จะเกิดแรงกระเพื่อมทางการเมืองตามมาแน่นอน กับผลเลือกตั้งซ่อม ส.ส.มหาสารคาม วันอาทิตย์ที่ 3 มกราคม 2553
ที่เป็นการแข่งขันกันระหว่าง “หัวเขียง” ประยุทธ์ ศิริพานิช อดีต ส.ส.มหาสารคาม 7 สมัย –อดีตรัฐมนตรี 5 ครั้ง ที่ครั้งนี้ได้ลงสู้ศึกทวงคืนพื้นที่ของตัวเอง หลังจากห่างหายไปจากสภาหินอ่อนหลายปีเพราะสอบตกซ้ำซาก
กับคู่ต่อกรคือนางคมคาย อุดรพิมพ์ อดีต ส.ว.มหาสารคามปี 49 แต่ไม่ได้รับการรับรองเพราะถูกคมช.ทำรัฐประหาร 19 ก.ย. 49 เมียรัก “นายกฯไก่” ยิ่งยศ อุดรพิมพ์ นายก อบจ.มหาสารคาม จากค่ายภูมิใจไทย
เพราะถ้าเพื่อไทย-ทักษิณ ชินวัตร ชนะ มันก็คือการตอกย้ำ อีสานคือเพื่อไทย ทักษิณอยู่ในใจพี่น้องชาวอีสานให้กับทักษิณ และพรรคเพื่อไทยได้เป็นอย่างดี และทำให้พรรคภูมิใจไทยโดยเฉพาะความเชื่อมั่นในพื้นที่ภาคอีสาน อยู่ในสภาพระส่ำระสายแน่นอน
เนื่องจากเป็นการแพ้ในภาคอีสานถึงสองครั้งติดต่อกันนับจากที่สกลนคร เมื่อหลายเดือนที่ผ่านมาที่ขนาดทำเรียลลิตี้ –ขายฝัน-นอนกลางดินกินกลางทราย กับคนสกลนครเต็มที่ แต่ก็ไม่เป็นผล
แต่โอกาสเพื่อไทยแพ้ก็ยังมีอยู่ ซึ่งหลายเสียงแม้แต่แกนนำพรรคภูมิใจไทย ก็ยังเชื่อว่าโอกาสพลิกผันเกิดขึ้นได้ แต่อาจจะลางเลือน!
เพราะชื่อชั้นของคมคาย และสามี ในพื้นที่ไม่ธรรมดา โดยเฉพาะบารมีของตระกูล “อุดรพิมพ์”กำลังก้าวขึ้นมาวัดฝีเท้ากับหลายตระกูลดังภาคอีสาน
อีกทั้งนับแต่คมคายสอบตกในการเลือกตั้งปี 50 ในเสื้อพรรคเพื่อแผ่นดิน เธอและสามี ที่ย้ายมาอยู่กับเนวิน ก็อยู่ติดพื้นที่ตลอดเวลา ก็ขนาดคมคาย ได้รับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษารมช.มหาดไทย บุญจง วงศ์ไตรรัตน์ มท.2 แต่คนมหาดไทยรวมถึงคนพรรคภูมิใจไทย เห็นหน้าค่าตานางคมคายที่กระทรวงมหาดไทยและพรรคภูมิใจไทยนับครั้งได้ ในรอบหนึ่งปี ยกเว้นแต่งานสำคัญๆ เท่านั้น เพราะส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่มหาสารคาม ออกหาเสียงต่อเนื่องมานับปี
แต่ด้วยข้อจำกัดหลายอย่างในการเลือกตั้ง แม้คมคาย จะประกาศความมั่นใจเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ จากฐานเสียงแน่นหนา แถมมีผลงานของพรรคไปหาเสียงในพื้นที่ได้ เช่น การผลักดันงบประมาณลงพื้นที่ ทั้งถนนไร้ฝุ่น ระบบสาธารณูปโภค งบไทยเข้มแข็ง การปกป้องสถาบันฯ
แต่ทว่าในส่วนกลางพบว่า แกนนำพรรคภูมิใจไทยไม่ได้เตรียมพร้อมสำหรับศึกนี้เพราะกระชั้นชิดเกินไป และสถานการณ์การเมือง ก็กำลังถึงจุดพลิกผันที่อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เช่น เลือกตั้งใหญ่อีกไม่นาน ทำให้พรรคไม่พร้อมจะทุ่มสรรพกำลังลงไปช่วยนางคมคายหาเสียง
