ที่ปรึกษากฎหมาย กกต.เคาะให้ “อภิชาต” วินิจฉัยเงินบริจาค ปชป.258 ล้านบาทก่อน เสนอที่ประชุม กกต.มีมติอีกรอบ ขณะที่เป็นความผิดตาม กม.เก่าก็สามารถใช้ กม.ใหม่เล่นงานได้
วันนี้ (27 ม.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีที่กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เสียงข้างมากมีมติให้นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต.ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมืองไปมีความเห็นกรณีเงินบริจาคพรรคประชาธิปัตย์ 258 ล้านบาท และนายอภิชาตได้ตั้งคณะทำงานขึ้นมาศึกษานั้น ปรากฎว่าคณะทำงานได้มีการประชุมไปแล้ว 2 ครั้ง แต่ยังไม่สามารถหาข้อสรุป ขณะเดียวกันก็มีประเด็นปัญหากฎหมาย ซึ่งนายอภิชาตก็ได้นำปัญหาดังกล่าวส่งให้คณะที่ปรึกษากฎหมายของ กกต.พิจารณารวม 3 ประเด็น ประกอบด้วย ความผิดที่มีการกล่าวหานั้นเกิดขึ้นตาม พ.ร.บ.พรรคการเมืองปี 2541 แต่ขณะนี้กฎหมายที่ใช้บังคับเป็น พ.ร.บ.พรรคการเมือง 2550 ดังนั้นจะสามารถเอาผิดได้หรือไม่
กรณีดังกล่าว กกต.มีมติตั้งคณะอนุกรรมการสอบสวน ดังนั้นถือเป็นอำนาจที่ กกต.ต้องมติเลยได้หรือไม่ โดยไม่ต้องให้นายทะเบียนมีความเห็น และกรอบการดำเนินการของ กกต.และนายทะเบียนพรรคการเมืองเป็นอย่างไร ซึ่งระหว่างรอการพิจารณาของคณะที่ปรึกษาฯ ทางคณะทำงานก็ไม่ได้มีการนัดประชุมโดยให้กรรมการแต่ละคนไปศึกษาสำนวน
อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่าคณะที่ปรึกษากฎหมายของ กกต.ได้พิจารณาและมีความเห็นในประเด็นข้อกฎหมายดังกล่าวแล้วเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยประเด็นที่มีการถกเถียงมาก เป็นเรื่องกรอบอำนาจของ กกต.กับนายทะเบียนพรรคการเมืองที่มองว่า เมื่อพิจารณา พ.ร.บ.พรรคการเมืองมาตรา 93, 94 และ 95 ระบุชัดให้การเสนอความผิด เรื่องยุบพรรคที่ต้องส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย เป็นหน้าที่ของนายทะเบียนพรรคการเมือง ที่ต้องมีความเห็นก่อนแล้วจึงเสนอ กกต.เห็นชอบ ส่วนที่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.พรรคการเมืองปี 41 แม้ขณะนี้กฎหมายที่ใช้บังคับเป็น พ.ร.บ.พรรคการเมืองปี 50 ก็เห็นว่าสามารถเอาผิดได้ เนื่องจากไม่ได้มีอะไรแตกต่างมากประกอบกับศาลรัฐธรรมนูญก็เคยมีคำวินิจฉัยไว้แล้วคราวยุบพรรคไทยรักไทย
ส่วนที่ที่ประชุม กกต.เป็นผู้ตั้งอนุกรรมการนั้นก็มองว่า การตั้งอนุกรรมการสอบสวนของกกต.ถือเป็นเพียงการอนุญาต ให้มีการตั้งคณะกรรมการหรืออนุกรรมการขึ้นมาสอบให้ได้ข้อเท็จจริงเท่านั้น ทั้งนี้ คณะที่ปรึกษากฎหมาย กกต.จะนำเสนอความเห็นดังกล่าวให้กับนายอภิชาต หลังจากที่เดินทางกลับจากการประชุมนานาชาติที่ประเทศอินเดียระหว่างวันที่ 24-28 ม.ค.นี้ เพื่อส่งให้คณะทำงานที่คาดว่าจะประชุมในวันที่ 29 ม.ค.นี้