ส.ว.จอมแฉ ยังคุ้ยไม่เลิก ยื่น กกต.สอบ “กษิต” ใช้อำนาจแทรกแซงศาลเหตุ เสนอความเห็นในเอกสารลับต่อนายกรัฐมนตรี ให้ศาลเร่งพิจารณคดี “ทักษิณ”
วันนี้ (25 ม.ค.) นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา กล่าวว่า ได้ยื่นเรื่องให้กับประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง เพื่อให้ตรวจสอบพฤติกรรม นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ว่ามีการกระทำอันต้องห้ามตาม 268 และ มาตรา 266 (1) ว่าด้วยการห้ามมิให้ ส.ส.และ ส.ว.ใช้สถานะหรือตำแหน่งการเป็นก้าวก่ายหรือแทรกแซงเพื่อประโยชน์ของตนเอง ของผู้อื่น หรือของพรรคการเมือง ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม
กรณีที่ นายกษิตได้ทำหนังสือเสนอแนวทางในการทำงานในหน้าที่ราชการไปยังผู้บังคับบัญชาคือนายกรัฐมนตรี โดยมีเนื้อหาสาระบางส่วนที่มีลักษณะเป็นการกระทำที่เข้าข่ายก้าวก่ายหรือแทรกแซงการพิจารณาคดีต่างๆ โดยในข่าวได้อ้างถึงหนังสือ หนังสือที่ กต 1303/2555 วันที่ 16 พ.ย.2552 และ หนังสือที่ กต 1302/2318 ลงวันที่ 10 พ.ย.2552 เรื่อง เรื่อง แนวทางการดำเนินการกับปัญหาความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนข้อที่ 2ว่าด้วยเรื่องแนวทางการดำเนินการ ในข้อ 2.4 ตอนหนึ่งที่ระบุว่า ให้มีเร่งการพิจารณาคดีต่างๆ ของ พ.ต.ท.ทักษิณที่ยังคั่งค้างอยู่ ซึ่งส่วนตัวคิดว่าเป็นเรื่องที่ไม่สามารถทำได้ เพราะการพิ จารณาคดีต่างๆ เป็นเรื่องอำนาจตุลาการ
“ผมเห็นว่าการมีหนังสือราชการของรมว.ต่างประเทศไปยังนายกรัฐมนตรีโดยเสนอให้มีการเร่งการพิจารณาคดีต่างๆ ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ยังคั่งค้างอยู่ นั้น การกระทำดังกล่าวของรมว.ต่างประเทศในฐานะผู้เสนอนั้น อาจจะมีลักษณะเข้าไปก้าวก่ายการทำหน้าที่ของศาลที่ถือเป็นข้าราชการฝ่ายตุลาการ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม ซึ่งต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 266 จึงอยากให้กกต.ตรวจสอบว่า ผลของการทำหนังสือดังกล่าวนั้นจะทำให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายกษิตสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 182 (7) หรือไม่อย่างไร” นายเรืองไกรกล่าว
ทั้งนี้ เนื่องจากการพิจารณาคดีนั้น รัฐธรรมนูญฯ มาตรา 197 วรรคหนึ่ง บัญญัตว่า “การพิจารณาพิพากษาอรรถคดีเป็นอำนาจของศาล ซึ่งต้องดำเนินการให้เป็นไปโดยยุติธรรม ตามรัฐธรรมนูญ ตามกฎหมาย และในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์” ดังนั้น การพิจารณาคดี กับการพิพากษาคดี จึงเป็นอำนาจหน้าที่ของศาลมิใช่อำนาจหน้าที่ของรัฐบาลที่จะเข้าไปก้าวก่ายหรือแทรกแซงได้
ทั้งนี้ รายละเอียดของข้อ 2.4 เรื่องแนวทางดำเนินการระบุว่า “ลดและแยกการเชื่อมโยงระหว่าง พ.ต.ท.ทักษิณ กับนายกรัฐมนตรีกัมพูชาและฝ่ายค้านในประเทศไทย ด้วยการลดและขจัดเงื่อนไขที่เอื้อประโยชน์ต่อการดำเนินการของฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล โดยรัฐบาลควรแสดงท่าทีและความเห็นต่างๆ อย่างมีเอกภาพและเป็นระบบการตอบโต้รัฐบาลกัมพูชาอย่างสุขุม มีสติ ไม่วู่วาม และกระทบประชาชนน้อยที่สุด จะมีส่วนสำคัญในการ “ครองความนิยม” ฝ่ายสนับสนุนรัฐบาลที่สำคัญควรเร่งแปรความรู้สึก “สะใจ” หรือสนับสนุนรัฐบาลเป็น “ความเข้าใจ” โดยอาศัยการประชาสัมพันธ์ และบริหารจัดการ “เวลา” ให้เป็นประโยชน์ต่อรัฐบาลไทยที่สุด โดยการเร่งการพิจารณาคดีต่างๆ ของ พ.ต.ท.ทักษิณที่ยังคั่งค้างอยู่”