"ผ่าประเด็นร้อน"
ถือว่านานๆ ครั้ง หรือว่าในโอกาสพิเศษจริงๆที่จะได้เห็น “ป๋าเปรม” พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษสวมเครื่องแบบนายทหารบกออกมาต้อนรับแขกเหรื่อ หรือให้โอวาทกับใครก็ตาม แต่เมื่อใดก็ตามที่ทำแบบนี้ก็เหมือนกับมีวาระพิเศษที่ต้องการส่งสัญญาณอะไรบางอย่างเช่นเดียวกัน
หากยังจำกันได้เมื่อวันที่ 14 ก.ค.2549 พล.อ.เปรมได้สวมชุดนายทหารบกไปบรรยายพิเศษให้แก่นักเรียนนายร้อย จปร.มีการพูดเปรียบเปรยว่ารัฐบาลเหมือน “จ๊อกกี้” ที่เข้ามาดูแลทหาร ไม่ใช่เจ้าของทหารเพราะมาแล้วก็ไป พร้อมทั้งเน้นย้ำว่า “เจ้าของ” ทหารที่แท้จริงคือ ชาติและ “พระเจ้าอยู่หัว” จากนั้น พล.อ.เปรม ก็เดินสายไปบรรยายปลุกจิตสำนึกของทหารทั่วทุกเหล่าทัพ
แต่น่าสังเกตก็คือ ในช่วงเวลาดังกล่าวกำลังอยู่ในช่วงที่รัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร กำลังท้าทาย “ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ” อยู่พอดี รวมทั้งยังเป็นเหตุการณ์เกิดขึ้นก่อนการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองโดย คมช.เมื่อวันที่ 19 ก.ย.49 เพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น
หลังจากนั้นก็ไม่ค่อยได้เห็น “ป๋าเปรม” สวมชุดทหารปรากฎตัวให้เห็นอีกเลย ล่าสุดก็เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ (28 ธ.ค.) ระหว่างที่เปิดบ้านสี่เสา เทเวศร์ รับการตบเท้าเข้าอวยพรปีใหม่ของบรรดาขุนทหารที่นำโดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และพิเศษขึ้นไปอีกก็คือในปีนี้มี พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบกเข้าร่วมพร้อมกัน หลังจากเมื่อปีที่แล้ว “ไม่สะดวก” เนื่องจากติดภารกิจต้องเดินทางไปต่างประเทศ
อีกทั้งยังเป็นการเกิดขึ้นในช่วงที่ฝ่ายของ ทักษิณ ชินวัตร ประกาศทำ “สงครามครั้งสุดท้าย” ตั้งแต่ต้นปีหน้าเป็นต้นไป พร้อมทั้งประกาศรบขั้นแตกหัก มีการเตรียมกำลังคน เสบียง รวมไปถึงการปลุกระดมกันมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปลายปีและคาดว่าจะดำเนินการต่อเนื่อง หนักข้อขึ้นเรื่อยๆ
น่าสนใจก็คือในเวลาไล่เลี่ยกันปรากฎว่ามีการเคลื่อนไหวของ “ทหารแก่” บางกลุ่ม มีการตบเท้าเข้าสังกัดพรรคเพื่อไทยกันอย่างคึกคักอย่างผิดสังเกต และที่สำคัญยังมีบางคนถึงกับกล่าวโจมตี พล.อ.เปรม รวมไปถึงการพูดจาแบบหมิ่นเหม่ซ่อนนัยเหมือนกับจงใจให้กระทบสิ่งที่ “เหนือ” ไปกว่านั้น ดังกรณีคำพูดของ พล.ท.มนัส เปาริก อดีตแม่ทัพภาคที่ 3 ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมรุ่นเตรียมทหารรุ่น 10 ของ ทักษิณ
หรือความเคลื่อนไหวของ ทหารนอกแถวอย่าง “เสธ.แดง” พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบกที่ประกาศนำกลุ่มทหารพรานออกมาเคลื่อนไหวร่วมกับกลุ่มเสื้อแดงของทักษิณ ในการล้มรัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในต้นปีหน้า พร้อมทั้งทำนายว่าอาจจะมีการปะทะกันระหว่างทหารหลักกับทหารพรานก็เป็นได้
