวณแล้ว 26,000 ล้าน
โสภณ - นั่นถามเป็นทางการใช่ไหม
จำลอง - ใช่ครับ
โสภณ - แต่เคยถามแบบไม่เป็นทางการไหม เพราะตอนนั้นก็ยกพรรคให้เขาไปแล้ว ทำไม น้องทักษิณทำไมไม่ทำอย่างนี้ล่ะ พี่แนะนำด้วยใจ
จำลอง - ถามอย่างนั้นมันไม่ใช่สิ่งที่จะไปกดดันบีบคั้นเขา เป็นการรู้กันตัวต่อตัว นี่รู้กันทั่วประเทศไม่ดีกว่าหรือ คนอื่นจะได้บอก เอ้า! ก็ลูกพี่เก่าของคุณเขาเตือนมาแล้วทำไมคุณไม่ทำ คุณโสภณครับ มีอดีตรัฐมนตรีมาคุยกับผม บอกว่า เอ๊ะ! ถ้าวันนั้นทำตามผม ควักมา 26,000 ล้าน ที่ตัวเองขายหุ้น 76,000 ล้านนะ บ้านเมืองจะไม่เป็นอย่างนี้ แล้วตัวเขาจะไม่เสียหายมากเท่าขนาดนี้ นี่ล่ะครับคือสิ่งที่ผมบอกไป และเมื่อผมบอกไปแล้ว ผมเตือนไปแล้ว ผมก็รอเวลาว่าทำหรือเปล่า เมื่อไม่ทำผมออกแถลงการณ์ แถลงการณ์ที่อนุสรณ์สถานเมื่อ 19 กุมภาฯ บอกว่าการที่คุณขายหุ้นไปแล้วคุณไม่เสียภาษี แล้วก่อให้เกิดปฏิกิริยามากมาย ทั้งคณาจารย์มหาวิทยาลัยต่างๆ ทั้งนักศึกษาอีกมากมายทีเดียว ที่ออกมามีความเห็นว่าทักษิณต้องลาออก แล้วก็จะเครียดไปมากกว่านั้นอีก คือปล่อยให้ผู้จัดรายการโทรทัศน์มาจ้วงจาบท่านประธานองคมนตรีอย่างเสียๆ หายๆ ผมบอกผมตกอยู่ใน 2 ฐานะ นะ ฐานะหนึ่งก็คือเป็นคนที่หนุนทักษิณมานะ ถ้าผมไม่หนุนอย่างเต็มที่ เป็นนายกฯ ได้ไม่เร็วถึงขนาดนั้นหรอก แล้วก็ประการที่ 2 ผมเป็นเลขาธิการของท่านประธานองคมนตรีเปรมนะ เพราะฉะนั้น ผมบอกว่า เมื่อเตือนคุณแล้ว แล้วคุณยังไม่ฟัง ผมและชาวกองทัพธรรมมูลนิธิ ผมเป็นประธานกองทัพธรรมมูลนิธิ องค์กรโดยถูกต้องตามกฎหมายนะ จะไปร่วมชุมนุมกับประชาชนในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ นี่คือที่มาทำไมผมถึงออกมาค้านทักษิณ ทั้งๆ ที่ตัวเองก็สนิทกับทักษิณมาก่อน
โสภณ - ถามเขาแบบเป็นพี่เป็นน้องหรือเปล่า คุณทักษิณยอมเขาเถอะ เดี๋ยวมันจะเสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย คือพูดเป็นทางการก็พูดแบบหนึ่ง แต่พูดไม่เป็นทางการ ก็ไปคุยกับเขาแบบนั้นหรือเปล่า
กมลพร - เคยคุยไหมคะ
จำลอง - ไม่ได้คุยครับ
โสภณ - ไม่คุยเลย
จำลอง - เพราะตอนนั้นรู้สึกว่าเขาจะคุยไม่รู้เรื่อง คุยไปก็เสียเวลาเปล่าๆ สู้ทำเป็นจดหมายเปิดผนึก แล้วคุณเก๋เห็นไหม ทันทีที่ผมออกจดหมายเปิดผนึกไป 4 ฉบับ ตอนหลังนักวิชาการ ใครๆ ชอบทำจดหมายเปิดผนึกเยอะเลย เพราะมันมีผลนะ ผมเคยทำได้ผลมาแล้ว
โสภณ - ทีนี้ทุกคนก็อยู่ในสถานภาพเดียวกัน คือว่า การที่อยู่ตรงข้ามกับบุคคลที่มีอำนาจมากที่สุดในประเทศไทย อาจจะยกเว้นจอมพลสฤษดิ์ (ธนะรัชต์) คนหนึ่งนะ ถือว่าเป็นความเสี่ยง ไม่ว่าจะเป็นทั้งด้านชีวิตและทรัพย์สิน ทั้งความปลอดภัย การรวมตัวกันในครั้งนี้คำนึงถึงผลที่จะตามมาไหมว่าผลกระทบทางด้านชีวิตส่วนตัวเอง และต่อโครงสร้างของสังคมที่อาจจะต้องเปลี่ยนไป เพราะว่าเหตุการณ์ที่ตามมา ก็อย่างที่เราเห็น ก็คือการชุมนุมประท้วง จะเป็นการปลุกกระแส หรือการสร้างจิตสำนึก อะไรก็แล้วแต่ แต่ทุกวันนี้ก็ถูกมองว่ามันเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดความแตกแยก มีสีเหลือง สีแดง มีโน่น สีนี้ขึ้นมา เป็นการปลุกจิตสำนึกก็จริงอยู่ แต่ว่ามันมีอำนาจชั่วร้ายที่แฝงมาอยู่ในนามของมวลชนในกลุ่มเช่นเดียวกัน
