xs
xsm
sm
md
lg

“มาร์ค” ลั่นกองทัพต้องเป็นเครื่องมือ รบ. ย้อนถามปฏิวัติแล้วชาติจะได้อะไร!!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
“อภิสิทธิ์” ปฏิเสธขัดแย้ง “เทพเทือก” ปรับทีม รปภ. แต่จำเป็นต้องยกระดับอารักขาในช่วง 10 วันอันตราย ยอมรับเสื้อแดงรุกหนักและพยายามยั่วยุ มั่นใจเหตุการณ์ไม่รุนแรงเหมือนช่วง เม.ย.เลือด ย้ำกองทัพจะต้องสนองนโยบายรัฐบาล ย้อนถามหากปฏิวัติแล้ว ประเทศชาติจะได้อะไร วอนสังคมอย่าตกเป็นเหยื่อข่าวลือที่หวังให้เกิดจริง

วันนี้ (3 ก.พ.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวชี้แจงกรณีข่าว ศ.นพ.อรรถสิทธิ์ เวชชาชีวะ บิดาให้เงิน 3 แสนบาทในการรักษาความปลอดภัยว่า ยังงงอยู่ใครพูดเรื่องนี้ขึ้นมา ไม่น่าจะเป็นไปได้อยู่แล้ว ต้องไปถามท่าน ผู้สื่อข่าวถามว่า มีข่าวว่านายกฯ ไม่ไว้ใจนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง ในการรักษาความปลอดภัย นายกฯ กล่าวว่า เรื่องไม่ไว้ใจไม่มี เรียนว่านายสุเทพได้รับผิดชอบงานด้านนี้มา และทำงานมาตนก็ทราบข้อจำกัดหลายอย่าง แต่ไม่มีเหตุผลอะไรทั้งสิ้นที่จะไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน เมื่อถามว่ากรณีที่มอบหน้าที่ให้กับ พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ดูแลทีมรักษาความปลอดภัยนายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า จริงๆ ตอนที่ พล.ต.อ.ธานี มาเป็นรองเลขาฯ นายกฯ อันนี้ก็เป็นหนึ่งในเรื่องที่ท่านต้องเข้ามาดูแลด้วย

เมื่อถามว่า คำสั่งดังกล่าวถึงมองว่าเป็นการลองของคนที่เข้ามาทำหน้าที่ตรงนี้ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า อย่าไปเอาทุกเรื่องมาโยงกันหมด มันเป็นเรื่องที่เราวางแผน และตั้งใจทำมาก่อนหน้านี้ เมื่อถามต่อว่า โดยส่วนตัวคิดว่าควรจะมีการปรับรื้อระบบรักษาความปลอดภัยให้มีความเข้มมากยิ่งขึ้นหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า คงต้องปรับปรุงจากหลายเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นก็มีการปรับปรุงมา เมื่อถามว่าการลงพื้นที่ของนายกฯ จะต้องมีการรักษาความปลอดภัยเข้มข้นหรือไม่ เพราะพรรคประชาธิปัตย์ วิเคราะห์ไว้แล้วเป็นช่วง 10 วันอันตรายเสื้อแดงจะเคลื่อนไหวหนัก นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ปกติตนก็ไปปฏิบัติภารกิจตามปกติ ไม่มีอะไร เวลาไปไหนเขาก็มีทีมที่ดูแลอยู่

ผู้สื่อข่าวถามว่า มีความมั่นใจในระบบการรักษาความปลอดภัยในขณะนี้มากน้อยแค่ไหน นายกฯ กล่าวว่า ก็มั่นใจ และตนก็ปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ เมื่อถามว่า รู้สึกหวั่นไหวอะไรหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ไม่ ตนมีหน้าที่คิดเรื่องการทำงาน เรื่องนี้มีความรับผิดชอบของคนชัดเจน เมื่อถามว่า วันนี้กระทบความเป็นส่วนตัวของครอบครัวหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ความเป็นส่วนตัวกระทบมานานแล้วแต่ครอบครัวเขาก็ทราบว่า อยู่ในสถานการณ์บ้านเมืองอย่างนี้ก็มีเหตุเกิดขึ้นได้ ก็ไม่ได้รู้สึกอะไร

