ครม.อนุมัติเงินจัดซื้ออาวุธควบคุมฝูงชนกว่า 200 ล้านบาท ตามข้อเสนอ กอ.รมน. เห็นชอบ พ.ร.ก.นำราคาปานกลางของที่ดินประเมินภาษีบำรุงท้องที่ ไฟเขียวงบ 1.3 หมื่นล้านไทยเข้มแข็ง ลงทุนประปาภูมิภาค 59 โครงการตามแผนแม่บท 3 ปี ตีกลับภาษีรถไฮบริด หลัง “มาร์ค” ขอรับทราบเป็นแพกเกจ
วันนี้ (5 ม.ค.) นายศุภชัย ใจสมุทร รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2553 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดหาชุดป้องกันตนเอง จำนวน 70,893,750 บาท โดยแบ่งเป็น โล่ใส จำนวน 3,750 อัน เป็นเงิน 16,537,500 บาท กระบอง จำนวน 3,750 อัน 3,375,000 บาท หมวกป้องกัน จำนวน 3,750 อัน เป็นเงิน 13,950,000 บาท และชุดป้องกันจำนวน 3,750 อัน เป็นเงิน 37,031,250 บาท
นายศุภชัยกล่าวต่อว่า ครม.ยังอนุมัติ งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ2553 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดหายุทโธปกรณ์ควบคุมฝูงชนเพิ่มเติม เพื่อให้เพียงพอต่อกำลังปฏิบัติการอีกจำนวน 40 กองร้อย จำนวน 177,877,500 บาท ตามที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.)เสนอ
นายศุภชัยแถลงอีกว่า ครม.อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาให้นำราคาปานกลางของที่ดินที่ใช้อยู่ในการประเมินภาษีบำรุงท้องที่ประจำปี พ.ศ.2521 ถึง พ.ศ.2524 มาใช้ในการประเมินภาษีบำรุงท้องที่สำหรับ พ.ศ.2553 พ.ศ...... ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยพระราชกฤษฎีกานี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.53 เป็นต้นไป และให้นำราคาปากลางของที่ดินที่ใช้อยู่ในการประเมินภาษีบำรุงท้องที่ประจำปี พ.ศ.2521 ถึง พ.ศ.2524 ซึ่งใช้ประเมินภาษีบำรุงท้องที่ปี พ.ศ.2552 มาใช้ในการประเมินภาษีบำรุงท้องที่สำหรับปี 2553
อีกทั้งครม.เห็นชอบกรอบลงทุนโครงการเพื่อพัฒนาประจำปี 2553-2555 (แผนแม่บทการให้บริการน้ำประปา) ของการประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) จำนวน 59 โครงการ วงเงิน 13.705.037 ล้านบาท ตามที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ที่กำกับกระทรวงมหาดไทย และนายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รมช.มหาดไทย ที่กำกับดูแลการประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) เสนอ โดยนายวิเศษ ชำนาญกุล ผู้ว่าการ กปภ.เข้าชี้แจง โดยเป็นโครงการเพื่อช่วยสร้างขีดความสามารถในการให้บริการเพื่อรองรับความต้องการน้ำอุปโภคบริโภคของประชาชนในส่วนภูมิภาค และสอดคล้องกับนฌยบายยกระดับคุณภาพชีวิต
ทั้งนี้ยังเห็นชอบการดำเนินโครงการประจำปี 2553 จำนวน 12 โครงการวงเงินลงทุน 4,238.009 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการที่ใช้เงินตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 จำนวน 3 โครงการได้แก่ โครงการขยายประปาปราณบุรี-หัวหิน ประปาเลย และประปาแม่สาย วงเงินลงทุนรวม 992.695 ล้านบาท และโครงการที่ใช้เงินกู้พันธบัตรโดยมีกระทรวงการคลัง ค้ำประกันเงินกู้ของ กปภ.จำนวน 9 โครงการ เช่น ประปาขอนแก่น (ระระยะ 3) ประปาฉะเชิงเทรา (น.เทพราช) ประปาอุดรธานี (ระยะที่ 2) ประปาโชคชัย(นครราชสีมา) ประปาร้อยเอ็ด ประปาบุรีรัมย์ ประปาปากท่อ ประปาปราจีนบุรี และประปาอรัญประเทศ วงเงินลงทุน 3,245.314 ล้านบาท
แหล่งข่าวจากที่ประชุม ครม.ชี้แจงว่า ยังไม่รวมโครงการประปาเกาะสมุยที่ครม.เห็นชอบให้ใช้งบไทยเข้มแข็ง ไปเมื่องวันที่ 9 ก.ย.52 ที่ผ่านมา วงเงินลงทุน 73.2713 ล้านบาท และโครงการขยายประปาเชียงใหม่-แม่ริม-สันกำแพง วงเงินลงทุน 2,027.590 ล้านบาท เป็นโครงการขนาดใหญ่ของ กปภ.ให้เสนอแยกจากโครงการปี 2554 รวมทั้งให้จัดทำรายงานการศึกษาโครงการให้มีรายละเอียดสมบูรณ์ ชัดเจน แล้วนำเสนอตามขั้นตอนต่อไป ขณะที่ประปามหาสารคามให้ชะลอการลงทุนในวงเงิน 132.732 ล้านบาท
นายวัชระ กรรณิการ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุม ครม.วันนี้ยังไม่มีการพิจารณาเรื่องมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการผลิต และการใช้รถยนต์นั่งประหยัดพลังงานประเภทพลังงานผสมชนิดพลังงานเชื้อเพลิงและไฟฟ้า (ไฮบริด) หลังจากที่ นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รมว.พลังงาน เสนอว่าควรจะมีการพิจารณารถยนต์ประเภทอื่นไปพร้อมกัน ซึ่งนายกรัฐมนตรี แสดงความเห็นด้วย จึงมอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรม, กระทรวงพลังงาน และกระทรวงการคลัง กลับไปทบทวนภายในเวลา 1 เดือน ก่อนนำกลับมาเสนอต่อที่ประชุม ครม.ใหม่อีกครั้ง
“วันนี้ได้มีการเสนอให้นำกลับไปพิจารณาทั้งแพกเกจ ให้เกิดความเป็นธรรมและไม่เกิดการลั่กลั่น ซึ่งกรอบทั้งหมดจะเสนอกลับมาอีกครั้งภายใน 1 เดือน” นายวัชระระบุ
รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับรถยนต์ประเภทอื่นที่ รมว.พลังงาน เสนอให้พิจารณาพร้อมกันเป็นแพกเกจ คือ รถยนต์ประหยัดพลังงาน หรืออีโคคาร์ และรถยนต์ที่ใช้น้ำมัน E85