สมศักดิ์ - เริ่มนิดหนึ่งนะครับ ผมก็เคยสู้กับพี่ลองด้วยกันสมัยพฤษภาฯ
จำลอง - ร่วมกันสู้ ไม่ใช่สู้กับผม
สมศักดิ์ - สมัยพฤษภาฯ ก็อยู่ด้วยกัน ก็ผ่าน ถูกยิงมา พี่ลองก็ถูกจับ ตอนเริ่มต้นหลังจากเราเห็นด้วยกันแล้ว เมื่อวันที่ 9 ถึงวันที่ 11
โสภณ - แต่ตอนนั้นไม่ซับซ้อนเหมือนตอนนี้
สมศักดิ์ - ตอนนั้นพี่ลองก็ไปชุมนุมต่อต้านการเอาเบียร์เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ
จำลอง - นั่นเป็นการ คล้ายๆ ซ้อมใหญ่ ไปกินไปนอนอยู่กลางถนนวิทยุถึง 9 วัน 9 คืน ก่อนที่จะมา 33 วัน บวก 193 วัน ผมนี่ซ้อมใหญ่มาก่อน
สมศักดิ์ - มีหลักคิดแบบโบราณนิดหนึ่งนะ แต่ถ้าพูดภาษาสมัยใหม่เขาเรียกว่าสังคมวิทยาศาสตร์ ผมเชื่อว่าคนถ้าเนรคุณคนไม่เจริญ อันนี้ผมถูกปลูกฝังมาเยอะ อย่างที่เคยบอกว่าโจรทางภาคใต้ ขนาดเขาไปดื่มน้ำแล้วเขาไม่ปล้นหรอกบ้านนั้น นี่เราปลูกฝังกันมาตลอด ผมเชื่อว่าถ้าไม่มีพี่ลองทักษิณก็จะไม่มีวันนี้ วันนั้นก็ไปคุย แต่พี่ลองคงตัดสินไว้แล้วล่ะ คิดอย่างไร
จำลอง - ไปชวนผม ผมกำลังกินนอนอยู่กลางถนนวิทยุ บอกพี่ลองๆ ทำแค่นี้ไม่พอ ต้องทำต่อ
สมศักดิ์ - เพราะว่าพี่ลองเอาผีมา พี่ลองต้องจับผีลงหม้อให้ได้ หลังจากนั้นก็กลับมา พี่ลองก็ตัดสินใจ นี่ก็คือจุดเริ่มต้น แต่เมื่อกี้ที่คุณโสภณบอกว่า เราเหมือนตีงูให้กากิน นี่ผมคิดว่า ผมมองต่างกับ อ.สมเกียรติ นะ ผมมองว่าในขณะที่ทักษิณขึ้นมาภายในระบบทุนนิยมสามานย์ นี่ผมก็ติดตามทางสากลด้วย ในโลกที่เปลี่ยนแปลงไป ก็เห็นว่าเขามอมเมา ใช้สื่อ คือคนเรียกว่าเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวเกือบหมด เด็ก เยาวชน การเมือง นี่เละเทะหมด
โสภณ - โครงสร้างสังคมเสื่อมสลายหมดแล้ว
สมศักดิ์ - เสื่อมสุดๆ แล้ว ในขณะที่สังคมเสื่อมสุดๆ เราเองเมื่อมาอ่านกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นปรัชญาหรือคำสอนที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ คนในสังคมนั้นมีคนดี … คืออ่านหลายอย่างนะ ปรัชญาบุคคลสำคัญของโลกด้วย แล้วเราก็มาคิดว่า เอ๊ะ! ผมก็ตามล่าเรื่องการขายรัฐวิสาหกิจอยู่นะ เพราะตอนนั้นทักษิณเขาแต่งตั้งผมเป็น เราต่อต้านกฎหมายขายชาติ 11 ฉบับ แล้วแต่งตั้งให้เป็นคณะกรรมการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายขายชาติ 11 ฉบับ เราก็มีคุณประพันธ์ศักดิ์ อะไรเนี่ย อยู่ด้วย แล้วก็เห็นชอบแล้วว่าไฟฟ้า ประปา น้ำมัน ไม่ควรขาย เขาก็ลงนามด้วยนะ วันที่ 23 พฤษภาคม 2546 แต่ลงนามแล้วก็ขาย เรื่องนี้เราต่อต้านกฎหมายนี้มาตั้งแต่ประชาธิปัตย์ออกมาแล้วนะ คุณสุเทพน่ะเจรจากับผมในทำเนียบฯ เราก็ต่อต้านประชาธิปัตย์ พอทักษิณเขาหาเสียง เขาบอกว่าเขาจะไม่ขายรัฐวิสาหกิจ แต่พอมาแต่งตั้งเสร็จเขาขายเลยนะ ปตท. ไฟฟ้าฯ เราก็เลยบอกว่า เขาหมดความชอบธรรมแล้ว
