“แอน สิเรียม” เปิดใจเรื่อง “พายัพ” เผยสนิทกันเพราะคุยถูกคอชอบทำบุญเหมือนกัน ส่วนฝ่ายชายจีบหรือเปล่าไม่ขอตอบ แจงข่าวควงไปดูไบเพราะติดต่อธุรกิจอยากขยายกิจการไปเมืองนอก ส่วนเรื่องเส้นใหญ่ลัดคิวดูหมีนั้นเจ้าตัวอ้างเข้าไปดูแค่ 5 นาทีไม่ใช่ครึ่งชั่วโมง ยันไม่มีคนโห่ไล่มีแต่เข้ามาขอถ่ายรูป เผยลูกสาวสุดยั๊วลั่นไม่แฟร์ที่ต้องตกเป็นข่าว
มีข่าวว่าควง “พายัพ ชินวัตร” ไปดูไบพร้อมกับดาราสาวเซ็กซี่อีกหลายจนเป็นข่าวใหญ่โต แรกๆ “แอน สิเรียม ภักดีดำรงฤทธิ์” เลือกที่จะเงียบแต่ “แคนดี้ ชุติมา เอเวอรี่” ก็ออกมาสารภาพว่าได้ไปดูไบกับแอน สิเรียม พร้อมกับพายัพจริงๆ ทำเอาฮือฮาไปทั้งประเทศ
ต่อมาก็มีข่าวว่าแอนใช้สิทธิพิเศษเส้นใหญ่ลัดคิวไปดูหมีแพนด้ากับลูกสาวจนสร้างความไม่พอใจของนักท่องเที่ยวที่เข้าคิวตากแดดรอชมความน่ารักของแพนด้าน้อย จนกลายเป็นข่าวใหญ่โตขึ้นหน้าหนึ่งเลยทีเดียว งานนี้ทำเอาเจ้าตัวอยู่เฉยไม่ไหวยอมให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด
“จริงๆ ข่าวมันก็มีตลอดอยู่แล้วนะคะ มันก็มีดีไม่ดีสลับเปลี่ยนกันไป แต่ว่าสิ่งที่เรารู้สึกได้ก็คือเราจะรู้ว่าอันไหนที่เป็นจริง ก็คือข่าวกับคุณพายัพเนี่ยก็รู้สึกเสียใจนะคะ เพราะจริงๆ แล้วก็เป็นผู้ใหญ่ที่เราเคารพ คือด้วยอายุเราก็นะ(หัวเราะ) เพราะฉะนั้นสถานะหรือว่าการรู้จักหรือการคบค้า คือคบทำธุรกิจมันก็จะเปลี่ยนไป คือคนรุ่นเรา อายุเราก็โตไปตามวัย ดังนั้นสังคมที่เรารู้จักก็คือเราไม่ได้เป็นนักแสดงอย่างเดียว เราก็เป็นนักธุรกิจด้วย ดังนั้นบางสิ่งบางอย่างบางทีเราคุยกันบางทีมันก็เรื่องปกติธรรมดา แต่ว่าเราไปห้ามความคิดคนไม่ได้”
“ถามว่าคุณพายัพเขามาจีบมั้ย จริงๆ แล้วถามอย่างนี้มันก็ดูไม่ให้เกียรตินะคะ เพราะว่าพี่เขาก็อายุมากกว่าเราเยอะ คือเราไม่ได้มองว่าใครคิดยังไงกับเรา หรือถามคำถามแบบนี้เราต้องคิดยังไง แต่ว่าเรารู้ใจตัวเราเองมากกว่าค่ะ แอนก็ถือว่าแอนโตแล้วจะทำธุรกิจกับใครก็ได้ มันเป็นสิทธิโดยชอบธรรม แล้วแอนก็มองว่าบริษัทจะมีโอกาสพัฒนาตัวเอง พัฒนาธุรกิจเราไปขายต่างแดนมันก็เป็นสิ่งที่สมควร”
“ระดับความสนิทคือปกติค่ะเท่ากันทุกคนสำหรับนักธุรกิจ ความพิเศษอาจจะพิเศษในแง่ที่ว่าคุยถูกคอ เพราะหนึ่งก็คือเป็นคนทำบุญเหมือนกัน หมายถึงว่าสนทนาธรรมกันแล้วก็มีความเห็นตรงกัน มันใช้คำว่าคลิกไม่ได้ คำว่าสนทนามันหมายถึงว่าคุยประเด็นเดียวกัน คอเดียวกัน มีเรื่องที่คุยแล้วความคิดเห็นเดียวกัน ส่วนเรื่องที่จะคิดไปในทางอื่นหรือว่าประเด็นอื่นมันไม่ใช่”
