อาจเป็นการด่วนสรุปเกินไปก็ได้ ว่าสถานการณ์ในเวลานี้ไม่ได้เอื้ออำนวยต่อการเปิดรุกครั้งใหญ่ เพื่อขัดขวางไม่ให้มีการอ่านคำพิพากษาคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้าน รวมไปถึงคดีอื่นๆ ที่ยังคาอยู่ในศาล และที่สำคัญทำให้แผนของการหวนคืนสู่อำนาจอีกครั้งต้องห่างไกลออกไปทุกที
อย่างไรก็ดี เพื่อให้เห็นภาพก็จะต้องแยกแยะแต่ละความเคลื่อนไหว และแนวรบแต่ละด้าน ซึ่งตามแผนเดิม ฝ่าย ทักษิณ ชินวัตร ได้เตรียมการวางแผนมาเป็นเวลานานเพื่อตีโอบเข้ามาในเวลาไล่เลี่ยกัน และเพิ่มความเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ
แต่มาวันนี้ต้องยอมรับว่าสถานการณ์แทบทุกอย่างไม่เป็นใจ ส่วนใหญ่มาจากปัญหาภายในที่แต่ละฝ่ายเข้ามาเป็นแนวร่วมไม่เคยเป็นเนื้อเดียวกัน เข้ามาด้วยเหตุผลและจุดมุ่งหมายแตกต่างกัน หรือแม้แต่ต่างใช้อีกฝ่ายเป็นเครื่องมือซึ่งกันและกัน
นอกเหนือจากนี้ กลุ่มหลักที่ต้องใช้เป็นกลไกนำในการเคลื่อนไหวขาดเอกภาพอย่างหนัก ต่างไม่ยอมรับการนำซึ่งกันและกัน ซึ่งสาเหตุสำคัญอีกอย่างที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือมีปัญหาในเรื่องของการขัดผลประโยชน์และการขัดกันในเรื่องของ “บทบาท” ที่ต่างฝ่ายต่าง “กันท่า” ซึ่งกันและกัน
ประกอบกับสถานการณ์ที่เป็นจริงก็คือยิ่งสู้ไปยิ่งห่างไกลเป้าหมาย ก็ยิ่งทำให้ “ล้า” และ “รวน” เกิดขึ้นเป็นการภายในจนกระทั่งกลายมาเป็นถึงจุดระเบิด และต่อไปเชื่อว่าก็จะมีรายการสาวไส้ตามมาอีกหลายระลอก
เริ่มตั้งแต่แนวรบด้านในประเทศที่ใช้ พรรคเพื่อไทยและกลุ่มคนเสื้อแดงเป็นแกนหลักในการเคลื่อนไหว ก็ปรากฎว่ามีปัญหาขัดแย้งภายในอย่างหนัก เริ่มตั้งแต่ปัญหาในพรรคเพื่อไทยที่มีการระเบิดอารมณ์ระหว่างสองขุนพลหลักคือ เฉลิม อยู่บำรุง กับ สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ถึงขนาด ขึ้นมึง ขึ้นอี ไม่มีการเกรงใจกันเลยทีเดียว ซึ่งกรณีดังกล่าวย่อมส่งผลกระทบต่อการขับเคลื่อนในสภา โดยเฉพาะในศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลที่กำลังจะมาถึง
ขณะเดียวกันความขัดแย้งดังกล่าวยังเชื่อว่าจะประสานเป็นเนื้อเดียวกันยาก แม้ว่าจะมี “นาย” คนเดียวกันคือ ทักษิณ ชินวัตร ก็ตาม แต่อย่าลืมว่าต่างฝ่ายต่างมีลูกหาบ แต่ที่สำคัญหากติดตามแบ็กกราวนด์ของ “เจ๊” รับรองว่าเรื่องริษยาอาฆาตไม่ธรรมดาอยู่แล้ว
เมื่อหันมาติดตามความเคลื่อนไหวของกลุ่มเสื้อแดง ที่เวลานี้ก็แทบจะเรียกได้ว่า “เละ” ไม่มีชิ้นดี เพราะล่าสุดการออกมา “ตีกัน” ไม่ให้อีกฝ่ายเข้ามายุ่มย่ามในทำนองเข้ามาแบ่งผลประโยชน์ จากการแย่งชิงการนำระหว่างกลุ่ม “สามเกลอ” กับกลุ่มใหม่ที่จะเข้ามาคือ พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี และ “เสธ.แดง” พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล
การเสนอให้ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดของ กองทัพประชาชนฯทำเอาปั่นป่วนไปทั่ว ที่เห็นได้ชัดก็คือเป็นสร้างภาพลักษณ์อันน่ากลัว หมายถึงการก่อสงครามกลางเมือง ก่อสงครามปฏิวัติดังที่เคยเกิดขึ้นในจีน ยุคเหมาเจ๋อตง ยุคพรรคบอลเชวิคโค่นล้มสถาบันพระมหากษัตริย์แบบถอนรากถอนโคน
ซึ่งภาพที่ออกมาดังกล่าวก็ย่อมทำให้หลายคนเริ่มชิ่งออกมามากขึ้น โดยเฉพาะสังคมส่วนใหญ่ที่เริ่มมองเห็นตรงกันว่าบ้านเมืองถึงเวลาต้องการความสงบ ขณะเดียวกัน การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจเริ่มมีให้เห็นชัดเจนทำให้หลายคนอยากเห็นบรรยากาศที่เป็นบวก เพื่อจะได้มีโอกาสทำมาหากินเลี้ยงปากเลี้ยงท้องจริงๆจังๆเสียที คงไม่มีใครอยากให้เผาบ้านเผาเมืองอย่างแน่นอน