อีกทั้งอย่าลืมว่าต่อให้ เนวิน –ภูมิใจไทย ชนะในการเลือกตั้งซ่อมทั้งที่ มหาสารคามและปราจีนบุรี แต่ก็ไม่ได้ทำให้พรรคได้เก้าอี้รัฐมนตรีเพิ่มขึ้น เพียงแต่อาจทำให้อำนาจการต่อรองในพรรคร่วมรัฐบาลเสียงดังขึ้นเท่านั้น โดยเฉพาะในเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และการผลักดันโครงการ และงบประมาณให้ที่ประชุมครม.เห็นชอบในบางเรื่องที่ไม่ถูกสังคมจับตามองมากเท่านั้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงทำให้มีข่าวออกมาตลอดว่า แกนนำพรรคภูมิใจไทย ไม่ลงไปช่วยนางคมคายหาเสียงแบบเปิดเวทีปราศรัยใหญ่ หรือลงไปบัญชาการพื้นที่แบบเต็มอัตราศึก
เพราะแกนนำพรรคเปิดห้องวิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาสและความสูญเสียทางการเมืองแล้ว บวกลบคูณหารกันหลายรอบ ก็เห็นว่าหากประกาศสู้ศึกเต็มร้อยแล้วแพ้ยับเยิน ก็มีแต่เข้าเนื้อ-เจ็บตัว แถมทำให้ราคาทางการเมืองของเนวิน และพรรคภูมิใจไทยในภาคอีสาน ดำดิ่งไร้ราคาเมื่อเทียบกับเพื่อไทย
จึงพยายามเน้นการต่อสู้แบบ Underdogs หรือ มวยรองแต่ยังหวังลึกๆ ว่าถ้าโชคช่วยก็น่าจะล้มเพื่อไทยให้หงายหลังได้
พร้อมกับมีการอ้างคำพูดของ เนวิน ชิดชอบ ที่โทรศัพท์จากประเทศอังกฤษ มาสั่งการทีมงานของพรรคที่ไปช่วยนางคมคายหาเสียงว่า ให้สู้ไปตามเนื้อผ้า ของจริงให้ไปวัดกันตอนเลือกตั้งใหญ่ ขอเพียงอย่าให้คะแนนห่างมากเหมือนกับตอนเลือกตั้งซ่อมที่ สกลนคร
ซึ่งครั้งนั้นนางอนุรักษ์ บุญศล จากพรรคเพื่อไทย เอาชนะ พิทักษ์ จันทรศรี จากภูมิใจไทยไปขาดลอยคือ 83,348 คะแนน ต่อ 47,235 คะแนน ซึ่งทำเอาเนวิน และภูมิใจไทย แทบเอาปี๊ปคลุมหัวด้วยความอับอาย
แต่ครั้นเมื่อมีการสอบถามไปยังคนของภูมิใจไทย ถึงสาเหตุที่พรรคไม่ค่อยให้ความสำคัญกับการหาเสียงครั้งนี้ แกนนำและส.ส.บางคนก็อ้างว่า อยู่ในช่วงปีใหม่ ผู้ใหญ่ในพรรคติดงานในส่วนกลาง อีกทั้งส.ส.หลายคน ก็ติดงานในพื้นที่ของตัวเอง เลยทำให้ไม่สามารถไปช่วยหาเสียงได้เต็มที่ แต่ก็พยายามแวะเวียนไปช่วยนางคมคายอยู่
โดยทางข่าวที่ออกมาเช่นนี้ ถูกประเมินว่า ภูมิใจไทย พยายามจะกลบข่าวเรื่องภูมิใจไทย สู้ศึกไม่เต็มร้อย ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อตัวนางคมคาย และฐานเสียงของพรรคในอนาคต
ความเงียบเหงาในการหาเสียงของภูมิใจไทยในช่วงที่ผ่านมา ช่างแตกต่างไปจากเพื่อไทย ที่ส่ง “ทัพหลวง”นำโดย เฉลิม อยู่บำรุง ที่ครั้งนี้ เฉลิม ประกาศเสียงดังฟังชัดให้ ส.ส.อีสานเพื่อไทยได้ยินทั้งพรรคว่า
การศึกนี้ อาเหลิม ขอทำแฮททริค ให้เพื่อไทยชนะเลือกตั้งซ่อม 3 ครั้งติดในอีสาน
