ครูสอนร้องเพลง ร.ร.ร่วมฤดีฯ ร้องศาลปกครอง ฟ้องกระทรวง ศธ.-เลขาฯ คณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน-คุรุสภา และผอ.ร.ร.ร่วมฤดีฯ เหตุสั่งพักงานโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
วันนี้ ( 26 ม.ค.) นายโฮเซ ลิโบรโด ครูสอนนักร้องประสานเสียงและศิลปะมัธยมปลาย แผนกการแสดง ร.ร.ร่วมฤดีวิเทศศึกษา พร้อมด้วยนายนิติธร ล้ำเหลือ ทนายความผู้รับมอบอำนาจ ได้ยื่นฟ้องกระทรวงศึกษาธิการ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน คุรุสภา และบาทหลวงภัทรพงษ์ ศรีวรกุล ผู้อำนวยการ ร.ร.ร่วมฤดีฯ ต่อศาลปกครองกลาง เพื่อขอให้มีคำสั่งไต่สวนฉุกเฉิน และกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราว รวมทั้งให้มีคำสั่งให้ผู้อำนวยการ ร.ร.ร่วมฤดีฯ ระงับผลของคำสั่งพักงานนายโฮเซไว้เป็นการชั่วคราว
ทั้งนี้ คำฟ้องระบุว่า เมื่อวันที่ 17 พ.ย. 52 ผอ.ร.ร.ร่วมฤดีฯ ได้เรียกนายโฮเซเข้าประชุมและแจ้งเป็นหนังสือ โดยหนังสือดังกล่าวระบุว่า ตนมีปัญหา 4 ประการ ซึ่งเป็นความผิดเกี่ยวกับความประพฤติ ก่อนที่จะมีคำสั่งให้เลิกจ้าง จากนั้นทางที่ปรึกษาอาวุโสของโรงเรียน ได้มีความเห็นให้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง เกี่ยวกับการเลิกจ้างตนเอง โดยระหว่างการสอบสวนผอ.รร.ร่วมฤดี ได้มีคำสั่งให้พักงาน เพื่อรอผลการสอบสวนเป็นเวลา 15 วัน ตั้งแต่วันที่ 11-25 ม.ค.53 แต่ตนเห็นว่าคณะกรรมการดังกล่าว ไม่มีบุคคลใดร่วมเป็นคณะกรรมการ และไม่มีกำหนดวันสอบสวนที่ชัดเจนแน่นอน จึงน่าจะเป็นการกลั่นแกล้งและไม่ได้รับความเป็นธรรม จึงเข้ายื่นเรื่องร้องเรียนขอความเป็นธรรมต่อกระทรวงศึกษาธิการ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน คุรุสภา เพื่อให้ตรวจสอบการกระทำของ ผอ.ร.ร.ร่วมฤดีฯ ที่มีคำสั่งพักงาน และยังมีคำสั่งห้ามไม่ให้ตนเข้ามาในบริเวณโรงเรียน เว้นแต่ได้รับการอนุญาตเท่านั้น แต่ก็ไม่มีความคืบหน้า จึงเกิดผลที่ตามมาทำให้นักเรียนได้รับความเดือดร้อนจากการเปลี่ยนแปลงครูผู้สอน และนักเรียนที่ลงทะเบียนเรียนกับผู้ฟ้องคดีต้องมาเรียนพิเศษที่บ้าน เนื่องจากวิชาศิลปะและการดนตรี ไม่สามารถนำไปเปรียบเทียบกับวิชาคณิตศาสตร์หรือภาษา เพราะเป็นวิชาที่ไม่มีกฎเกณฑ์กำหนดเฉพาะ แต่ต้องใช้อารมณ์และความรู้สึก ความสามารถพิเศษ รวมทั้งจิตวิญญาณในการสอนเป็นสำคัญ อีกทั้งนักเรียนก็ไม่ทราบว่า ข้อสอบที่จะนำมาทดสอบเป็นแบบใด จึงเกิดความสับสนในการเรียน ทำให้มีผลต่อคะแนนและผลการศึกษาต่อของนักเรียนอีกด้วย
จากกรณีดังกล่าวจึงขอให้ศาลปกครองกลางมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งพักงาน รวมทั้งให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องทั้งหมดปฏิบัติตามกฎหมาย โดยดำเนินการชี้แจงและตรวจสอบข้อเท็จจริง พร้อมทั้งเอาผิดกับ ผอ.ร.ร.ร่วมฤดีฯ ซึ่งอยู่ในกำกับดูแลของกระทรวงศึกษาธิการ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน คุรุสภา ในการออกคำสั่งพักงานและการสอบสวน เป็นการออกคำสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและไม่ถูกต้องตามรูปแบบขั้นตอน หรือวิธีการอันเป็นสาระสำคัญที่กำหนดไว้สำหรับการกระทำนั้น แห่ง พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539 รวมถึง พ.ร.บ.โรงเรียนเอกชน พ.ศ.2550 พ.ร.บ.สภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.2546 ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการสั่งลงโทษครูใหญ่หรือครูโรงเรียนเอกชน พ.ศ.2526 ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยคุ้มครองการทำงานของครูใหญ่และครูโรงเรียนเอกชน พ.ศ.2542 ทั้งยังกระทำการขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ 50