“คือเราได้รับความเมตตามากกว่า แอนมองอย่างนี้นะคะ ผู้ใหญ่ให้ความเอ็นดูมันก็เป็นเรื่องที่เราก็ยินดี แต่สำหรับข่าวแอนไม่ได้โกรธหรืออะไรใคร แต่ว่าแอนแค่รู้สึกเสียใจบ้าง เพราะว่าหนึ่งคือลูกแอนก็อยู่ในวัยที่กำลังโต ดังนั้นบางทีอะไรที่มันมากระทบกระเทือนจิตใจเราหรือว่าจิตใจลูก หรือว่าคนในครอบครัวเราก็รู้สึกเสียใจ”
“จริงๆ แล้วสื่อมวลชนเองก็ไม่ได้ติดต่อขอสัมภาษณ์เราเป็นจริงเป็นจังนะคะ คือถ้ามีการติดต่อบอกกล่าวขอสัมภาษณ์เรา ก็ไม่เคยเลยที่เราจะไม่ให้สัมภาษณ์ เราก็เสียใจตรงนี้ว่าทำไมไม่ติดต่อกับเรา เพราะเราก็ไม่ใช่เป็นคนที่ติดต่อยาก เราก็รู้สึกนะคือโดนเขียนไปอย่างนั้นก็รู้สึกเสียใจบ้าง เพราะเราโตมาในวงการนี้ เราก็ทำอะไรให้กับคนในวงการเยอะนะ”
เผยว่าไม่เคยคิดถึงกับจะลาออกจากวงการอย่างที่เป็นข่าว แต่อาจจะรับงานน้อยลง เพราะเวลาเท่ากันแต่ได้รับเงินที่สูงกว่า
“แต่ที่ว่าแอนจะลาออกจากวงการ คืออันนี้แหละค่ะมันไม่น่าสร้างกระแสอย่างนี้ ก็รู้สึกเสียใจ คือไม่เคยเดินหนีนะ ก็ไม่มีใครมาขอสัมภาษณ์นี่คะ ก็งง แต่ตอนนี้คนจะดังก็ช่วยไม่ได้จริงๆ นะ(หัวเราะ) คือเรื่องการรับงานก็อาจจะน้อยลงน่ะค่ะ คิดว่าช่วงเวลานี้อาจจะเป็นช่วงที่มีเวลาคิดหรือว่าทำอะไรที่ชัดเจน เพราะว่าทำงานตั้งแต่อายุ 14 แล้ว ตอนนี้ก็จะ 40 แล้ว”
“ถามว่าข่าวมีผลกระทบมั้ย สำหรับแอนไม่ได้คิดอะไรนะคะ เพราะแอนเป็นคนยอมรับในสิ่งนั้น คืออะไรที่มันมากระทบใจถ้ามันไม่ใช่แอนก็จะถือว่ามันไม่ใช่ แต่แอนแคร์ลูก แคร์ครอบครัวแอนมากกว่า คืออย่างงานแสดงตอนนี้แอนว่าถ้าเราทำอะไรที่ระยะเวลามันน้อยลง แต่ว่ามันสามารถทำรายได้ให้เรามากขึ้น เราก็อยากทำอย่างนั้นมากกว่า แต่ไม่ใช่ว่าจะหันทำธุรกิจอย่างเดียวแล้วลาออกจากวงการหรอกค่ะ อย่าพูดอย่างนั้นเลยมันใจร้ายเกินไป(หัวเราะ) แอนรักงานวงการบันเทิงค่ะ”
“แต่ตอนนี้ก็อยากจะให้สิเรียม บิวตี้ไปต่างประเทศนะคะ คือจริงๆ แล้วที่เราอยากจะนำธุรกิจไปต่างประเทศก็เพราะว่าเราไม่ได้ต้องการที่จะไปเปิดสปานะคะ แต่เราต้องการที่จะเป็นผู้ที่ผลิตส่งสินค้าซาลอนในประเทศนั้นๆ เราไม่ได้ขยายจากประเทศอาหรับอย่างเดียว ก็แบ่งหน้าที่กันไป คือตอนนี้สิเรียม บิวตี้มีหุ้นส่วน มีผู้ร่วมถือหุ้นด้วยนะคะ”