แต่ที่เป็นการเปิดเผยออกมาแบบชัดเจนไม่อ้อมค้อมก็คือคำพูดของ พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี ที่ย้ำว่าจะนำทัพเสื้อแดงชุมนุมแบบแตกหักในต้นปีหน้า โดยระบุเวลาชัดเจนว่าจะเริ่มตั้งแต่ปลายเดือนมกราคมต่อเนื่องไปจนถึงกุมภาพันธ์ และว่านี่คือ “สงครามครั้งสุดท้าย” ของ ทักษิณ
คำประกาศดังกล่าวทำให้หลายฝ่ายมีความเป็นห่วงว่าจะเกิดการนองเลือดขึ้นในบ้านเมือง อีกทั้งยังเป็นช่วงที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จประทับที่โรงพยาบาลศิริราชกำลังทรงพักฟื้นพระวรกายหลังจากทรงหายจากพระอาการประชวร
ที่สำคัญที่สุดก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 5 ธ.ค.ที่ทรงมีพระราชดำรัสที่มีความสำคัญตอนหนึ่งว่า “ความสุขของข้าพเจ้าคือความเป็นปกติสุขของชาติบ้านเมือง” ก็ยิ่งไม่สมควรที่จะก่อกวนหรือสร้างความวุ่นวาย เพื่อให้บ้านเมืองมีความสงบสุขตามพระราชประสงค์ เพราะทุกคนต่างก็ยืนยันว่าตัวเองมีความจงรักภักดีกันทั้งนั้น
อย่างไรก็ดีสิ่งที่กำลังปรากฎอยู่ในเวลานี้ถือว่าทุกอย่างกำลังเคลื่อนไหวในทางตรงกันข้าม ฝ่ายทักษิณ กลับไม่ยอมหยุดนิ่ง ส่งสัญญาณเคลื่อนไหวกดดันเข้ามาพร้อมกันทุกทางทั้งในและนอกประเทศ
ในประเทศเริ่มจากเกมโค่นล้มในสภาโดยการสั่งให้ ส.ส.พรรคเพื่อไทยยื่นญัตติซักฟอกรัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ประสานกับมวลชนเสื้อแดงนอกสภา ซึ่งเท่าที่ประเมินกันคร่าวๆ จะมีการผนึกกกำลังกันหลายกลุ่มในลักษณะ “แสวงจุดร่วมสงวนจุดต่าง” ผสานกันเข้ามา และที่น่าจับตาก็คือการเดินเกมมวลชนของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ที่อุตส่าห์ “สวมหมวกดาวแดง” ลงพื้นที่พบปะกับอดีตผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย มันก็ยิ่งทำให้เกิดความหวั่นไหวมากยิ่งขึ้นไปอีก
ประกอบกับภายนอกประเทศ ฮุน เซน ก็เล่นเกมยั่วประสาทหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ ทำให้กลายเป็นว่าทุกอย่างประดังเข้ามาทุกทิศทาง
อย่างไรก็ดีหากพิจารณากันในภาพรวมแล้วนาทีนี้เป้าหมายของ ทักษิณ และเครือข่ายที่จ้องโค่นล้มไม่ใช่จะมีแค่รัฐบาลเท่านั้น เพราะเชื่อว่าต้องเหนือกว่านั้นแน่นอน และหากดูตามความหมายแล้วก็ย่อมหมายถึง “อำมาตย์” และ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ก็ถูกทำให้เป็นสัญญลักษณ์ของ “มหาอำมาตย์” เพื่อต้องการกระทบชิ่งไปถึงสถาบันเบื้องสูงนั่นเอง
ดังนั้น การที่ “ป๋าเปรม” สวมชุดเครื่องแบบทหารในโอกาสพิเศษแบบนี้ ต่อหน้าขุนทหารที่มากันพร้อมหน้าพร้อมกำชับให้นึกถึงพระราชดำรัสของพระเจ้าอยู่หัวและนำไปปฏิบัติอย่างจริงจัง ซึ่งก็ไล่เลี่ยกับการเคลื่อนไหวของทักษิณ ที่กำลังจะเปิดศึกใหญ่ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
ท่าทีล่าสุดของประธานองคมนตรี ที่ถูกฝ่ายตรงข้ามเน้นย้ำให้เป็นหัวหน้าอำมาตย์ ก็แสดงให้เห็นว่า พร้อมจะรับศึกครั้งสุดท้ายที่กำลังจะเกิดขึ้นเช่นเดียวกัน !?