ในส่วนของสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจ ก็เลยมีมติให้ผมไปเป็นตัวแทน รวมทั้งศูนย์ประสานงานกรรมกรในภาคเอกชน แล้วก็มาร่วมกับ 5 แกนนำ ฉะนั้นภายใต้โครงสร้างแบบนี้ เมื่อเราอ่าน สมัยนั้นรัฐธรรมนูญปี 40 ก็ถาม จริงๆ ก็มาจากพวกเราต่อสู้มา ก็พูดถึงเรื่องการมีส่วนร่วม ก็พูดไว้ ปี 50 นี่ก็พูดชัดขึ้น เราก็คิดว่าเราก็ควรจะทำ ทำอย่างไรรัฐธรรมนูญกินได้ เช่น คนจะมาบริหารประเทศก็ถวายสัตย์ปฏิญาณตนว่าข้าพระพุทธเจ้าจะซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์และปฏิบัติหน้าที่เพื่อประโยชน์ของส่วนรวม ของประเทศชาติ ทั้งจะพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งรัฐธรรมนูญนี้ และปฏิบัติตามทุกประการ เราก็นั่งท่องนั่งอ่าน แล้วไม่เห็นใครทำอะไร แล้วในรัฐธรรมนูญนี้ก็เขียนอีกว่า บุคคลมีสิทธิ์ต่อต้านรัฐบาลที่ได้มาโดยไม่ชอบ โดยสันติวิธี ตามมาตรา 69 แล้วสิทธิหน้าที่ คือผมพยายามดูเรื่องกฎหมาย หลักความชอบธรรม คุณธรรมด้วย
ฉะนั้นเวลาเรามาเคลื่อนไหวเราก็ใช้สิทธิ์ตรงนี้ถูกต้องหมดเลย ที่ผ่านมา ของพี่ลองนี่ต้องท่องเลยนะสันติวิธี สงบ อหิงสา เราใช้หลักการนี้โดยตลอด แล้วก็ทำให้ประชาชนมาก่อตัว มารวมกันได้มากขนาดนี้ ผมถือว่ามันประสบความสำเร็จเกินคาด ผมไม่ได้มองอย่าง อ.สมเกียรติว่าห่อเหี่ยว ในท่ามกลางความปรักหักพังของคุณธรรม จริยธรรมทางการเมือง แต่มีคนกลุ่มหนึ่ง เพราะว่าพี่ลองต้องยอมรับว่าเป็นสัญลักษณ์ของความซื่อสัตย์สุจริต อันนี้ต้องยอมรับ ขนาดเป็นผู้ว่าฯ กทม. เพื่อนด่าอะไรไม่ได้ หาว่าใช้เงินไม่เป็น ผมจำได้ ... มันตลกมากเลยนะ คือในท่ามกลางที่คนเห็นว่าโกงแล้วไม่เป็นไร คือทักษิณก็ทำเสร็จ เราก็รู้ว่าเขาเป็นนักประชาสัมพันธ์ แต่เรามาต่อสู้ เขาเป็นคนที่แข็งแรงมาก ผมวิเคราะห์นะว่าแข็งแรงกว่าจอมพลสฤษดิ์ เขาเรียกว่าเผด็จการทุนนิยมสามาย์ในยุคใหม่ อ้างการเลือกตั้ง แต่ก็ซื้อมา เห็นไหมคำพิพากษา แล้วที่เขาหมดอำนาจเพราะเรา เขาอ้างเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2549 เราชุมนุมวันที่ 11 คนมาเยอะ เขาบอกว่าเนื่องจากมีการชุมนุมขยายกว้างขวางไปเรื่อย จึงประกาศยุบสภา ณ วันนั้นเป็นวันแรกที่เขาหมดจากอำนาจ แล้วหลังจากนั้นเขาก็ยึด ยังไงก็กลับไม่ได้ แล้วมีสมัคร (สุนทรเวช) มีสมชาย (วงศ์สวัสดิ์) มา ดังนั้นสิ่งที่เราต่อสู้ ผมเห็นว่า คือผมเกิดมาตอนนี้ให้ยิงตายได้เลย ถ้าผมจะตายขึ้นสวรรค์ ผมมีความสุขแล้ว เพราะตอนที่เราอยู่ในทำเนียบฯ คือมีคนดีมากๆ เลย มาเจอกัน มีทุกระดับ มันไม่เคยเกิดขึ้นในสังคมไทย
โสภณ - แต่ว่ากาเข้ามากิน
สมศักดิ์ - เราไม่ได้มองว่าเราจะยึดอำนาจเขามาเป็นของเรา ผมคิดว่าเรามีหน้าที่ตีงูไม่ให้กัดคน เพราะฉะนั้นถ้ามีงูชั่วต้องตีทุกครั้ง ไม่ใช่มีหน้าที่ว่าถ้าตีงูแล้วเราจะต้องเข้าไปกินงู เพราะเราไม่ใช่เป็นสัตว์กินงู แต่ว่ากามันจะกินงูก็เรื่องของมัน แต่เมื่อไรมีงูมาเราต้องตีงู ถ้าสังคมไทยเป็นอย่างนี้ มันจะทำให้อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน นักการเมืองเลวก็จะอยู่ไม่ได้ สร้างคุณค่าที่ดี เพราะฉะนั้นผมมองว่า นี่เป็นประโยชน์มาก และผมยังเชื่อมั่นนะ เห็นไหมเขา 377 เสียง ใหญ่มาก ออกไป วันนี้ก็เป็นนักโทษ ผมยังเชื่อมั่นว่ากำลังพันธมิตรฯ นี่เหลือเฟือที่จะจัดการกับคนชั่วเหล่านี้อยู่ ขอให้เรายึดที่บอกว่า ซื่อสัตย์ เสียสละ กล้าหาญ อย่างจริงจัง ขอให้ยึดอย่างจริงจัง ขจัดพวกแปลกปลอม ซึ่งมันก็มีอยู่บ้างในขบวนนี้ เราต้องพูดกันเหมือนกัน แต่เราก็ดูอยู่