เมื่อถามว่า ที่นายกฯ เคยพูดว่าความรุนแรงเริ่มเข้ามาสู่การเมืองมากขึ้น เคยคิดหรือไม่ว่า จะรุนแรงมากกว่าเดือน เม.ย.ปีที่ผ่านมา นายกฯ กล่าวว่า ความจริงถือว่าเดือนเม.ย.ปีที่แล้วรุนแรงมาก และเราพยายามที่จะหยุดไม่ให้มันเดินหน้าหรือขยายตัวไปมากกว่านี้ คิดว่าทุกคนเข้าใจดีว่าขณะนี้ที่มีการเคลื่อนไหวอย่างเข้มข้นว่า มันเพราะอะไร ฉะนั้นทุกคนคงพอจะเข้าใจว่า ทำไมช่วงนี้มีเหตุการณ์ มีข่าว ข้อมูลอะไรแปลกๆ ออกมาเป็นระยะๆ เมื่อถามย้ำว่า สถานการณ์จะรุนแรงเลวร้ายขึ้นมากกว่าเดือน เม.ย.ไหม นายกฯ กล่าวว่า เป็นหน้าที่ของรัฐบาล ที่จะไม่ให้เกิดเราไปห้ามคนที่อยากจะทำไม่ได้ มันเป็นความอยากของเขาที่จะทำ แต่ตนมาขอความร่วมมือพี่น้องประชาชนส่วนใหญ่ ซึ่งตนมั่นใจว่า ต้องการเห็นบ้านเมืองหลุดพ้นจากเรื่องแบบนี้ว่าต้องช่วยกัน ซึ่งทุกคนช่วยได้ การช่วยคือการอย่าไปยอมรับ และอย่าไปเป็นเหยื่อของความพยายามที่จะเคลื่อนไหวให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง

ผู้สื่อข่าวถามว่า ตอนนี้การเคลื่อนไหวต่างๆ สร้างความตื่นตระหนกให้กับคน และทำให้เกิดความสับสนค่อนข้างมาก นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า สังคมต้องอย่าไปตื่นตระหนกข่าวสารต่างๆ ก็ต้องกลั่นกรอง เพราะหลายเรื่องจริงๆ ถ้าเรามองย้อนกลับไป คนหลายคนที่มาพูดสิ่งนั้นสิ่งนี้จะเกิด พูดมานับครั้งไม่ถ้วนแล้วนั้นไม่จริง ก็ไม่ควรที่จะไปหวั่นไหวกับคำพูดของคนเหล่านี้

เมื่อถามว่าคิดว่าหลังการตัดสินคดียึดทรัพย์สถานการณ์การเคลื่อนไหวจะคลี่คลายลงหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ตนคิดว่าการเคลื่อนไหวก่อนการตัดสินจะเข้มข้น แต่ตอบไมได้ว่าหลังการตัดสินจะคลี่คลายได้ช้าเร็วแค่ไหน แต่ตนคิดว่ามันมีความพยายามที่จะโหมการเคลื่อนไหวมากคือ ช่วงก่อนการตัดสิน เมื่อถามว่า ที่เคยพูดว่าสถานการณ์จะลากยาวไปเดือน มี.ค. ตอนนี้ยังคิดอย่างนั้นหรือเปล่า นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ใช่ตนยังคิดอย่างนั้น เมื่อถามว่าด้านการข่าวมีรายงานให้ต้องระมัดระวังอะไรเป็นพิเศษหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า มีเป็นระยะๆ ในแง่ของการเคลื่อนไหวของกลุ่มต่างๆ ฉะนั้นเจ้าหน้าที่ก็ต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิด

ผู้สื่อข่าวถามว่า เป็นห่วงเรื่องกองกำลังไม่ทราบฝ่ายที่มีการพูดถึงกันหลายครั้งหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ก็มีการตรวจสอบกันตลอด เจ้าหน้าที่ได้ติดตามตรวจสอบอยู่ เมื่อถามว่า มีปัญหาลักษณะนี้เกิดขึ้นหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า มีข่าวมาก และมีการติดตามการเคลื่อนไหวของบางกลุ่ม เมื่อถามว่าการเคลื่อนไหวจะรุนแรงถึงระดับไหน นายกฯ กล่าวว่า คิดว่าจะมีการชุมนุมและอาจมีความพยายามให้เกิดความวุ่นวายขึ้น เราก็พยายามก็ไม่ให้ไปสู่จุดนั้น เมื่อถามว่า ที่บอกว่าติดตามการเคลื่อนไหวของคนบางกลุ่มขยายความได้หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่าเป็นการเคลื่อนไหวที่คิดว่าไม่ปกติหรืออาจจะมีส่วนในการทำให้เกิดความวุ่นวาย

