"ดร.ปราโมทย์" เตือนสติคนไทยให้น้อมนำพระราชดำรัส "ในหลวง" ฝ่าวิกฤตบ้านเมือง ชี้ เกมแก้ รธน. ซ้ำเติมสถานการณ์ให้ยิ่งเลวร้าย ชี้ "แม้ว" อนาธิปไตย สร้างเงื่อนไขก่อความรุนแรง ด้าน "ทูตสุรพงษ์" ซัด นักการเมืองชั่วกับพรรคการเมืองเลว รุมทำร้าย ปชต. อ่านเกม "ทักษิณ" กระหายเลือด อยากเห็นรบ.ใช้ความรุนแรง จูงสู่รัฐประหาร ย้ำ ทางรอดเดียว รบ.ต้องเข้มแข็ง-ทหารออกหน้า
คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ "คนในข่าว"
วานนี้ (27 ม.ค.) รายการ “คนในข่าว” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี-ทีวีของประชาชน เวลา 20.30-22.00 น. มี นายเติมศักดิ์ จารุปราณ เป็นผู้ดำเนินรายการ ได้เชิญวิทยากร นายสุรพงษ์ ชัยนาม อดีตเอกอัครราชทูตไทยประจำ 5 ประเทศ และดร.ปราโมทย์ นาครทรรพ นักวิชาการอิสระ มาร่วมพูดคุยถึงสถานการณ์บ้านเมืองที่กำลังอยู่ในช่วงวิกฤต หลังจากที่เจอมรสุมอย่างหนักจากปัญหาทางการเมือง
ดร.ปราโมทย์ กล่าวถึงสถานการณ์บ้านเมืองในปัจจุบัน ว่า สถานการณ์ตอนนี้ตรงกับใจของคนที่อยู่แดนไกล โดยแม้แต่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ยังทรงเป็นห่วงเรื่องนี้ เพราะเกรงว่าบ้านจะล่มจม ไม่รู้จะไปทางไหน ดังนั้น ทุกฝ่ายสมควรจะน้อมนำพระราชดำรัสใส่เกล้าและปฏิบัติตามนั้น โดยปัจจุบันในความรู้สึกตนแล้วเหมือนกับว่าบ้านเมืองไร้ขื่อแป คือ มีแต่คนไม่เคารพกฏหมาย และใช้อำนาจเหนือกฏหมาย
ดร.ปราโมทย์ กล่าวต่อว่า ตนคิดว่าการเคลื่อนไหวเพื่อจะให้ได้ประชาธิปไตย มันไม่จำเป็นต้องใช้วิธีเดินขบวน เพราะบางครั้งสามารถทำได้ด้วยวิธีสันติ แต่เวลานี้มีการนำประเด็นเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ขึ้นมาทำให้ประเทศเสียสมาธิ และเสียเวลา อีกทั้งยังเป็นการรบกวนความรู้สึกของผู้คน โดยเฉพาะบุคคลที่กระทำผิดรัฐธรรมนูญที่ได้กำหนดให้เป็นบุคคลสมควรถูกลงโทษทางการเมือง แต่บุคคลเหล่านี้ได้อาศัยที่เป็นผู้ลงทุนทางการเมืองทำการเคลื่อนไหวอย่างไม่มีหยุดหย่อน
"ผมคิดว่าปัญหาการแก้รัฐธรรมนูญ ไม่น่าทำให้สังคมไทยเสียเวลาในขณะนี้ เพราะสังคมไทยมีปัญหามากพออยู่แล้ว แต่ผมว่าปัญหานี้ถ้าคนไทยเคลื่อนไหวอย่างมีสติปัญญาแล้วระลึกถึงบ้านเมืองเราว่าถ้าหากไม่ดีจริง พูดกันไม่รู้เรื่องจริง หรือไม่สามัคคีจริง ทำไมเราอยู่มาได้ถึง 800-900 ปี ดังนั้น ตอนนี้ยังมีความหวัง เนื่องจากบ้านเมืองมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คือ องค์พระมหากษัตริย์" ดร.ปราโมทย์ กล่าว