จำลอง - ขอแทรกนิดนะครับ คำถามเมื่อกี้ก็ดีนะ พันธมิตรฯ ทำให้เกิดความแตกแยก ทำให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง
โสภณ - ข้อกล่าวหา
จำลอง - แตกแยกเนี่ย พันธมิตรฯ เกิดขึ้นมาก่อนใช่ไหม เราปกป้อง 3 สถาบันนะ โดยมีรายละเอียดตามวัตถุประสงค์ของการชุมนุมเป็นอย่างนี้ๆ เสร็จแล้วมาอีกกลุ่มหนึ่งเขาไม่เห็นด้วยกับเรา เขาก็จะบอกว่า ถ้าไม่ให้เกิดความแตกแยกเราต้องเลิกเสีย เลิกปกป้อง 3 สถาบันเสีย คล้อยตามเขาจะได้ไปด้วยกัน อย่างนี้ผิดนะครับ มันไม่ถูกนะ และเมื่อเกิดความแตกแยก เขาเห็นไม่ตรงกับเรา ที่เราจะปกป้อง 3 สถาบัน เราจะคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ อะไรก็แล้วแต่ เมื่อความคิดเห็นแตกแยกกัน ก็ไม่เกิดความวุ่นวาย ถ้าใช้กระบวนการทางยุติธรรม วันนี้จะวุ่นวายยังไง จะไปล้มการประชุมอาเซียนที่พัทยา ก็ล้มไม่ได้ ถ้าใช้กฎหมายเสีย ทุกวันนี้จะมาตะโกนด่าจาบจ้วงก็ทำไม่ได้ ถ้าใช้กฎหมาย ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็เงียบ คุณโสภณ คุณเก๋ คงจะเห็นนะว่าพวกเรายอมรับกระบวนการยุติธรรมตลอดเวลา เอ้า! ยกตัวอย่างของผมก็ได้ อย่างผมเหตุการณ์ปี 35 ผมติดคุกทั้งคุกตำรวจ ทั้งคุกทหาร พอมาเหตุการณ์นี้ ผมติดคุกพลเรือนอีก จะได้ครบ 3 อย่างเลย พลเรือน ตำรวจ ทหาร ผมไม่เห็นออกไปโวยวายที่ไหนเลย คือถ้ายอมรับเสีย ถ้าใช้กระบวนการยุติธรรมเสีย ไม่วุ่นวาย ถ้ารัฐบาลแข็ง มันจะไม่วุ่นวาย
สมศักดิ์ - ใช่ เหมือนพี่จำลองพูด เมื่อกี้อาจารย์พูดตรงกัน บังเอิญเราโชคไม่ดี เรามีรัฐบาลที่อ่อนแอ แล้วไม่รู้ว่าอะไรถูกผิดชั่วดี วันนี้เป็นหน้าที่ของเขา คุณโสภณดู วันนี้ถ้าเราเคลื่อนไหวสรุปกันว่า เราดูเรื่องฮุนเซนกับเสื้อแดง พวกเดียวกันไหม ถามว่าคุณจะเป็นคนไทยหรือจะเป็นคนกัมพูชา เอาละ หลักง่ายๆ วันนี้คุณคิดซิ พูด ทำอะไรพร้อมกันหมด ทักษิณก็ไปเป็นที่ปรึกษา วันนี้คุณรู้หรือยังว่าใครขายชาติ คิดง่ายๆ ไม่ต้องใช้สมองอะไรมาก
จำลอง - หยุดแค่นี้ถ้าไม่เกิดความแตกแยกพันธมิตรฯ ต้องเห็นด้วยกับเขา เป็นคนชาติเขมร ใช่อย่างนั้นเหรอ
กมลพร - เป็นไปไม่ได้ ถ้ามองในที่มาและการมาจนถึงวันนี้ คุณสมศักดิ์มองว่า เอาล่ะโครงสร้างการเมืองภาคประชาชน อย่างพันธมิตรฯ ไม่อ่อนแอ ไม่หดตัวลงอย่างที่ อ.สมเกียรติ ประเมินไว้แต่แรก แม้ว่าจะน้อยแต่ว่ายังมีความเข้มแข็ง
จำลอง - ไม่น้อยนะ ดูเหตุการณ์เมื่อวานซืนนี้ซิ ที่ตรัง น้อยที่ไหน ขนาดไปยากลำบากก็ยังไปกันอย่างหนาแน่น แล้วไม่ใช่ไปเฉยๆ
กมลพร - ถ้าจะให้มองนี่น้อยกว่าเดิมไหมคะ
จำลอง - ไม่ๆ
สมศักดิ์ - มันอยู่ที่กิจกรรม
กมลพร - อยู่ที่กิจกรรม
สมศักดิ์ - อยู่ที่ว่าเราจะทำอะไร ไม่เชื่อลองบอกว่า ให้ไปไล่รัฐบาล รับรอง ไล่พวกไหนในลักษณะต่อสู้ รับรองทุกคนออกมากันเต็มที่ ไม่ใช่น้อย แต่ว่ากลุ่มเสื้อแดงที่บอกว่าแข็งขึ้นๆ ไม่จริง แข็งขึ้นแต่อ่อนลง เพราะคนไม่กินแกลบ ส่งคนไปสังเกต เมื่อวานเขามีเท่าไหร่ ไม่ถึงพันคน ทุกที่ เงื่อนไขคนละเงื่อนไขกัน ความชอบธรรมไม่มี ให้จำไว้เลยถ้าความชอบธรรมไม่มีในการเคลื่อนไหว แม้แต่เราเองก็ไปไม่รอด ผมเชื่อในเรื่องนี้นะ