เมื่อถามว่าในภาวะที่มีความพยายามสร้างความวุ่นวายให้เกิดขึ้น ที่มองกันว่าทหารอาจจะเข้ามา จะทำให้เกิดความมั่นใจได้อย่างไรว่า จะไม่เกิดลักษณะการฉวยโอกาสเพื่อเข้ามาแสวงหาอำนาจ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตนคิดว่าวันนี้สังคมน่าจะมองเห็นและแม้กระทั่งกองทัพเอง ก็ต้องมองเห็นว่าถ้าบ้านเมืองเปลี่ยนแปลงไปในลักษณะนอกรัฐธรรมนูญ อะไรจะเกิดขึ้น ในแง่ความเชื่อมั่นของชาวโลกที่จะมีต่อไทย ดังนั้นมันง่ายที่จะพูดถึงเรื่องปฏิวัติ แต่ปฏิวัติแล้วแม้สมมติว่าสำเร็จถามว่าผลพวงที่ตามมาตรงนี้ใครจะแบกรับได้ ดังนั้น ตรงนี้ตนคิดว่าทุกคนน่า จะตระหนักตรงนี้ดี และถามว่าจะปฏิวัติเพื่ออะไร ส่วนใครก็วิเคราะห์กันบอกว่าเพื่อไม่ให้เหตุการณ์มันวุ่นวาย คำถามที่ตามมาก็คือว่าถ้าไม่ปฏิวัติ ทำไมเราดูแลแก้ปัญหาความวุ่นวายไม่ได้ ในเมื่อกองทัพก็ต้องเป็นเครื่องมือของรัฐบาล และรัฐบาลก็มีนโนบายชัดแจ้งต้องการให้มีการกระทำที่ถูกกฎหมาย

นายกฯ กล่าวต่อว่า ประการที่สอง ถามว่าถ้าปฏิวัติแล้วคิดว่าจะไม่วุ่นวายหนักขึ้น เพราะมีเงื่อนไขใหม่ของการปฏิวัติหรือ ตนมองไม่เห็นว่า จะมีความพยายามที่จะปฏิวัติรัฐประหารกันไปทำไม เพราะมันจะมีแต่ความวุ่นวาย มีเงื่อนไขความขัดแย้งเพิ่มขึ้น และตนก็นึกไม่ออกว่าใครที่คิดว่าตัวเองจะแบกรับกับผลพวงที่ตามมาได้

ผู้สื่อข่าวถามว่า จากการบริหารงานมา 1 ปี ทำงานร่วมกับกองทัพมา คิดว่าความคิดของกองทัพเป็นอย่างไร นายกฯ กล่าวว่า นโยบายหลายเรื่องได้รับความร่วมมือ และช่วงที่เราผ่านเหตุการณ์เดือนเมษายนมา การปรับเปลี่ยนนโยบายภาคใต้ในหลาย ๆ เรื่อง ได้รับการตอบสนองในทางที่ดี ความคิดบางเรื่องอาจจะยังมองไม่ตรงกันบ้าง ซึ่งเป็นปกติธรรมดา แต่ทุกคนก็ทำหน้าที่ของตัวเอง เมื่อถามว่าเหมือนมีความพยายามเสี้ยม ให้เกิดความแตกแยกในกองทัพ นายกฯ กล่าวว่า มันอยู่ที่ข้อเท็จจริง เวลานี้กระบวนการเสี้ยมมันเสี้ยมหมด ในพรรคก็จะให้แตกแยก ระหว่างพรรคก็จะให้แตกแยก รัฐบาลกับองค์กรนั้นก็จะให้แตกแยกกัน ทั้งนี้ต้องดูที่ข้อเท็จจริง สำหรับในส่วนของรัฐบาลเองเราค่อนข้างหนักแน่นพอสมควร ไม่หวั่นไหว ไปกับกระแสที่จะทำให้เกิดความหวาดระแวง ตนก็ไม่มีความหวาดระแวง