วันนี้ ( 26 ม.ค.) นายโฮเซ ลิโบรโด ครูสอนนักร้องประสานเสียงและศิลปะมัธยมปลาย แผนกการแสดง ร.ร.ร่วมฤดีวิเทศศึกษา พร้อมด้วยนายนิติธร ล้ำเหลือ ทนายความผู้รับมอบอำนาจ ได้ยื่นฟ้องกระทรวงศึกษาธิการ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน คุรุสภา และบาทหลวงภัทรพงษ์ ศรีวรกุล ผู้อำนวยการ ร.ร.ร่วมฤดีฯ ต่อศาลปกครองกลาง เพื่อขอให้มีคำสั่งไต่สวนฉุกเฉิน และกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราว รวมทั้งให้มีคำสั่งให้ผู้อำนวยการ ร.ร.ร่วมฤดีฯ ระงับผลของคำสั่งพักงานนายโฮเซไว้เป็นการชั่วคราว
ทั้งนี้ คำฟ้องระบุว่า เมื่อวันที่ 17 พ.ย. 52 ผอ.ร.ร.ร่วมฤดีฯ ได้เรียกนายโฮเซเข้าประชุมและแจ้งเป็นหนังสือ โดยหนังสือดังกล่าวระบุว่า ตนมีปัญหา 4 ประการ ซึ่งเป็นความผิดเกี่ยวกับความประพฤติ ก่อนที่จะมีคำสั่งให้เลิกจ้าง จากนั้นทางที่ปรึกษาอาวุโสของโรงเรียน ได้มีความเห็นให้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง เกี่ยวกับการเลิกจ้างตนเอง โดยระหว่างการสอบสวนผอ.รร.ร่วมฤดี ได้มีคำสั่งให้พักงาน เพื่อรอผลการสอบสวนเป็นเวลา 15 วัน ตั้งแต่วันที่ 11-25 ม.ค.53 แต่ตนเห็นว่าคณะกรรมการดังกล่าว ไม่มีบุคคลใดร่วมเป็นคณะกรรมการ และไม่มีกำหนดวันสอบสวนที่ชัดเจนแน่นอน จึงน่าจะเป็นการกลั่นแกล้งและไม่ได้รับความเป็นธรรม จึงเข้ายื่นเรื่องร้องเรียนขอความเป็นธรรมต่อกระทรวงศึกษาธิการ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน คุรุสภา เพื่อให้ตรวจสอบการกระทำของ ผอ.ร.ร.ร่วมฤดีฯ ที่มีคำสั่งพักงาน และยังมีคำสั่งห้ามไม่ให้ตนเข้ามาในบริเวณโรงเรียน เว้นแต่ได้รับการอนุญาตเท่านั้น แต่ก็ไม่มีความคืบหน้า จึงเกิดผลที่ตามมาทำให้นักเรียนได้รับความเดือดร้อนจากการเปลี่ยนแปลงครูผู้สอน และนักเรียนที่ลงทะเบียนเรียนกับผู้ฟ้องคดีต้องมาเรียนพิเศษที่บ้าน เนื่องจากวิชาศิลปะและการดนตรี ไม่สามารถนำไปเปรียบเทียบกับวิชาคณิตศาสตร์หรือภาษา เพราะเป็นวิชาที่ไม่มีกฎเกณฑ์กำหนดเฉพาะ แต่ต้องใช้อารมณ์และความรู้สึก ความสามารถพิเศษ รวมทั้งจิตวิญญาณในการสอนเป็นสำคัญ อีกทั้งนักเรียนก็ไม่ทราบว่า ข้อสอบที่จะนำมาทดสอบเป็นแบบใด จึงเกิดความสับสนในการเรียน ทำให้มีผลต่อคะแนนและผลการศึกษาต่อของนักเรียนอีกด้วย
จากกรณีดังกล่าวจึงขอให้ศาลปกครองกลางมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งพักงาน รวมทั้งให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องทั้งหมดปฏิบัติตามกฎหมาย โดยดำเนินการชี้แจงและตรวจสอบข้อเท็จจริง พร้อมทั้งเอาผิดกับ ผอ.ร.ร.ร่วมฤดีฯ ซึ่งอยู่ในกำกับดูแลของกระทรวงศึกษาธิการ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน คุรุสภา ในการออกคำสั่งพักงานและการสอบสวน เป็นการออกคำสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและไม่ถูกต้องตามรูปแบบขั้นตอน หรือวิธีการอันเป็นสาระสำคัญที่กำหนดไว้สำหรับการกระทำนั้น แห่ง พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539 รวมถึง พ.ร.บ.โรงเรียนเอกชน พ.ศ.2550 พ.ร.บ.สภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.2546 ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการสั่งลงโทษครูใหญ่หรือครูโรงเรียนเอกชน พ.ศ.2526 ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยคุ้มครองการทำงานของครูใหญ่และครูโรงเรียนเอกชน พ.ศ.2542 ทั้งยังกระทำการขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ 50