จำลอง - ยืนยันอีกทีว่า ผมก็สงสัยเหมือนกันก่อนจะถึงวันที่ 6 ก.พ. ที่ผ่านมา ที่เรามีคอนเสิร์ตการเมืองที่ตรัง ว่าคนจะมากรึเปล่า มากจริงๆ แล้วไม่ใช่มากเท่านั้น ที่ผมหารือกับพวกเราว่า เป็นโอกาสแล้วที่เราจะรวบรวมรายชื่อเพื่อถอดถอน ส.ส.ที่เสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะว่าผิดรัฐธรรมนูญ คนมายื่นรอกันเป็นชั่วโมงๆ รอจะลงนาม รอจะถ่ายเอกสาร ไม่บ่นอะไรสักคำ ยิ้ม อย่างนี้คือพลังอันเข้มแข็ง แล้วไม่ใช่เท่านั้น เดี๋ยวก็เอาตังค์มาให้ ช่วยนี่ๆ ผมเอากระดาษมาจดไม่ทัน คุณช่วยอะไรบ้าง ไม่ยอมบอก อย่างนี้หรือบอกว่าเขาอ่อนแอลง ไม่ใช่นะ ผมขอยืมโคลงกลอนของใครก็ตามที่อยู่ในพรรคผมที่เคยแต่งว่า ที่เรายืนอยู่ได้ในวันนี้เพราะเรามีเพื่อนดีทุกแห่งหน พันธมิตรฯ ยืนอยู่ได้ในวันนี้เพราะเรามีเพื่อนดีทุกแห่งหน ขนาดเขารู้นะว่าเราจะแวะที่ท่ายาง (จ.เพชรบุรี) พ่อยกแม่ยกตามหาจนเจอเรา ผมถามรู้ได้อย่างไร เขาส่งข่าวมา แล้วคุณว่าเขาอ่อนแอลงได้อย่างไร เขาแข็งแกร่งขึ้นกว่าเก่า
กมลพร - ถูกประเมินจากหลายฝ่าย ก็ถามเพื่อความชัดเจน
จำลอง - เพราะฉะนั้นทางที่ดี จัดใหญ่ๆ แบบนี้อีกทีไหม ดูซิว่าเราจะไปหรือเปล่า
กมลพร - อีกจุดยืนหนึ่งที่ยืนหยัดกันมาตลอด คือ คัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เราเห็นบทบาทนี้หนัก อ.พิภพ อาจเป็นเพราะตอนนี้แกนนำแต่ละท่านแยกย้ายกันไปทำงานแต่ละอย่าง
จำลอง - ไม่ใช่ อ.พิภพ เพิ่งไปยื่นถอดถอน
กมลพร - กำลังจะถามความคืบหน้าล่าสุด และความชัดเจน
พิภพ - จุดมุ่งหมายเดิม อย่างที่คุณจำลองบอก พันธมิตรฯ ยังไม่เคยเปลี่ยนจุดมุ่งหมายเลย ก็คือ การคัดค้านคุณทักษิณ อันนี้เป็นจุดมุ่งหมายเดิม คัดค้านเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ต่อมาก็เรื่องปราสาทพระวิหาร การคัดค้านโดยรวมก็คือ คัดค้านการทุจริตคอร์รัปชั่น การขายชาติ การแก้ไขกฎหมายเพื่อประโยชน์ของตน นี่พูดโดยรวม เพราะฉะนั้นจุดมุ่งหมายเดิมยังดำรงอยู่ แล้วฝ่ายเขายังดำรงจุดมุ่งหมายเดิมอยู่ คือ จะแก้รัฐธรรมนูญให้ได้ แก้รัฐธรรมนูญเพื่อประโยชน์ของตัวเองและเพื่อประโยชน์ของคนที่ถูกเอาออกจากการเมือง รวมทั้งคุณทักษิณ รวมทั้งคดีความต่างๆ ต่างคนต่างดำรงจุดมุ่งหมายเดิม เราเชื่อว่าจุดมุ่งหมายของเรายืนอยู่บนธรรมะ แต่จุดมุ่งหมายเดิมของพวกเขาไม่ได้ยืนอยู่บนธรรมะ ถ้าพูดกันอย่างแยกระหว่างธรรมกับอธรรม ก็รู้นักการเมืองพวกนั้นทุจริตคอร์รัปชั่น บริหารบ้านเมืองมาตลอดจนกระทั่งกลายเป็นทุจริตคอร์รัปชั่นที่สูงที่สุด เพราะฉะนั้นเราจึงได้ตัดสินใจโดยการแถลงการณ์ร่วมของ 5 แกนนำที่คุณจำลองเป็นคนอ่าน ว่าเรายังดำรงจุดมุ่งหมายเดิม คุณแก้รัฐธรรมนูญเมื่อไหร่เราจะคัดค้าน เราก็คัดค้านไปตามกระบวนการของกฎหมาย ตามช่องทางของกฎหมาย เพราะฉะนั้นพอแถลงการณ์เสร็จ หมอตุลย์กับพันธมิตรฯ ร่วมกันเสนอขอให้เข้าชื่อ แสดงความประสงค์ว่าจะเข้าชื่อถอดถอน ปรากฏพอไปเสนอเข้าชื่อถอดถอน ซึ่งจะต้องใช้ไม่ต่ำกว่า 20,000 ชื่อ พอไปที่ จ.ตรัง ลุงจำลองก็ขึ้นพูดรายละเอียด ผมก็พูดตาม ปรากฏว่าฮือฮากันขอจะลง ซึ่งเรากะจะทำให้เสร็จภายใน 1-2 สัปดาห์
จำลอง - ขอโฆษณาเพิ่มเติม ถึงแม้เป็นเรื่องของ อ.พิภพ ก็ตาม
พิภพ - ไม่ใช่เรื่องของผม ...
