ปัญหาการซื้อขายตำแหน่งในแวดวงสีกากี ถือเป็นความฉาวโฉ่อมตะนิรันดร์กาลที่เกิดขึ้นทุกครั้งเมื่อมีการแต่งตั้งโยกย้าย ล่าสุดการจัดทำบัญชีแต่งตั้งโยกย้ายนายตำรวจระดับรองผู้บังคับการ – สารวัตร ก็อื้อฉาวจนร้อนไปถึงตึกไทยคู่ฟ้า
ทำให้ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกรัฐมนตรี ต้องออกหน้าเตรียมตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง หลังมีการร้องเรียนผ่าน “พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์” รองเลขาธิการ
พื้นที่ที่มีการร้องเรียนว่าเกิดปัญหาการซื้อขายตำแหน่งรุนแรงที่สุดคือ กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 ภายใต้การดูแลของ
พล.ต.ท.เกรียงศักดิ์ สุริโย ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 นรต.รุ่น 25 ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมรุ่นของ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ และได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนี้ในสมัยที่ พล.ต.อ.พัชรวาท มีอำนาจคับ สตช. โดยย้ายมาจากกองบัญชาการตำรวจตระเวณชายแดน
ความจริงการย้ายก้นจากชายแดนเข้าภาค 2 ของ พล.ต.ท.เกรียงศักดิ์ ในขณะนั้นก็เป็นที่ถกเถียงกันมากในการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองฯว่ามีความเหมาะสมหรือไม่ แต่สุดท้ายก็มิอาจทานความต้องการของผู้มีอำนาจในขณะนั้นได้ ทำให้ พล.ต.ท.เกรียงศักดิ์ ผงาดในตำแหน่ง ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 สมใจ
แต่จะอยู่ในตำแหน่งนี้ได้อีกนานแค่ไหน คงต้องรอดูผลสอบที่ “อภิสิทธิ์” จะตั้งขึ้นด้วย
ไม่เพียงแต่พื้นที่ภาค 2 จะครหาหนาหูว่าซื้อขายตำแหน่งโจ๋งครึ่มเท่านั้น กองบัญชาการตำรวจนครบาลที่ พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ดูแลอยู่ ก็ถูกตั้งฉายาว่าเป็น “ตลาดหลักทรัพย์ที่ลงทุนแห่งใหม่ของตำรวจ” ด้วยเช่นเดียวกัน
ซึ่งคณะกรรมการที่นายกรัฐมนตรีจะตั้งขึ้น ก็คงสังคายนาตรวจสอบไปพร้อม ๆ กัน ส่วนผลที่ออกมาจะสะเทือนเก้าอี้ของ “พล.ต.ท.สัณฐาน” หรือไม่นั้น ยังเป็นเรื่องที่ต้องติดตาม
เพราะเส้นทางการก้าวเข้าสู่ บชน.ของ “พล.ต.ท.สัณฐาน” ถือว่าไม่ธรรมดา มีแบ็กแน่นปึ้กจากการสนับสนุนสุดกำลังของ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” ผลักดันจนย้ายจากภูธรภาค 8 มานครบาล
ทั้งที่ในระหว่างการแต่งตั้งโยกย้ายครั้งนั้น “พล.ต.ท.สัณฐาน” ยังถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง จากกรณีมีพฤติการณ์เข้าข่ายกระทำผิดวินัยตำรวจและกฎระเบียบของทางราชการถึง 7 กรณี
และตอนนี้กงล้อแห่งกรรมก็กำลังทำหน้าที่อย่างเข้มข้น ซึ่งอาจส่งผลทำให้ “พล.ต.ท.สัณฐาน” ถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง จนต้องเด้งจากนครบาลก็เป็นได้ ถ้าผลสอบสรุปออกมาพบว่ามีการกระทำผิดจริง
สำหรับประเด็นที่มีการร้องเรียนจนนำไปสู่การตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงมี 7 กรณี คือ
1 ยกเลิกการจัดซื้อครุภัณฑ์ไฟฟ้าและวิทยุสื่อสาร จำนวน 634 เครื่อง วงเงิน 10 ล้านบาท
2 ซ่อมแซมบ้านพักของผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 เป็นเงิน 700,000 บาท โดยขัดต่อระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี
3 ซ่อมแซมห้องทำงานของผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 เป็นเงิน 2 ล้านบาท โดยขัดต่อระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี
4 มีพฤติการณ์เรียกรับผลประโยชน์จากผู้ใต้บังคับบัญชา และผู้ประกอบการตลอดจนกระทำผิดกฎหมาย อาทิเช่น สินค้าละเมิดลิขสิทธิ์
5 ออกคำสั่งให้ข้าราชการตำรวจไปปฏิบัติหน้าที่ที่อื่นโดยไม่เป็นธรรม
6 มีพฤติการณ์เป็นผู้มีอิทธิพล โดยให้เจ้าหน้าที่ตำรวจถืออาวุธปืนติดตามตัวเพื่อให้ความปลอดภัย เข้าไปในสนามบินซึ่งเป็นเขตหวงห้าม
7 ออกคำสั่งให้รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 รักษาราชการแทนโดยไม่คำนึงถึงลำดับอาวุโส
เบื้องต้นผลการตรวจสอบของสำนักงานตรวจสอบภายใน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ได้รับมอบหมายให้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงการร้องเรียนเกี่ยวกับเรื่องการจัดจ้างซ่อมแซมบ้านพักและห้องทำงาน
กรณีเรียกรับเงินจากผู้กระทำผิดกฎหมาย
ซึ่งทำการตรวจสอบคู่ขนานไปกับคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงพบว่า มีมูลเกี่ยวกับการทุจริตจริงตามที่มีการร้องเรียน !
โดยกรณีการเรียกรับเงินจากผู้กระทำผิดกฎหมายนั้นตามคำร้องเรียนระบุว่า มีนายตำรวจใหญ่คนหนึ่งในบัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 เกี่ยวข้องผลประโยชน์จากบ่อนการพนันในพื้นที่ซึ่งมีเกือบ 20 บ่อน บ่อนละ 150,000 บาทต่อเดือน
หากตัวเลขที่ร้องเรียนเป็นจริง คำนวณดูแล้วคนที่เรียกรับเงินจากบ่อนการพนันจะมีรายได้ถึงเดือนละเกือบ 30 ล้านบาท ปีหนึ่งปาไปเกือบ 360 ล้านบาท
อู้ฟู่ขนาดนี้ยังไม่อาจเทียบได้กับนครบาลและภูธร 2 ทั้งสองแห่งมีรายได้ไหลเข้ากระเป๋ามากกว่าภูธรแดนไกลหลายเท่าในแต่ละเดือน จึงไม่น่าแปลกใจ ที่ตำรวจใหญ่แข่งกันประมูลเข้ามาอยู่ในนครบาลและภูธร2แบบสู้ไม่อั้น เพราะแม้จะทุ่มหนักขนาดไหน ก็มีหวังถอนทุนคืนบวกกำไรไปได้เกินคุ้ม
นครบาลกับภูธร2ยุคนี้ จึงกลับมาเป็นทำเลทองของอบายมุขอีกครั้ง เพราะตำรวจตั้งหน้าตั้งตาถอนทุนคืน