นายสุรพงษ์ กล่าวถึงปัญหาบ้านเมือง ว่า ตนคิดว่าปัญหาที่คาราคาซังจนถึงทุกวันนี้ คือ เรื่องเกี่ยวกับการบังคับใช้กฏหมาย ซึ่งตรงนี้เป็นปัญหามาก เพราะกฏหมายไม่เป็นกฏหมาย จะด้วยเหตุผลว่าผู้ที่ทำหน้าที่นี้หรือรัฐบาลที่มีส่วนรู้เห็นว่า ฝ่ายโน้นและฝ่ายนี้กระทำความผิด แต่ไม่อยากเอาผิด เพราะกลัวความขัดแย้ง ซึ่งตนคิดว่าการทำเช่นนั้น เท่ากับเป็นการเชื้อเชิญให้มีความขัดแย้งมากขึ้น นอกจากนี้ ตนยังคิดว่าคนไทยมีความเข้าใจเรื่องหน้าที่ตนเองน้อยมาก แต่ถึงอย่างไร ตนเชื่อว่า คนไทยรู้แท้จริงคนที่ทำร้ายประชาธิปไตย คือ นักการเมืองฉ้อฉลและพรรคการเมืองที่เลวทราม
"คนส่วนใหญ่ยังคงติดอยู่กับดักว่า ผู้ที่มาจากการเลือกตั้ง จะไม่มีวันทำร้ายประชาธิปไตย แต่ประเทศไทย 7-8 ปีที่ผ่านมา ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า พรรคการเมืองและนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง สามารถทำร้ายประชาธิปไตยได้ แต่สิ่งที่แย่กว่านั้น คือ ประชาชนเองก็คิดว่าไม่ต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะบอกว่าไม่ใช่หน้าที่ต้องออกมาเคลื่อนไหว แต่ต้องอย่าลืมว่าหากทำเช่นนั้น ก็เท่ากับว่าประชาชนมีส่วนทำร้ายประชาธิปไตยทางอ้อม" นายสุรพงษ์ กล่าว
นายสุรพงษ์ กล่าวอีกว่า ตนคิดว่าสถานการณ์ปัจจุบัน เงื่อนไขนำไปสู่การปฏิวัติหรือรัฐประหารเหมือนเมื่อครั้งวันที่ 19 กันยายน ปี 2549 เวลานี้ยังไม่มีเงื่อนไขเช่นนั้น แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ โดยตนคิดว่าการรัฐประหารถ้าจะเกิดขึ้น ก็มาจากฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะไม่มีเงื่อนไขใดที่รัฐบาลชุดนี้จะต้องทำรัฐประหารตัวเอง หรือจะต้องทำการรัฐประหารเพื่อก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในที่ดีขึ้น แต่ปัจจัยเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และคำตัดสินคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ จะเป็นตัวแปรเรื่องนี้
"แน่นอนขณะนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ กำลังยั่วยุด้วยการจัดชุมนุมหรือเคลื่อนไหวต่างๆ เพื่อกดดันและสร้างปัญหาให้แก่รัฐบาล แต่ถ้าถึงจุดหนึ่ง ซึ่งอาจจะเป็นช่วงหลังวันพิพากษา หากผลออกมาไม่น่าพอใจ คิดว่าไพ่ไปสุดท้ายที่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะเลือกคือ การรัฐประหาร ซึ่งก็มีความเป็นไปได้ว่า งานนี้จะมีมือปืนรับจ้างคอยช่วยเหลือเต็มที่ เพราะข้างตัว พ.ต.ท.ทักษิณ มีผู้คนหลากหลายกลุ่ม" นายสุรพงษ์ กล่าว
นายสุรพงษ์ กล่าวต่อว่า ตนคิดว่า ถ้าฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องการทำรัฐประหาร อยากให้คิดรอบคอบเสียก่อน เนื่องจากการปราบกบฏหรือปราบจลาจลเป็นอำนาจหรือสิทธิ์ขาดของรัฐบาล ซึ่งถือเป็นความชอบธรรมที่สามารถจัดการได้ โดยต้องทำแบบล้างหมดกระดานเท่านั้น ดังนั้น ตนคิดว่าจะไม่มีการรัฐประหารซ้อนแน่นอน แต่จะเป็นการปราบกบฏแทน ตนคิดว่าเวลานี้ ความเป็นมาที่จะนำไปสู่เหมือนช่วง 19 กันยาฯ มันแตกต่างจากเดิมมาก