จำลอง - มอบหมาย อ.พิภพ เป็นโต้โผใหญ่ คือท่านผู้ชมที่สนใจเรื่องนี้มาก โทรศัพท์ไปถึงผมบอกว่า แล้วจะเอาแบบฟอร์มอย่างไร จะมี 2 อย่าง 1. ใบกรอกในการจะเสนอถอดถอน 2. สำเนาบัตรประชาชนพร้อมกับลงนามรับรองสำเนา ได้หารือกันเรียบร้อยแล้วนะครับว่า จะลงในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการว่า แบบใบกรอกเป็นแบบนี้ คุณพิมพ์แจกจ่ายกันเอง แล้วลงนามให้เรียบร้อย แค่นี้ก็ส่งมาให้ อ.พิภพ ที่สถานีโทรทัศน์ ASTV ถ.พระอาทิตย์ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร ถามว่าแล้วรหัสไปรษณีย์ แค่นี้เขาก็รู้แล้ว อย่างที่บอก จำลอง ศรีเมือง ASTV ยังมาถึงเลย อยากจะเรียนว่า เพื่อให้เป็นพลังที่สำคัญ ขอได้โปรดช่วยกัน ในเว็บไซต์ก็มี
กมลพร - ในเว็บไซต์มีให้ดาวน์โหลด
จำลอง - ข้อความที่จะพิมพ์ลงไปถูกต้องตามกฎหมายทุกประการ จะต้องกรอกอะไรบ้าง พร้อมกับสำเนาบัตรประชาชน รีบส่งมานะครับจะเป็นพลังอย่างยิ่ง เรื่องนี้ผมเคยทำสำเร็จมาแล้วเลยหนุนเต็มที่เพราะอะไร ต่อต้านกฎหมายทำแท้งเสรี ตอนนั้นคนไม่เยอะแบบนี้ อีกเรื่องต่อต้านการขายหุ้นบางจากให้ต่างชาติ ก็ทำสำเร็จมาแล้วด้วยวิธีนี้ แต่ไม่เป็นชิ้นเป็นอันเท่าขนาดนี้ แล้วไม่มีสถานีโทรทัศน์หนุนเราเลย แต่นี่มีพร้อม ผมจึงหารือกับสุริยะใสเรื่อยๆ บอกผลักดันให้เต็มที่
พิภพ - โดยสรุปคือ หลักของพันธมิตรฯ ไม่หายไปไหน แล้วไม่ตีกรอบเฉพาะพลังของพันธมิตรฯ พลังของประชาชนเติบโตขึ้น มีวิวัฒนาการตื่นตัวทางการเมือง กลายเป็นพลังของการเมืองภาคประชาชน เดิมทีการเมืองภาคประชาชน เป็นคำซึ่งถูกรังเกียจของนักการเมือง และการเมืองนอกสภาไม่มีพลังไปเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในรัฐสภา หรือทิศทางของรัฐสภาที่มุ่งไปสู่การครองอำนาจเพื่อทุจริตคอร์รัปชั่น และใช้อำนาจบาทใหญ่ แต่วันนี้ตั้งแต่ต่อสู้กันมา ไม่ใช่ต่อสู้ในช่วง 193 วันเท่านั้น ในการต่อสู้ที่สืบเนื่องกันมาตั้งแต่ต่อต้านฐานทัพอเมริกา 14 ตุลา ไล่มาเรื่อยๆ ผมคิดว่าพลังพวกนี้ไม่หายไปไหน แล้วผมเคยพูดกับ อ.ธีรยุทธ บุญมี ว่าถ้ามองในแง่ของวิทยาศาสตร์ พลังของประชาชนที่ถูกสร้างมามันถูกส่งต่อ และถูกขยายตัว ถ้ามองอย่างเป็นกลาง พลังที่เป็นพลังของความถูกต้องและความยุติธรรม มันเติบโตขึ้นในสังคมไทย และพูดอย่างยุติธรรม ในกลุ่มเสื้อแดงก็มีพลังตัวนี้อยู่บางส่วน ถ้าส่วนที่เข้าไปติดกับคุณทักษิณจะกลายเป็นพลังที่ไม่มีศีลธรรม และไม่ต้องการความยุติธรรม พลังที่ชอบคุณทักษิณมากมายโดยไม่คำนึงถึงความถูกต้อง ก็จะไม่ได้รับความชอบธรรม แต่พลังตรงกลางที่เข้าไปอยู่ พวกนี้ถ้าตัดเรื่องคุณทักษิณออก จะกลายเป็นพลังที่จะสร้างความยุติธรรมขึ้นในสังคมไทย อันนี้ผมถือว่าเป็นการเคลื่อนตัวของการเมืองภาคประชาชน ความตื่นตัวของทุกภาคส่วน
จำลอง - ผมขอเติมนิดหนึ่ง
โสภณ - ผมจะขอเวลาให้คุณสุริยะใส 3 นาที
จำลอง - ในฐานะที่เป็นคนแก่ที่สุด 74 ปี 6 เดือนกับสิบกว่าวัน ในชั่วชีวิตผม ผมคงจะไม่เห็นการก่อตัวของพลังประชาชนอย่างนี้ มันจะไม่มี มันจะไม่มีปัจจัยขึ้นสมพร้อมแบบนี้ หลายสิ่งหลายอย่างจนกระทั่งก่อตัวได้อย่างนี้ แล้วถ้าไม่มีสถานการณ์รุนแรงแบบที่แล้วมา มันก็ไม่เกิดขึ้นอีก ผมยังยืนยันว่า เป็นไปอย่างที่ อ.พิภพ ว่า มันเป็นพลังที่เยอะแยะมหาศาลจริงๆ และยังเหนียวแน่นอยู่ ยิ่งกว่าเดิมอีก
