xs
xsm
sm
md
lg

"พิภพ" ซัด "นช.แม้ว" หากินกับ รธน. ยั่วยุรัฐประหาร หวังหวนคืนสู่อำนาจ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


"พิภพ" ย้ำเจตนารมย์พันธมิตรฯ ค้านแก้ รธน.ทุกมาตรา หลัง "นช.แม้ว" ใช้เป็นข้ออ้างหาผลประโยชน์การเมือง โดยกระสันอยากแก้ รธน. เพื่อล้มล้างผิด-บั่นทอนอำนาจเบื้องสูง ซัด ยกปฏิวัติฝรั่งเศสปลุกระดม ระวังสร้างผลกระทบวงกว้างฝังลึกในสังคมไทย ด้านนักวิชาการ ชี้ "นช.แม้ว" ใช้รธน.เป็นข้ออ้างยั่วยุให้เกิดความรุนแรง เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของประเทศ เชื่อ ไม่ว่าคดียึดทรัพย์ออกหัวหรือก้อย "นช.แม้ว" เดินเกมแรงสถานเดียว



  คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ "คนในข่าว" 

รายการ “คนในข่าว” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี-ทีวีของประชาชน เวลา 20.30-22.00 น. ในวันอังคารที่ 5 ม.ค. มี นายเติมศักดิ์ จารุปราณ เป็นผู้ดำเนินรายการ ซึ่งวันนี้ได้มีการเชิญ นายพิภพ ธงไชย แกนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และอ.คมสันต์ โพธิ์คง จากคณะนิติศาสตร์ ม.สุโขทัยธรรมาธิราช ในฐานะอดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ ปี 2550 มาร่วมพูดคุยถึงประเด็นสถานการณ์การเมืองไทย หลังเกิดปรากฏการณ์การกดดันของพรรคร่วมรัฐบาล ที่พยายามจะดันทุรังเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งเรื่องนี้ พันธมิตรฯ ได้ออกแถลงการณ์แสดงจุดยืนว่า คัดค้านการแก้ไขในทุกมาตรา

นายพิภพ กล่าวประเด็นจุดยืนพันธมิตรฯ ว่า เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ พันธมิตรฯ ไม่ได้พิจารณาว่าเป็นเกมต่อรองทางการเมืองหรือไม่ แต่เป็นการยึดถือจุดยืนเดิม คือ การคัดค้านอย่างเด็ดขาด ไม่ให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะในมาตราที่จะเปลี่ยนแปลงพระราชอำนาจหรือมาตราที่เกี่ยวข้องกับสถาบันเบื้องสูง ซึ่งส่วนตัวตนเห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและบรรดาลูกสมุน ใช้รัฐธรรมนูญเป็นเครื่องต่อรองผลประโยชน์ทางการเมือง ที่มีผลต่อการตัดสินคดีความต่างๆที่เป็นปัญหาอยู่ โดยตอนนี้ นอกจากพรรคเพื่อไทย ได้มีพรรคการเมืองบางพรรคเห็นพ้องจะร่วมเดินหน้าให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญด้วย เนื่องจากติดบ่วงทางการเมืองอยู่เช่นกัน

นายพิภพ กล่าวต่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ยังเชื่อว่าเวลานี้ ตัวเองยังกลับเข้าสู่อำนาจได้ โดยที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้ย้อนกลับไปดูว่า ที่ผ่านมาไม่ว่าจะครั้งสมัยที่อยู่ในอำนาจหรือสมัยที่มีหลายรัฐบาลเป็นนอมินี แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่เคยสนใจไต่ตรองว่า การก้าวเข้ามาสู่อำนาจ ได้มาด้วยความถูกต้องหรือความยุติธรรมหรือไม่ เพราะกระบวนการที่ได้มาซึ่งอำนาจ พ.ต.ท.ทักษิณ ล้วนแล้วแต่มีที่มาในด้านลบ ดังนั้น การเอารัฐธรรมนูญ ปี 2550 ไปผนวกร่วมกับเหตุการณ์ 19 กันยายน 2549 กลุ่มคนเสื้อแดงและพ.ต.ท.ทักษิณ ต้องการนำประเด็นนี้ขึ้นมาชูเพื่อใช้ในการต่อสู้ แต่ทั้งหมดก้เป็นเพียงข้ออ้างในการเคลื่อนไหวเท่านั้น