เมื่อถามกรณี พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ออกมาพูดว่าจะมีการยึดทรัพย์บางส่วนของพ.ต.ท.ทักษิณ เป็นการชี้นำศาลหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า เป็นการวิเคราะห์ของท่าน เมื่อถามว่ามองว่าประเทศไทยจะหนีการปฏิวัติได้หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า อยู่ที่คนไทย ถ้าอยากจะหนีก็หนีกันได้ เมื่อถามว่ามั่นใจหรือไม่ว่าจะสามารถบริหารประเทศได้ โดยที่ไม่มีการปฏิวัติเข้ามา นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ถ้ามีการปฏิวัติตน ก็ไม่บริหารอยู่แล้ว ดังนั้นตนมีหน้าที่ในการบริหารประเทศ และประคับประคองระบอบประชาธิปไตย ให้ผ่านสถานการณ์นี้ให้ได้ เมื่อถามว่าที่บอกว่า มีการติดตามกลุ่มการเคลื่อนไหว พอจะบอกได้หรือไม่ว่ากลุ่มไหน นายกฯ กล่าวว่า ขอไม่ลงรายละเอียด เป็นเรื่องที่ทางเจ้าหน้าที่เขาจะติดตาม

เมื่อถามว่าตอนนี้มีความพยายามที่จะสร้างภาพว่าประเทศอยู่ในอนาธิปไตย กฎหมายใช่ไม่ได้ประเทศอ่อนแอ นายกฯ กล่าวว่า เวลานี้กฎหมายก็ใช้อยู่ แต่รัฐบาลใช้กฎหมายภายใต้ขอบเขต เช่นเกิดเหตุขึ้นเราก็ไปขออัยการ ขอศาล ให้ถอนประกัน ให้ออกหมายจับ ถ้าท่านให้เราก็ดำเนินการ ถ้าท่านไม่ให้เราก็เคารพศาล ประเทศที่ปกครองด้วยนิติรัฐก็ต้องเป็นแบบนี้ เมื่อถามว่าเพียงพอต่อการดูแลสถานการณ์หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่าก็ต้องเพียงพอ เราต้องไม่คิดถึงอำนาจนอกระบบที่จะเข้ามาจัดการ ไม่เช่นนั้นสังคมจะไม่สามารถก้าวพ้นได้ เพราะถ้าฝ่ายหนึ่งใช้สิ่งนอกระบบได้ มันก็ไม่มีที่สิ้นสุด ทุกฝ่ายก็จะใช้ นั่นแหล่ะที่จะเป็นตัวทำลายสังคม ดังนั้นรัฐบาลต้องใช้อำนาจภายใต้ขอบเขตของกฎหมาย

เมื่อถามว่า ในช่วงที่เสื้อแดงมีการเคลื่อนไหวอย่างเข้มข้น จะมีการนำกฎหมายความมั่นคงมาใช้หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า เราจะใช้กฎหมายตามความจำเป็น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ที่ผ่านมาก็เป็นบทพิสูจน์ ก่อนหน้านี้บางฝ่ายกล่าวหาว่า เราใช้ทุกครั้งพร่ำเพรื่อจริงๆ ไม่ใช่ เขาก็มีการเคลื่อนไหวกัน ใน 3-4 รอบแล้วในช่วงที่ผ่านมาในพื้นที่กทม. แต่ในการข่าว ถ้าเราพบว่ามันไม่มีอะไร เราก็ไม่ประกาศ จะประกาศก็ต่อเมื่อมันมีความเสี่ยง และมีความจำเป็นที่ต้องใช้อำนาจ

ส่วนเรื่องแก้รัฐธรรมนูญที่มีข่าวว่าจะออกกฎหมายลูกมารองรับมาตรา 190 นั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ขณะนี้ ครม.เพิ่งส่งกฎหมายลูกตามมาตรา 190 ตามรัฐธรรมนูญที่เป็นอยู่ในปัจจุบันเข้ามา ซึ่งเราทำได้เฉพาะเรื่องขั้นตอน วิธีการ ส่วนพรรคการเมืองหลายพรรคที่เสนอเข้าสภาเขาจะเปิดช่องให้ออกกฎหมายว่าด้วยประเภทของหนังสือสัญญา
กำลังโหลดความคิดเห็น