พิภพ - แล้วจะนำไปสู่ความถูกต้อง สู่สังคมใหม่ ถามหน่อยใครเคยคิดว่า 193 วันจะก่อให้เกิดแนวคิดการเมืองใหม่ เพื่อจะเปลี่ยนแปลงหมด ตั้งแต่อุตสาหกรรมสกปรกเป็นอุตสาหกรรมสะอาด เศรษฐกิจทุนนิยมเป็นเศรษฐกิจพอเพียง การศึกษาเพื่อประชาชน อะไรต่างๆ เกิดขึ้นมากมายเป็นแนวคิด แล้วชี้ให้สังคมเห็นชัดว่า ระหว่างการเมืองใหม่กับการเมืองเก่ามันแตกต่างกันอย่างไร แล้วมีรูปธรรมชัดเจน สุดท้ายก่อให้เกิดพรรคการเมืองใหม่ แล้วผมคิดว่าในช่วงเวลานี้ไม่มีช่วงเวลาไหนที่เหมาะที่สุดสำหรับสังคมไทย ก็คือ นำสังคมไปสู่การเปลี่ยนแปลงสังคมและการเมืองใหม่ ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เพราะฉะนั้นช่วงวิกฤตช่วงนี้ผมคิดว่า สุดท้ายพลังของความถูกต้องจะกำกับความรุนแรงที่พยายามจะก่อตัวขึ้น เพราะฉะนั้นหน้าที่กำกับความรุนแรงที่ฝ่ายที่สนับสนุนคุณทักษิณจะก่อตัวขึ้น ผมคิดว่า นอกจากรัฐจะต้องทำหน้าที่ กองทัพจะต้องทำหน้าที่ ตำรวจจะต้องทำหน้าที่ ประชาชนจะต้องทำหน้าที่ คำว่าทำหน้าที่ ไม่ได้หมายความว่าไปสู้รบปรบมือ แต่ไปกำกับความรุนแรงไม่ให้กระจายตัว ผมเชื่อว่าถ้าสังคมไทยผ่านช่วงเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคมไปได้ การเกิดเพื่อสังคมไปสู่การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นแน่นอน
โสภณ - คำถามสุดท้ายสำหรับคุณสุริยะใส ให้ประเมินดูกระแส หลังจาก 193 วันยุติลงไปแล้ว เหตุการณ์บ้านเมืองแปรผันไปต่างๆ นานา แล้วรัฐบาลเข้ามาบริหารบ้านเมือง กลุ่มเสื้อแดงมีกิจกรรมหลากหลายประชาชนรับรู้ตลอดมาว่าอะไรเกิดขึ้นในบ้านเมือง ถามว่ากระแสความคิดของประชาชน ดุลยภาพของพลังทางการเมือง และการต่อสู้จากนี้ไป คุณสุริยะใสมองอย่างไรว่า ถ้าหากว่ามีเหตุจำเป็นเกิดขึ้นมา จะเมษายนหรืออะไรก็แล้วแต่ จะเป็นสิ่งกระตุ้นให้คนทั่วๆ ไปออกมาพูดว่าเราไม่ยอมอีกแล้ว เราขอมีส่วนร่วมด้วย เพราะว่าลำพังทหาร ตำรวจ หรือข้าราชการทุกหน่วยออกมาขจัด ไม่สามารถคุมสถานการณ์ได้ ฉะนั้นประชาชนออกมา จะออกมาในลักษณะควบคุมสถานการณ์ หรือออกมาเพื่อต่อสู้ให้ตัวเอง หรือออกมาเพื่อเป็นบ่อเกิดของสิ่งที่กลัวกันว่าเป็นสงครามกลางเมือง
สุริยะใส - ผมพูดในฐานะคนที่ถูกมอบหมายให้ทำหน้าที่ผู้ประสานงาน หลัง 193 วัน ผมยุติบทบาทการพูดคุยกับอำนาจรัฐมากขึ้น พูดคุยกับทหารผมก็ลดบทบาทลง ตั้งแต่ระดับ ผบ. ถึงขั้นแกนนำรัฐบาล ผมได้รับมอบหมาย ผมคิดว่าถึงที่สุดแล้วเราเชื่อใจใครไม่ได้เลยนอกจากพลังของพี่น้องที่ร่วมต่อสู้กับเรา เป็นพลังที่เสียสละและสุจริตใจ ไม่มีผลประโยชน์แอบแฝง คำถามของคุณโสภณ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม ถ้าเราเชื่อมั่นเรามีพลังแบบนี้อยู่ไม่ต้องกลัว แล้วถ้ายังมีพันธมิตรฯ อยู่ผมไม่กลัวเลย แล้วผมเชื่อว่าสิ่งหนึ่งที่ขยายตัวใหญ่ก็คือ ความเชื่อที่ว่า ทักษิณเป็นภัยต่อราชบัลลังก์ ทักษิณเป็นสายล่อฟ้าสร้างความแตกแยก เป็นสัญลักษณ์ของการโกงทั้งโคตร ผมถามหน่อยว่า พลังเงียบเพิกเฉยต่อการกลับมาของคุณทักษิณหรือเปล่า ไม่มีทาง เผลอๆ พลังเงียบจะออกมาร่วมกับเรา แต่พลังของคนเหล่านี้อาจจะซุ่มซ่อน หรือสถานการณ์ไม่เอื้อ ก็อยู่บ้านดูทีวีก็ไม่เป็นไร แต่เมื่อถึงจังหวะผมคิดว่าสถานการณ์ได้เขาก็ออกมา