คือ สกลนคร ศรีสะเกษ และมหาสารคาม จะได้แสดงให้ ส.ส.อีสานและแกนนำพรรคได้เห็นกันว่า ใครกันแน่ที่เป็นของจริงในภาคอีสาน
ระหว่าง เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส.พรรค หรือ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย
เฉลิม จึงลงไปคุมพื้นที่มหาสารคามนานต่อเนื่องก่อนวันลงคะแนนเสียงจริงถึงเกือบสองสัปดาห์ ตามคำประกาศของทักษิณ ชินวัตร ที่สั่งเด็ดขาด
มหาสารคาม ต้องชนะสถานเดียว
จึงถือว่า เพื่อไทยได้เปรียบเหนือภูมิใจไทย เกือบทุกด้าน เพราะตัว “หัวเขียง-ประยุทธ์” ก็ไม่ใช่ธรรมดา แม้จะไม่สดเหมือนเดิม และบารมีหดหายไปเยอะ
อีกทั้งเดิมพันครั้งนี้ ประยุทธ์ ต้องทุ่มทั้งชีวิต เพราะที่ผ่านมา สอบตกหลายรอบ และครั้งนี้กว่าจะได้ลงสมัคร ก็ต้องสู้กับคนในเพื่อไทยหลายกลุ่ม โดยเฉพาะ สุทิน คลังแสง หัวหน้าทีมมหาสารคามของเพื่อไทย ที่ต้องการส่งบุตรชาย หรือน้องชายลงสมัครเพื่อรักษาพื้นที่เดิมของตัวเองเอาไว้ หลังจากสุทิน ติดโทษแบนคดียุบพรรค
และยังมี "เจ๊แมว" กุสุมาลวดี ศิริโกมุท คู่แค้น ผีไม่เผา เงาไม่เหยียบ ของประยุทธ์ ก็พยายามล็อบบี้ พายัพ ชินวัตร ประธานภาคอีสานเพื่อไทย เพื่อขอให้ส่งตัวเองลงสมัคร
ทำให้ทั้ง “ประยุทธ์-สุทิน-กุสุมาลวดี” งัดข้อกันเต็มที่ แต่สุดท้ายก็เสร็จประยุทธ์ ค่ายเหลิม บางบอน
ที่สำคัญ ซึ่งทำให้เพื่อไทยได้เปรียบภูมิใจไทยหลายช่วงตัวก็คือ กระแสทักษิณ ในภาคอีสานโดยเฉพาะมหาสารคาม ซึ่งถือว่า“แดงทั้งจังหวัด”
เห็นได้จากการเลือกตั้งที่ผ่านมา กระแสทักษิณทำให้มหาสารคามถูกยึดครองโดยพรรคพลังประชาชนยกจังหวัด ถึงขนาด ชาญชัย ชัยรุ่งเรือง รมว.อุตสาหกรรม และหัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดินตอนนี้ยังสอบตกไม่มีลุ้น เช่นเดียวกับ สุชาติ โชคชัยวัฒนากร ส.ส.มหาสารคาม และ ผอ.เลือกตั้งซ่อมครั้งนี้ของภูมิใจไทย ก็ได้บารมีทักษิณหอบเข้าสภา ก่อนจะแยกตัวออกไปอยู่กับเนวิน
ดังนั้นหากผลเลือกตั้งซ่อมออกมาโดยประยุทธ์ ชนะแบบม้วนเดียวจบ เชื่อได้ว่า สุชาติ คงคิดในใจแล้วว่า เลือกตั้งสมัยหน้าโอกาสสอบตกสูงยิ่ง
ว่าที่ ส.ส.มหาสารคาม จะเป็น ประยุทธ์ หรือ คมคาย คาดว่าจะรู้ผลหลังปิดหีบเลือกตั้ง และเข้าสู่การนับคะแนนในวันที่ 3 ม.ค.53 เพียงไม่กี่ชั่วโมง
และหากผลเลือกตั้งออกมา โดยไม่เป็นผลดีต่อเนวินและภูมิใจไทย มันก็จะเป็นอีกหนึ่งความพ่ายแพ้ ที่ทำให้เนวิน อดีตลูกน้องทักษิณไม่สามารถ “ล้างตา-แก้มือ” หลังพ่ายแพ้ที่สกลนครได้สำเร็จ
แต่หากผลออกมาพลิกล็อก หรือว่าแพ้แบบมีลุ้น เบียดได้สูสีแบบเกือบได้ลุ้น เครดิตทั้งหมด ก็ต้องยกให้ตัวคมคายเพียงคนเดียว เนวิน ไม่เกี่ยวจริงๆ