“ซึ่งตรงนี้ก็ทำให้เราต้องขยายสายงานออกจากในประเทศ เพราะการที่คุณสามารถจะผลิตสินค้าที่เป็นซิกเนเจอร์ของประเทศนั้นๆ แอนก็เชื่อว่ามันเป็นเรื่องดี แล้วก็เป็นความน่าภาคภูมิใจของคนที่เกิดมาครั้งหนึ่งในชีวิตอย่างเรา เราก็ไม่ได้จบสูงมาก แต่เราก็สามารถพัฒนาธุรกิจของเราให้ก้าวหน้าขึ้นไปได้ มันก็ถือว่าเป็นโอกาสอย่างหนึ่งทางด้านธุรกิจเท่านั้นเอง”
ยอมรับว่าไม่พร้อมจะเปิดใจรับรักครั้งใหม่อีกแล้ว เพราะอายุก็ล่วงเลยมาพอสมควร แต่ก็มีหนุ่มๆ เข้ามาจีบเป็นปกติ
“หนุ่มๆ มาจีบมันก็มีเป็นเรื่องปกตินะคะ ไม่ได้เป็นทอม(หัวเราะ) เปิดใจมั้ย ไม่เปิดแล้วค่ะ เบื่อปิดแต่ยังไม่ใส่กลอนค่ะ พอแล้วค่ะ อายุ 40 แล้ว มันไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้นอย่างเดียวแล้ว มันหลายๆ อย่างประกอบกัน เรื่องงาน เรื่องการดูแลลูกอีกสักพักหนึ่ง อีกหน่อยเขาก็ต้องใช้ชีวิตของเขาเองอยู่แล้ว”
ส่วนกรณีเรื่องที่ว่าพาลูกไปดู “หลินปิง” ที่เชียงใหม่ จนทำให้คนอื่นที่มาต่อคิวดูไม่พอใจนั้น ตนอยากให้จบไปได้แล้ว เพราะเคลียร์ไปแล้วว่าตนกับลูกอยู่แค่ 5 นาทีเท่านั้นจริงๆ
“เรื่องที่เชียงใหม่แอนว่าจริงๆ มันน่าจะจบได้แล้วนะ เพราะเรื่องเชียงใหม่ทำลูกสาวเฮิร์ทมากเลย คือน้องเขารู้สึกว่ามันไม่เป็นความจริง แล้วทำไมถึงทำกับเขาแบบนี้ แล้วเขาก็อยู่ในวัยที่อยู่ในวัยรุ่นน่ะ เพราะฉะนั้นวุฒิภาวะทางอารมณ์มันไม่ได้เสถียรเหมือนเราที่อายุขนาดนี้แล้ว อันนี้คือเราพูดความจริงกัน จริงๆ เรื่องนี้สำหรับแอน แอนก็รู้สึกเฉยๆ นะ เพราะแอนไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เท่าไหร่ เพราะแอนก็บอกลูกว่าอันนี้เป็นสิ่งที่ลูกเห็นนะ ลูกก็ค่อยๆ เรียนรู้และยอมรับมันไปตามสมัย ตามความเปลี่ยนแปลง”
“แต่ข่าวนี้แอนเห็นตอนอยู่บนเครื่องบิน กำลังอ่านข่าวลูกก็เห็นพอดี ลูกก็งงว่าทำไมถึงเขียนแบบนี้ เขาก็ไม่ได้โกรธนะ แต่เขาไม่รู้ว่าทำไมถึงเขียนแบบนี้ มันไม่แฟร์ คือเขาก็เป็นเด็กที่แสดงออกชัดเจนนะคะ แล้วที่ว่าคนเชียงใหม่ต่อต้าน แอนก็รู้สึกเสียใจนะ เพราะจริงๆ มันไม่ได้มีอะไรอย่างนั้น ไม่ได้ยินเสียงเลยแม้แต่นิดเดียว มีแต่คนมาขอถ่ายรูป คือที่เข้าไปถ่ายรูปในนั้นได้เพราะเรารู้จักกันกับท่านผอ.เป็นการส่วนตัวจริงๆ เพราะเป็นคนจังหวัดเดียวกันเท่านั้นเอง และเข้าไปไม่ถึง 5 นาทีด้วยซ้ำไป ที่ว่าเข้าไปครึ่งชั่วโมงเข้าไปทำอะไรคะ(หัวเราะ)”