นายสุรพงษ์ กล่าวอีกว่า ตนมองว่าแผน พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องการสร้างความวุ่นวาย เพื่อยั่วยุให้รัฐบาลทำการรัฐประหาร โดยถ้าหากมีการเผาบ้านเผาเมืองหรือมีผู้เสียชีวิตเกิดขึ้น ก็สามารถเรียกรัฐประหารได้แล้ว แต่สำหรับตน จะเรียกว่ารัฐประหารไม่ได้ เพราะมันเป็นการปราบจลาจลหรือปราบกบฏชัดๆ
"สมัยคุณทักษิณ จำได้ไหมครับ คุณทักษิณ จะพูดกับทหารตลอด ผมมาจากเลือกตั้ง ทหารต้องเชื่อฟังคนที่มาจากเลือกตั้ง แต่ทหารเหล่านั้นก็น่าตำหนิ เพราะไม่สามารถแยกแยะได้ว่า รัฐบาลมาจากการเลือกตั้งก็จริง แต่รัฐบาลไม่ได้ทำตามกฏหมาย แล้วเมื่อมีการตรวจสอบถ่วงดุล แต่กลไกต่างๆ ถูกทำลาย ดังนั้น ทหารต้องมีความจงรักภักดีต่อประเทศชาติ ไม่ใช่จงรักภักดีต่อรัฐบาล" นายสุรพงษ์ กล่าว
นายสุรพงษ์ กล่าวต่อว่า หากให้วิเคราะห์กันว่าถึงที่สุดแล้ว ถ้าเดิมพันคือความอยู่รอดของบ้านเมืองหรือระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข เวลานั้นกองทัพก็ไม่จำเป็นต้องคิดอะไรอีกแล้ว
ดร.ปราโมทย์ กล่าวถึงประเด็นกลุ่มที่มีความเป็นไปได้ว่าจะออกมาปฏิวัติรัฐประหาร ว่า มีกลุ่มทหารที่จงรักภักดีต่อ พล.อ.เปรม ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ พยายามใช้กลุ่มคนเสื้อแดง จาบจ้วงประธานองคมนตรี จนทหารเหล่านี้ทนไม่ได้ ต้องออกมาปฏิวัติ หรือจะเป็นกลุ่มที่น่าจับตามองอย่างฝ่าย พล.อ.อนุพงษ์ และพล.อ.ประวิตร ที่อาจจะต้องปฏิวัติ เพื่อรับผิดชอบที่ไม่สามารถปกป้องบ้านเมืองได้ อีกกลุ่มคือ ทหารหลากหลายความคิด ที่กลัวจะเกิดสงครามกลางเมืองเลยต้องออกมาระงับเหตุไว้ก่อน โดยกลุ่มนี้เรียกง่ายๆ ว่ามีเป้าหมายเพื่อจัดระเบียบบ้านเมืองใหม่ และหวังทำเพื่อตัวเองด้วย
นายสุรพงษ์ กล่าวถึงทางออกประเทศไทยเวลานี้ว่า ไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ หรือผู้สนับสนุนว่าจะมีศักยภาพหรือมีความเข้มแข็งมากเท่าใด แต่อยู่ที่ฝ่ายรัฐบาลจะละเลยแค่ไหน เพราะตัวที่กำหนดท่าที พ.ต.ท.ทักษิณ ดูจากฝ่ายรัฐบาลว่าจะมีปฏิกิริยาอย่างไร โดย พ.ต.ท.ทักษิณ หากเกมนี้ไม่แพ้ ก็ถือว่าชนะ แต่ทางฝ่ายรัฐบาล ถ้าไม่ชนะเกมนี้ ก็คือแพ้ ดังนั้น รัฐบาลต้องเข้าใจสถานการณ์ที่เป็นอยู่ ซึ่งทางออกที่ดีที่สุด แม้คนไทยไม่ชอบความรุนแรง แต่ถ้ารัฐบาลและกองทัพยังไม่ทำหน้าที่ของตัวเอง สุดท้ายแล้วก็ต้องเกิดความรุนแรงอยู่ดี
ดร.ปราโมทย์ กล่าวประเด็นเดียวกันว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ถือเป็นอนาธิปไตย ที่มาทำลายประชาธิปไตย เพราะเป็นคนที่ไม่เข้าใจความหมาย แต่ต้องการนำไปสู่การตั้งเงื่อนไขที่แลกด้วยสถานการณ์ทวีความรุนแรง ซึ่งปัญหานี้แก้ไขได้ด้วยการที่ประชาชนต้องไม่งอมืองอเท้า และอย่าคิดว่าไม่ใช่เรื่องตัวเองแล้วไม่ออกมาเคลื่อนไหว ดังนั้น เราทุกคนต้องมีส่วนรวมในการแก้ปัญหาดังกล่าว