ฉะนั้นผมยังคิดว่า ถึงวันนี้พลังของพันธมิตรฯ โดยสรุปก็คือว่า ได้เปลี่ยนจากพลังของการตรวจสอบ ถ่วงดุลย์เป็นพลังของการมีส่วนร่วมในการกำหนดอนาคตประเทศไทยแล้ว ไม่อย่างนั้นการออกแบบพรรคการเมืองใหม่ หรือวาทกรรมเรื่องการเมืองใหม่ มันไม่เกิด มันเกิดเพราะพี่โสภณตั้งคำถาม ปี 49 เราตีงูให้กากินหรือเปล่า ถ้าตอบแบบนักเลงแบบพี่สมศักดิ์ว่า ไม่มีใครแย่งงูกิน ไม่มีใครอยากเป็นงู เราเห็นงูจะกัดคนเราก็ตี งูพิษเราก็ต้องฆ่าทิ้ง แล้วกามากินก็เรื่องของกา แต่หลังจากนี้เรารู้ว่าประเทศนี้ต้องใช้เวลาในการเปลี่ยนแปลง และต้องระดมพลังมหาศาล ฉะนั้นพันธมิตรฯ กับการเมืองใหม่จึงเป็นสิ่งที่แยกกันไม่ออก และวันนี้ที่ผมเห็นคือว่า หลังรัฐประหาร 19 ก.ย.49 วันที่ 22 ก.ย. แกนนำแถลงยุติบทบาท แต่หลัง 193 วัน ไม่มีใครพูดเลยว่า แกนนำต้องกลับบ้านใครบ้านมัน รู้แต่ว่าภารกิจอยู่ข้างหน้ามหาศาลเหลือเกิน พรรคก็แค่เรื่องเล็กเรื่องหนึ่ง
จำลอง - ใช่ ... ที่เรายุติการชุมนุมไม่ใช่ยุติเพราะความกลัว เพราะเหนื่อยยากลำบากเหลือเกินสู้ไม่ไหว ไม่ใช่ ยุติเพราะภารกิจเราสำเร็จแล้ว ครบทั้ง 2 อย่าง คือ คัดค้านแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2.รัฐบาลหุ่นเชิดออก ครบหมดเราถึงยุติ
พิภพ - ผมคิดว่าการแก้ไขความรุนแรง และความขัดแย้งในสังคม ต้องใช้ความยุติธรรม เพราะฉะนั้นศาลก็ดี อัยการก็ดี ซึ่งคุณสนธิได้วิจารณ์ไปเรื่อง 2 มาตรฐาน มีมาตรฐานเดียวคือความยุติธรรม แล้วความยุติธรรมจะสร้างความเป็นธรรมในสังคม การสร้างความเป็นธรรมในสังคมจะยุติความรุนแรง อันนี้ต้องเชื่อ ถ้าไม่เชื่อตัวนี้เดี๋ยวจะเป๋ ในกระบวนการยุติธรรมจะเป๋ ตัดสินอย่างนี้แล้วจะเกิดความรุนแรง ไม่ คุณต้องอธิบายสังคมได้ว่าคุณตัดสิน ไม่ว่า 76,000 ล้าน ยึดหมดหรือไม่หมด อธิบายได้ว่ายุติธรรม เมื่อยุติธรรมแล้วจะสร้างความเป็นธรรม ความเป็นธรรมจะยุติความรุนแรง แต่แน่นอนความรุนแรงที่มีคนจงใจพยายามก่อ ให้เป็นหน้าที่ของรัฐที่จะต้องเข้าไปควบคุมจัดการ แต่ความรุนแรงนั้นจะไม่ถูกสนับสนุนจากประชาชนถ้าสร้างความเป็นธรรมและความยุติธรรมให้ปรากฏ
จำลอง - ปัญหาจะไม่เกิดขึ้นเลยถ้า 2 ฝ่ายทำอย่างเต็มที่ 1.รัฐบาล 2.กระบวนการยุติธรรม ทุกสิ่งทุกอย่างเรียบร้อย
โสภณ - อ.สมเกียรติ บอกว่า ทุกวันนี้เสื้อแดงขยายไปทั่ว แต่ผมถามว่า ถ้าสังเกตให้ดีเขาตั้งอยู่บนพื้นฐานความเปราะบางหรือความหนักแน่น
สุริยะใส - เปราะบางมาก เพราะว่าเป็นปรากฏการณ์ที่ ผมเข้าใจว่า พอเอาเรื่องคุณทักษิณเป็นตัวตั้ง พลังเหล่านี้ไม่สามารถพัฒนาเป็นพลังที่มีคุณภาพในการสร้างบ้านแปลงเมืองได้ แต่พลังของพันธมิตรฯ เป็นพลังที่ ผมเข้าใจว่าเป็นพลังเชิงคุณธรรม แล้วพันธมิตรฯ ตั้งคำถามกับประชาธิปไตยว่า มันเป็นแค่ประชาธิปไตยแบบตะวันตกไม่พอต้องใส่เรื่องคุณธรรมเข้าไป ต้องใส่ศีลธรรมไป นี่ตะวันตกล้าหลังกว่าเรา ศีลธรรม คุณธรรม อยู่เหนื่อระบบกฎหมาย เพราะระบบกฎหมาย สิ่งที่คนใช้ก็แปลบิดเบือนได้ ฉะนั้นผมคิดว่านี่เป็นพลังก้าวหน้าที่เราตั้งคำถาม นักวิชาการก็ไม่เข้าใจประเด็นแบบนี้ นักวิจัยมาถาม ผมถามหน่อยว่า พลังศีลธรรมประเทศอื่นมีไหม ไม่มีใครพูด พูดแต่เรื่องระบบเลือกตั้ง เลือกตั้งเสร็จใครชนะเลือกตั้งก็เป็นรัฐบาล ใช้อำนาจยังไงก็ได้ แต่ของเราไปไกลกว่านั้น มันเห็นว่า กระบวนการเลือกตั้ง หรือประชาธิปไตยที่ใช้กันมามันไม่พอ ต้องใส่คุณธรรมเข้าไป
สมศักดิ์ - จาก Insider Information ของเสื้อแดงภายในแย่งกันมาก ผลประโยชน์ เดี๋ยวคุณโสภณตามดู
กมลพร - คนมักพูดเสมอว่า ประวัติศาสตร์กำหนดอนาคตได้เสมอ วันนี้เราย้อนมองที่มาของพลังการเมืองภาคประชาชน และประเมินอนาคต บทบาทกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในการดำเนินการต่อจากนี้ไป วันนี้ขอบคุณแกนนำทั้ง 3 ท่าน และผู้ประสานงาน ขอบคุณค่ะ วันนี้พวกเราลาคุณผู้ชมไปก่อนนะคะ สวัสดีค่ะ