การเคลื่อนไหวดังกล่าวหากไม่พูดถึงกรณีที่ พล.อ.ชวลิต ที่ต้องรีบปฏิเสธเป็นพัลวัน และตามมาด้วย ทักษิณ ชินวัตร ที่รีบทวิตเตอร์ปฏิเสธและเน้นย้ำให้เห็นว่าตนเองต่อสู้อย่างสันติเท่านั้น แต่ภาพที่เห็นก็คือเป็นการแย่งชิงบทบาท และการตีกันไม่ให้อีกฝ่ายเข้ามาในทำนอง “แย่งส่วนแบ่ง” เป็นอันขาด ดังจะสังเกตได้จากการตอบโต้กันอย่างรุนแรงระหว่าง พล.อ.พัลลภ เสธ.แดง กับ จตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำคนเสื้อแดง
ส่วนความเคลื่อนไหวทางด้านแนวรบตะวันออก ล่าสุด “ฮุนเซน” นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ซึ่งเป็นพันธมิตรคนสำคัญได้เดินทางมาชายแดนไทย-กัมพูชาสอดคล้องกันอย่างเหมาะเจาะ ในช่วงที่เครือข่าย ทักษิณ กำลังจะเคลื่อนขบวนในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
สิ่งที่ต้องพิจารณาก็คือ การเดินทางมายังชายแดนเที่ยวนี้ของผู้นำกัมพูชาย่อมหวังผลหลายอย่าง อย่างแรกต้องการสร้างกระแสเพื่อกลบเกลื่อนปัญหาชายแดน กัมพูชา-เวียดนามที่ถูก “สม รังสี” ผู้นำฝ่ายค้านกัมพูชาเพิ่งออกมาแฉหลักฐานล่าสุดว่าได้ถูกฮุบไปหลายตารางกิโลเมตร
อย่างที่สอง การเดินทางมาเหยียบพื้นที่พิพาทเพื่อหวังผลต่อการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก เป็นการเยือนแบบสัญลักษณ์แสดงให้เห็นถึงอธิปไตยเหนือดินแดน เพราะทางยูเนสโกได้กำหนดให้กัมพูชาต้องเสนอแผนจัดการบริหารพื้นที่ภายในเดือนกุมภาพันธ์นี้
อย่างที่สาม อาจสอดคล้องเป็นความร่วมมือกับ ทักษิณ ที่ให้ตีโอบเข้ามาทั้งภายในนอกและภายในประเทศ นั่นคือสร้างความตึงเครียดด้านชายแดนตะวันออก แต่กลายเป็นว่าการเดินทางมาครั้งนี้ไม่ได้สร้างแรงกระเพื่อมเท่าทีควร แม้ว่าฝ่ายรัฐบาลไทยยอมโอนอ่อนให้เข้ามาในพื้นที่ แต่ยังยืนยันเหนืออธิปไตยที่เป็นพื้นที่พิพาทและมีการออกแถลงการณ์โดยกระทรวงการต่างประเทศของไทยยืนยันห้ามอ้างอธิปไตย
นั่นคือหาก ฮุนเซน ข้ามมา ทางฝ่ายไทยก็ต้องขออนุญาต และทางฝ่ายไทยก็ไปต้อนรับเหมือนกับการต้อนรับผู้นำประเทศเพื่อนบ้านคนหนึ่งเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ภาพความเคลื่อนไหวดังกล่าวไม่อาจดึงความสนใจหรือได้ผลมากนัก เพราะทางฝ่ายไทยยังยืนยันในอธิปไตย และไม่ยอมถอนทหารออกมาพื้นที่ดังกล่าว ทำให้ไม่เป็นผลดีต่อการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก เพราะตราบใดที่ทั้งสองประเทศยังไม่สามารถหาข้อยุติร่วมกันได้ ก็ไม่มีทางได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก เพราะวัตถุประสงค์ของยูเนสโกจะต้องเป็นไปในทางสันติภาพและความร่วมมือเป็นหลัก
ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากภาพรวมทั้งหมดถือว่านาทีนี้ ทักษิณ ไม่สามารถเดินเกมรุกได้ตามที่ต้องการ เนื่องจากบรรดาแกนนำแต่ละฝ่ายต้องมาแตกแยกกันเองเสียก่อน ต่างฝ่ายต่างออกมาสาวใส้ ทำให้การสร้างแรงกดดันก่อนและหลังวันดีเดย์สำคัญต้องอ่อนกำลังลงไปโดยปริยาย
ขณะเดียวกัน ความเคลื่อนไหวของ ฮุนเซน ที่เป็นพันธมิตร ที่อุตส่าห์ลงทุนมาสร้างความตึงเครียดตามแนวชายแดน ดูผิวเผินเหมือนกับเปิดเกมรุก แต่เอาเข้าจริงก็ไม่ได้เข้ามาในพื้นที่ปัญหา ดูเหมือนรุกแต่ถอย
อย่างไรก็ดี สิ่งที่น่าเป็นห่วงขณะนี้ก็คือ เมื่อไม่อาจก่อสงครามใหญ่ได้เนื่องจากแทบทุกปัจจัยการเคลื่อนไหวไม่เป็นใจ ทำให้ต้องระวังในเรื่องของการทำสงครามย่อยหรือจรยุทธ์ เพื่อให้เกิดความวุ่นวายและสามารถสร้างกระแสตามที่ตัวเองต้องการ นี่ต่างหากที่น่ากลัวกว่า!!