นายพิภพ กล่าวอีกว่า ตนคิดว่ารัฐธรรมนูญ ปี 2550 ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ หยิบมาเป็นเล่นเป็นประเด็น หากจะพูดกันด้วยข้อเท็จจริง ต้องบอกว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่เคยสนใจรัฐธรรมนูญ ปี 2550 รวมทั้งไม่เคยเหลียวแลประชาธิปไตย เพราะสมัยก่อน พ.ต.ท.ทักษิณ เคยฉีกรัฐธรรมนูญทิ้งกับมือ ดังนั้น ถ้าจะมาดูกันจริงบอกได้เลยว่า รัฐธรรมนูญ ปี 2550 ปิดกั้นการแทรกแซงของผู้มีอำนาจทางการเมือง ทำให้ทุกวันนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่สามารถทำอะไรได้เต็มที่ ทั้งนี้ เวลานี้มีการพูดกันถึงเรื่องรัฐประหาร ซึ่งทางฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ ก็อยากให้เกิดเช่นนั้น เพราะจะนำพาไปสู่การล้มล้างคดีความต่างๆ และยุติบทบาทรัฐธรรมนูญ ปี 2550 ซึ่งถ้าดูเกมตอนนี้ การนำรัฐธรรมนูญ ปี 2540 มาข่มรัฐธรรมนูญ ปี 2550 มันกลายเป็นเรื่องประเด็นทับซ้อน เนื่องจากมีแนวโน้มว่าจะมีการแก้กฏหมายบางฉบับ โดยเป้าหมายของ พ.ต.ท.ทักษิณ คือ ต้องการยั่วยุให้รัฐบาลยุบสภา หรือจ้องให้เกิดความรุนแรงในสังคมไทย เพื่อเดินหน้าเข้าสู่เหตุการณ์รัฐประหาร

นายพิภพ กล่าวว่า ตนรู้สึกว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ให้น้ำหนักกับเรื่องการยั่วยุให้เกิดการรัฐประหารเป็นหลัก เพราะสมุนที่อยู่ใกล้ พ.ต.ท.ทักษิณ เชื่อว่าการยั่วยุให้เกิดปฏิวัติแบบในฝรั่งเศส สามารถเกิดขึ้นได้จริงในประเทศไทย ซึ่งเกมนี้ หาก พ.ต.ท.ทักษิณ อยากให้เกิดความเปลี่ยนแปลงแบบพลิกฟ้าพลิกดิน ตนคิดว่าเป็นวิธีคิดที่ผิด เนื่องจากจะเอาปฏิวัติในต่างประเทศที่เกิดขึ้นในสมัยอดีต มาเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ปัจจุบัน มันถือว่าเป็นคนละเรื่องกัน โดยตนอยากจะขอเตือนว่า ถ้าจะเดินทางเข้าสู่การปฏิวัติเหมือนฝรั่งเศส จะเกิดผลกระทบต่อสังคมย้อนหลัง สิ่งที่เหล่านี้อาจจะกินเวลาฟื้นฟูหลายปี ฉะนั้น หากคิดจะทำอะไร ก็ขอให้คิดให้ดีเสียก่อน

อ.คมสันต์ กล่าวประเด็นนี้การแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า รัฐธรรมนูญถือเป็นเป้าสำคัญที่ทุกฝ่ายพยายามจะแก้ไข เพราะที่ผ่านมา เนื่องจากรัฐธรรมนูญ ทำให้หลายพรรคการเมือง รวมถึงนักการเมืองหลายคนต้องถูกยุบและสูญเสียอำนาจ ดังนั้น จึงเป็นเรื่องปกติ ที่ทุกฝ่ายอยากจะจ้องแก้ไข แต่ทั้งนี้ ประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตนคิดว่าเป็นเป้าลวงมากกว่า ไม่ใช่เป้าหมายหลัก เพราะตนคิดว่า บางฝ่ายต้องการมากกว่านั้น คือ อยากมีอำนาจเบ็ดเสร็จอยู่ฝ่ายเดียว โดยอาศัยรัฐธรรมนูญมาเป็นตัวสร้างกระแส เพราะรู้ว่าหากชูประเด็นแก้ไขรัฐธรรมนูญ จะมีฝ่ายที่รับไม่ได้ ดังนั้น จึงเกิดกระบวนการยั่วยุให้เกิดความรุนแรง ซึ่งตนคิดว่า งานนี้ต้องชี้ขาดกันด้วยคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่าจะออกมาเป็นเช่นไร แต่เชื่อว่าไม่ว่าผลการตัดสินจะออกมาเป็นหัวหรือก้อย ก็สามารถชักพาให้เหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นมาได้ทั้งนั้น แต่ประเด็นสำคัญ คือ ทุกอย่างหนีไม่พ้นการใช้ความรุนแรงแน่นอน เพราะสิ่งที่ฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องการมาตลอดให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในประเทศไทย

นายพิภพ กล่าวว่า ตนขอพูดเรื่องพันธมิตรฯ คัดค้านแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะไม่แน่ใจว่าหากเข้าไปในสภาจะมีการสอดไส้บางประเด็นเพื่อเดินหน้าแก้กฏหมาย โดยประเด็นที่น่ากลัวที่สุด คือ การแก้ไข มาตรา 390 เพื่อลบล้างคดีความผิดทั้งหมด ส่วนการแก้ไข 190 ตนคิดว่าไม่ใช่ประเด็นหลัก ดังนั้น ดูแล้วแนวโน้ม ขณะนี้มีพรรคการเมืองกำลังจะเล็งแก้ไขเรื่องระบบการเลือกตั้ง ซึ่งเรื่องนี้ตนไม่อยากลงลึกในรายละเอียด แต่อยากให้ดูหลักการในการแก้ไขว่าสมควรหรือไม่ เพราะอย่าลืมว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญเวลานี้ มันอาจจะควบคุมไม่ได้ เพราะบ้านเมืองกำลังมีปัญหา

อ.คมสันต์ กล่าวว่า นักการเมืองอ้างว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ ทำเพื่อส่วนรวม แต่ตนกลับมองประเด็นนี้ว่า เป็นข้ออ้างดังกล่าวที่นักการเมืองหยิบยกขึ้นมา แต่จริงๆแล้ว ไม่ได้ทำเพื่อส่วนรวม เพราะถ้าหากนักการเมืองแก้รัฐธรรมนูญไป แต่ไม่ได้คิดถึงประชาชน ทุกอย่างก็ไม่ได้ช่วยให้ปัญหาดีขึ้น

"ถ้าพรรคประชาธิปัตย์เอาเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญไปต่อรองผลประโยชน์กับพรรคร่วม ผมขอทำนายได้เลยว่า อนาคตทางการเมืองจะเป็นเช่นไร ก็อย่าไปพูดถึงว่าจะอยู่ครบวาระ 4 ปีหรือไม่ แต่เอาเป็นว่า งานนี้หากเป็นเช่นพรรคประชาธิปัตย์สูญพันธุ์จากการเมืองไทยแน่" อ.คมสันต์ กล่าว

นายพิภพ กล่าวถึงประเด็นที่มีผู้ใหญ่ในบ้านเมืองเรียกร้องให้ทุกฝ่ายสลายสีเสื้อ เพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้ ว่า หากจะพูดเช่นนี้คงไม่ได้ เพราะต้องดูเหตุผลด้วยว่า เกิดจากสาเหตุใด โดยเวลานี้บ้านเมืองเกิดการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากมีกลุ่มคนคิดล้มล้างสถาบัน ดังนั้น ต้องพูดทุกอย่างแบบดูเงื่อนไข ว่าความแตกแยกสังคมไทยเวลานี้ เกิดขึ้นมาได้อย่างไร โดยการแก้ไขด้วยสันติวิธีจะเกิดขึ้นไม่ได้ หากความยุติธรรมในบ้านเมืองยังไม่มี ซึ่งก็เป็นหน้าที่ของรัฐบาลชุดนี้ ในการทำทุกอย่างให้เกิดความถูกต้อง รวมทั้งต้องขจัดความรุนแรงออกไป

"คนที่บอกว่าปีนี้ เป็นปีสลายสีต่างๆ ต้องมาดูที่เงื่อนไข อย่างสีแดง ที่ตั้งเงื่อนไขว่าแม้วไม่ได้รับความเป็นธรรม และโดนกลั่นแกล้งเรื่องคดีความต่างๆ ซึ่งเรื่องนี้ หากความรุนแรงถูกใช้ไปในทางไม่ถูกต้อง สุดท้ายแล้วผลของการกระทำก็จะไม่มีความหมาย เพราะไม่ชอบธรรมมาตั้งแต่แรก" นายพิภพ กล่าว

อ.คมสันต์ กล่าวประเด็นนี้ว่า ตอนนี้กระแสข่าวเยอะ โดยมีหลายฝ่ายวิเคราะห์กันเรื่องนี้ ทำให้ผู้ใหญ่หลายฝ่ายอยากเตือนสติให้มีการสลายสี โดยตนติดว่า เงื่อนไขเรื่องนี้มันไม่ได้ เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีจากการเล่นการเมืองมากเกินไป โดยใช้เกมการเมืองให้เป็นไปตามใจที่ตนเองต้องการ ทั้งนี้ การบอกให้ทุกฝ่ายยุติทุกอย่างคงไม่ได้ ตราบใดที่ฝ่ายละเมิดกฏหมายยังคงไม่เคารพกระบวนการยุติธรรม ซึ่งเรื่องนี้ต้องยอมรับว่า ผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบกฏหมายเอง บางครั้งก็ไม่ทำหน้าที่เต็มที่ อย่างไรก็ตาม การแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ ต้องมองให้ไกลว่าปัญหาที่เกิดขึ้น ผลกระทบใดจะตามมา เรื่องนี้มีเงื่อนไขอย่างไร จะนำพาไปสู่ความไม่เป็นธรรมในอนาคตหรือไม่ เพราะเรื่องนี้ได้สร้างความเสียหายระยะยาว เนื่องจากมีคนไม่เคารพกฏหมาย แต่ทั้งนี้ ก็ต้องยอมรับว่าวิชาชีพกฏหมาย ที่ตีความผิดเพี้ยนก็สร้างปัญหาใหญ่หลวงให้แก่ประเทศไทย


กำลังโหลดความคิดเห็น